Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 2 ไม่อาจไม่จากไป
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง โคมห้องบรรทมของไหวอ๋องมืดลงแล้ว“องค์ชายท่านควรบรรทมได้แล้วเพคะ” คุณหนูจวินมองไหวอ๋องที่ยังลืมตากลมดิกอยู่บนเตียงไหวอ๋องขานรับนอนลงไป ดวงตายังคมลืมอยู่นี่คือเชื่อฟังแบบขอไปทีการแสดงเช่นนี้ของเขานางหรือจะไม่รู้ชัด“องค์ชาย ไม่อย่างนั้นข้าเล่านิทานให้ท่านฟังไหมเพคะ?” คุณหนูจวินนั่งข้างเตียงเอ่ยไหวอ๋องขยับไปข้างในทันที“ไม่” เขาเอ่ย เสียงเกรงใจและห่างเหิน “ไม่ต้อง”คุณหนูจวินมองไหวอ๋องแล้วมองนางกำนัลขันทีที่ถอยออกไปจากห้องบรรทม“องค์ชาย ท่านอยากฟังนิทานเรื่องต่อยพยัคฆ์ในเขาไหมเพคะ?” นางขยับไปข้างหน้า มองไหวอ๋องคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยเอ่ยเสียงเบานี่เป็นนิทานที่ก่อนหน้านี้ตนเองเล่าแล้วไหวอ๋องชอบฟังที่สุดฟังร้อยหนไม่เบื่อ ทุกครั้งที่ฟังล้วนตื่นเต้นดีใจไม่รู้พูดเช่นนี้ เขาจะรู้สึกอะไรกับตนเองบ้างไหม? ไม่ใช่พูดกันว่าเด็กน้อยความรู้สึกไวที่สุดหรือ เด็กสาวที่จะเล่านิทานเรื่องเดียวกับพี่สาวของเขาคนนี้ จะทำให้เขาประหลาดใจดีใจได้ไหม?คุณหนูจวินห้ามความตื่นเต้นมองจิ่วหรงจิ่วหรงเอ๋ย เป็นพี่สาวเอง เป็นพี่สาวจิ่วหลิงมาเล่านิทานให้เจ้าฟังอีกครั้ง“ไม่” ไหวอ๋องไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เอ่ยเด็ดขาดฉับไว พร้อมกับขยับไปข้างในอีกครั้ง “เจ้าขยับขึ้นมาหน่อยได้ไหม?”เขายังพูดอีก ชี้ผ้าห่มที่คุณหนูจวินนั่งทับอยู่ใต้ร่าง“เจ้าทับผ้าห่มของข้าแล้ว แบบนี้ข้านอนไม่สบาย”เขาไม่เหมือนเด็กน้อยคนอื่นร้องไห้โวยวายตีโพยตีพายแสดงความไม่พอใจของตนเอง แม้กระทั่งความรังเกียจก็มีมารยาทยิ่งนัก มีท่าทางเช่นลูกหลานชนชั้นสูงผู้หยิ่งยโสเด็กน้อยความรู้สึกไว ตั้งแต่กลายเป็นไหวอ๋องวันนั้น เขาก็น่าจะรู้สถานการณ์ที่ตนเองอยู่แล้ว บวกกับการสั่งสอนขององค์หญิงจิ่วหลี ทำให้เขาเหมือนกับองค์หญิงจิ่วหลีเช่นนั้น ใช้ความนิ่งสงบมาปกป้องศักดิ์ศรีเส้นสุดท้ายเด็กน้อยก็เป็นเด็กน้อย เขาเพียงมองเห็นสิ่งที่เขามองเห็น เจ้าเป็นพี่สาวของเขา เขาก็สนิทสนมพึ่งพิงหมดทั้งหัวใจ เจ้าเป็นอีกคนหนึ่ง ต่อให้พูดคำพูดเหมือนกันอีกแค่ไหนเขาก็ไม่มีทางเข้าใกล้สักครึ่งส่วนเจ้าตัวแสบนี่ คุณหนูจวินพรูลมหายใจ อยากพูดอะไรอีกประโยคล่อเขา ด้านนอกก็มีคนเดินเข้ามา ร่างกายของนางแข็งทื่อ ไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่วาลู่อวิ๋นฉีเข้ามาแล้ว“องค์ชายวันนี้เล่นจนเหนื่อยแล้ว บรรทมเร็วหน่อยเถอะเพคะ เช่นนี้พรุ่งนี้ถึงมีกำลังวังชาเล่นต่อ” นางเอ่ย ลุกขึ้นจากเตียง ปลดม่านมุ้งลงลู่อวิ๋นฉีไม่ได้เดินเข้ามา แต่นั่งลงข้างนอกหลายวันนี้เขาล้วนเป็นเช่นนี้ตั้งแต่องค์หญิงจิ่วหลีจากไป เขาก็ไม่ได้ออกห่าง ยังคงค้างในห้องบรรทมไหวอ๋องทุกคืน ไม่รังเกียจแล้วก็ไม่หลีกเลี่ยงคุณหนูจวินที่อยู่ในห้องนี้ด้วยกันสักนิดในสายตาเขาคุณหนูจวินเป็นเพียงท่านหมอคนหนึ่ง บางทีเป็นผู้ต้องสงสัยคนหนึ่ง หรือถึงขั้นคนตายคนหนึ่งคุณหนูจวินรู้ชัดเจนมาก จุดนี้ก็ไม่ได้สนใจอะไรเช่นกันแต่วันนี้ความรู้สึกไม่ค่อยเหมือนเดิมแล้วโคมไฟในห้องบรรทมดับสนิท ในราตรีสายตาคู่หนึ่งหยุดอยู่บนร่างนางตลอดและสายตานี้ก็แตกต่างกับก่อนหน้านี้แล้วนี่ย่อมเพราะวันนี้ตนเอง เรื่องที่นางพูดประโยคนั้นวันนี้คุณหนูจวินนอนลงบนเตียง โชคดีอยู่บ้างผ่านวิกฤตนี้ไปได้ แตในใจก็ยังร้อนรนอยู่บ้างเรื่องนั้นผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เขายังจำไว้ทำอะไรคิดอีกทีด้านในบ้านหลังนั้นรวบรวมบรรดาหญิงสาวที่เหมือนตนเองไว้มากมายอีก นางก็สะอิดสะเอียนขึ้นมาอีกวูบหนึ่งนางพลิกกายบนเตียง มือด้านในผ้าห่มกำแน่นทำเรื่องน่ารังเกียจ ท่าทางน่ารังเกียจเหล่านั้น เขาคิดจะทำอะไร!…แสงตะวันฤดูหนาวส่องเข้ามาในห้อง สว่างและอบอุ่น หน้าต่างหลายบานเปิดครึ่งหนึ่ง ในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมสะอาดบางเบา ไม่มีกลิ่นยาเข้มข้นและความอึดอัดอย่างหนึ่งเดือนก่อนหน้าสักนิดในห้องบรรทมคนก็เพิ่มมากขึ้นจากก่อนหน้านี้มาก บรรดาหมอหลวงที่สวมชุดขุนนางสีหน้ากังวลมองเจียงโหย่วซูที่กำลังจับชีพจรไหวอ๋องเจียงโหย่วซู่สีหน้าจริงจัง จับมือซ้ายเสร็จก็จับมือขวาอีก ครู่หนึ่งเสร็จจึงรั้งมือกลับ“เป็นอย่างไร?” บรรดาหมอหลวงอดรนทนไม่ไหวเอ่ยถามเจียงโหย่วซู่พยักหน้า บนหน้าเผยรอยยิ้มยินดีออกมา“หายแล้ว” เขาเอ่ยสีน้าบรรดาหมอหลวงยุ่งยากอยู่บ้างถึงกับรักษาหายจริงๆเจียงโหย่วซู่ยืนขึ้นมาประสานมือคำนับไปทางวังหลวง“ฮ่องเต้กับไทเฮาในที่สุดก็วางพระทัยได้แล้ว” เขาถอนหายใจเอ่ย แล้วมองคุณหนูจวินคำนับสีหน้าจริงใจ “คุณหนูจวิน ข้าแซ่เจียงยอมรับความพ่ายแพ้”ความจริงใจของหมอหลวงเจียง คุณหนูจวินไม่ได้ซาบซึ้งอะไร นางเพียงพยักหน้าท่าทางเช่นนี้ในสายตาของบรรดาหมอหลวงหยิ่งยโสยิ่งนัก เพิ่มความไม่พอใจเข้าไปอีกหลายส่วนคุณหนูจวินไม่ได้สนใจความไม่พอใจของพวกเขา การถ่อมตนยอมแพ้ของเจียงโหย่วซู่นางก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เจียงโหย่วซู่คนเช่นนี้นางจะเชื่อได้อย่างไรเจียงเหย่วซู่มาจับชีพจรไหวอ๋อง สิ่งเดียวที่คุณหนูจวินจะได้ตอบรับก็คือนางต้องถูกไล่ออกจากวังไหวอ๋องแล้วแต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ทำอันใดมิได้วังไหวอ๋องไม่มีความลับ ร่างกายของไหวอ๋องหายดีแพร่ไปในวังรู้กันชัดเจนยิ่ง แม้นางมีวิธีการมากมายทำให้ร่างกายของไหวอ๋องแสดงอาการป่วยหนักออกมา เช่นนี้รั้งอยู่ข้างกายไหวอ๋องได้นานหน่อย แต่ร่างกายของไหวอ๋องไม่เหมาะนางมองไหวอ๋องที่นั่งกะปรี้กระเปร่าอยู่บนเตียงไม่แปลกที่หมอหลวงเจียงพวกเขาจะประกาศไปข้างนอกว่าไหวอ๋องเป็นฝีดาษยากรักษา หวัดครั้งนี้ของไหวอ๋องรุนแรงจริงๆ ร่างกายแทบจะถูกควักกลวงนางไม่กล้าแล้วก็ไม่อาจให้ไหวอ๋องใช้ยาปิดบังอาการที่ดีขึ้นอีกแม้นางอยากอยู่ข้างกายน้องชายยิ่งนัก แต่ไม่ใช่ด้วยค่าแลกเปลี่ยนมหาศาลอย่างการทำร้ายร่างกายน้องชาย“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กำลังจะสิ้นปีแล้ว ข้ากลับวังไปรายงานผล คุณหนูจวินก็กลับไปข้ามปีอย่างสบายได้แล้ว” เจียงโหย่วซู่ยิ้มเอ่ยคุณหนูจวินไม่ได้พูด คำนับนิดหนึ่งให้เขาแสดงว่าขอบคุณเจียงโหย่วซู่ไม่ได้ไม่พอใจท่าทางของคุณหนูจวิน ยิ้มจากไป ส่วนบรรดาหมอหลวงรั้งอยู่“คุณหนูจวิน เจ้ามีอะไรกำชับก็บอกกับพวกเรานะ” หมอหลวงคนหนึ่งคล้ายยิ้มคลายไม่ยิ้มเอ่ย“ข้าไม่มีอะไรบอกพวกท่าน” คุณหนูจวินตอบทันที มองเขายิ้ม “องค์ชายข้ารักษาหายแล้ว มีเรื่องอะไรอีกก็เป็นเรื่องของพวกท่านแล้ว ถึงเวลาอย่าโยนมาใส่หัวข้าก็พอ”นี่มันคำพูดอะไรกัน! บรรรดาหมอหลวงสีหน้าคล้ำเขียว“เจ้าใจกล้านัก นี่เจ้าแช่งองค์ชายไหวอ๋องรึ?” หมอหลวงคนหนึ่งคิ้วตั้งตวาดคุณหนูจวินยิ้ม“ไม่มีคำสาปแช่งทำให้คนป่วยได้ มีเพียงหมอไร้ฝีมือไม่รักษาไร้ความสามารถถึงทำให้โรครักษาไม่หาย” นางเอ่ยเด็กสาวคนนี้! ช่าง!บรรดาหมอหลวงในห้องสีหน้าโกรธเกรี้ยว ความยินดีนับถือที่เดิมทีฝืนทำออกมาล้วนทิ้งไปหมดแล้วบัณฑิตกู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างยิ้ม มองไปทางคุณหนูจวิน ในแววตาสนุกแวบผ่านคุณหนูจวินไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ แต่เดินมาตรงหน้าไหวอ๋อง นางย่อตัวลงนั่งมองไหวอ๋องที่นั่งอยู่บนเตียง“องค์ชาย ตอนนี้อาการป่วยท่านหายดีแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน” นางเอ่ยอ่อนโยน “ท่านต้องดูแลตนเองให้ดี อย่ากินของส่งเดช อย่า…”นางยังไม่ทันเอ่ยจบ ไหวอ๋องก็ยิ้มพยักหน้าให้นาง“ขอบคุณเจ้าแล้ว” เสียงเด็กน้อยใสกังวาน สีหน้าเป็นมิตรขัดนาง “ข้าซาบซึ้งและจะประทานรางวัลให้เจ้า”คุณหนูจวินมองเขาอยากพูดอีก ไหวอ๋องกลับกวักมือให้บัณฑิตกู้“ท่านอาจารย์กู้” เขาร้องเรียกดีใจ กระโดดลงมาจากบนเตียง “ตอนนี้ข้าหายป่วยแล้ว ไปเรียนหนังสือต่อได้แล้ว”เขาก้าวไวๆ เดินไปหาบัณฑิตกู้ บัณฑิตกู้ก็เข้ามาหายิ้มพยักหน้าให้เขา“ไม่รีบร้อน ไม่รีบร้อน” เขาเอ่ย“ต้องรีบสิ ข้าเสียเวลาร่ำเรียนมามากแล้ว” ไหวอ๋องท่าทางตั้งใจทั้งกลัดกลุ้มเอ่ยบรรดาหมอหลวงยิ้ม“องค์ชายอุตสาหะจริงๆ”“องค์ชายเฉลียวฉลาด ไม่นานต้องเสริมกลับมาได้แน่”พวกเขาพากันยิ้มเอ่ย ในห้องบรรยากาศครึกครื้นและมีความสุขคุณหนูจวินที่กึ่งนั่งยองๆ อยู่หน้าเตียงราวกับถูกลืมเลือน นางลุกขึ้นช้าๆ มองไหวอ๋องที่ยิ้มมีความสุขให้กับบัณฑิตกู้ทีหนึ่ง บัณฑิตกู้คงสัมผัสได้ถึงสายตาของนาง เงยหน้ามองข้ามมา ในดวงตาเขายิ้ม เหมือนกับมีความนัยลึกล้ำอยู่คุณหนูจวินหลุบตาลงคำนับให้เขา หิ้วหีบยาไม่หันหลับกลับเดินออกไปเช่นกันเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนกว่า เดินออกจากวังไหวอ๋อง บนถนนกลิ่นอายสิ้นปีอบอวลแล้วไม่ว่าอย่างไร ความปรารถนาก็บรรลุแล้ว โรคของจิ่วหรงรักษาหายแล้ว จดหมายของอาจารย์ก็เอามาได้ราบรื่นแล้ว คุณหนูจวินตบหีบยา ฉลองปีใหม่ดีๆ ได้แล้วเสียงกีบเท้าม้ารีบร้อนดังขึ้น ลู่อวิ๋นฉีท่ามกลางองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มหนึ่งคุ้มครองมาส่งถึงหน้าประตู ดึงบังเหียนม้ามองลงมาข้ามมาจากเบื้องสูงคุณหนูจวินมองเขาเฉยชาทีหนึ่ง รั้งสายตากลับเดินผ่านเขาไปตามถนน ไม่ได้สนใจสายตาทิ่มแทงเบื้องหลัง……………………………………….
คอมเม้นต์