Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 195 มองออกไม่เอ่ย
ที่จริงวังไหวอ๋องนางก็ไม่ใช่จะคุ้ยเคยนักนางใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไม่ถึงปีก็แต่งออกคุณหนูจวินเดินอยู่บนทางเดินปูหินของวังไหวอ๋อง ตามขันทีผ่านตำหนักหน้าไปถึงวังหลังภายในวังไหวอ๋องตกแต่งหรูหรา แต่เวลานี้ว่างเปล่าไม่มีสักคนประหนึ่งสุสานที่นี่เดิมก็คือสุสาน“คุณหนูจวิน ฝั่งนี้ขอรับ ท่านรอสักครู่ข้าจะไปแจ้ง” ขันทีเอ่ยคุณหนูจวินพยักหน้าขานรับ ยืนอยู่นอกตำหนัก กวาดตามองรอบด้านนิดหนึ่ง สถานที่ที่จิ่วหรงอยู่ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้า แต่ตอนนี้นางก็ไม่มีกะจิตกะใจสนใจสิ่งนี้ นางมองไปทางประตูตำหนัก ขันทีกำลังผลักประตูเปิดออก“องค์หญิง ท่านหมอที่สำนักแพทย์หลวงแนะนำมาถึงแล้วพะย่ะค่ะ” เขาพูดกับคนข้างในท่านพี่!ท่านพี่ก็อยู่!คุณหนูจวินอดไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง“เชิญเข้ามาเถอะ”เสียงผู้หญิงดังมาจากข้างในขันทีหันกลับมาส่งสายตาให้นาง คุณหนูจวินก้าวไวๆ เข้ามา ข้ามธรณีประตูก็เห็นร่างของคนคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในสายตาฝีเท้าของคุณหนูจวินชะงัก มองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าในตำหนักหน้าต่างปิดสนิทแสงมืดสลัว ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ข้างในยิ่งแลดูเย็นชาคุณหนูจวินหลุบตาลงคำนับเล็กน้อย ก้มศีรษะเดินผ่านเขาเข้าไปข้างในในห้องอบอวลด้วยกลิ่นยา แต่นางยังคงได้กลิ่นหอมเลือนรางท่ามกลางกลิ่นยานี้นั่นเป็นเครื่องหอมที่ท่านพี่ใช้บ่อยๆนางก้มศีรษะมองหินเขียวก้อนใหญ่ใต้เท้าตนเอง เดินเข้าไปทีละก้าวๆ แม้ไม่ยกศีรษะนางก็เหมือนจะมองเห็นผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเตียงด้านหน้า“องค์หญิง…” นางก้มลงคุกเข่า“ไม่ต้องมากพิธี”เสียงผู้หญิงอ่อนโยนดังมาจากเหนือศีรษะคุณหนูจวินยังคงค้อมกายก้มศีรษะ พื้นดินเย็นเยียบทำให้ร่างกายที่เดือดพล่านของนางเย็นลง ไม่ให้นางโถมเข้าไปในอ้อมกอดพี่สาวร้องไห้โฮอย่างไม่อาจควบคุมในห้องสายตาเย็นชาคู่หนึ่งจับบนแผ่นหลังของนางอยู่ตลอด ราวกับมองทะลุวิญญาณของนางนางกำนัลสองคนม้วนม่านมุ้ง คุณหนูจวินลุกขึ้นเงยศีรษะมองคนตรงหน้าองค์หญิงจิ่วหลีทั้งร่างสวมอาภรณ์เรียบง่ายสะอาดสะอ้าน เส้นเกศาเรียบร้อย ประทินโฉมบางเบา ไม่มีความเจ็บปวดสิ้นหวังหรือตระหนกยามเผชิญหน้าครอบครัวป่วยใกล้ตายสักนิดนางกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าเด็กผู้ชายบนเตียง สีหน้าสงบเหมือนที่มองอยู่ไม่ใช่คนป่วย แต่เป็นเด็กน้อยที่หลับลึกยังเหมือนก่อนหน้านี้ ต่อให้เป็นเวลาที่สับสนโกลาหลเท่าใด ท่านพี่ก็ผ่านมันไปอย่างสบายดั่งก้อนเมฆลอยละล่องคุณหนูจวินก้าวไปข้างหน้ามองดูจิ่วหรงบนเตียง“ต้องจับชีพจรไหม?” องค์หญิงจิ่วหลีหันมามองนางสายตาของทั้งสองคนสบกัน คุณหนูจวินอดไม่ได้ร่างกายสั่นเล็กน้อย ชั่วขณะไม่อาจเคลื่อนสายตาออกใกล้ขนาดนี้เชียว นางยืนอยู่เบื้องหน้าพี่สาวอีกครั้งแล้ว“คุณหนูจวิน ต้องจับชีพจรไหม?” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยถามอีกครั้ง เสียงอ่อนโยน สีหน้าอบอุ่น ไม่ได้ไม่พอใจที่ถูกมองตรงๆ และไม่ได้ตกใจไม่เข้าใจ ยิ่งไม่ประหม่าคุณหนูจวินหลุบตาขานรับองค์หญิงจิ่วหลีลุกขึ้นหลีกทาง ไม่สงสัยสักนิด ยิ่งไม่ได้เอ่ยถามความเป็นมาของนาง นี่คือความเชื่อถือหรือ?หาใช่ไม่ เพียงแค่ไม่สนใจเท่านั้นให้สิ่งใดไม่อาจปฏิเสธ ถ้าอย่างนั้นก็รับ ที่นางทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือผ่านชีวิตที่ไม่อาจขัดขืนได้นี่ไปอย่างสงบ ไม่ดิ้นรน ไม่โวยวาย ไม่ก่อเรื่อง ไม่เศร้าโศก ไม่เสียใจคุณหนูจวินก้าวไปข้างหน้าหลุบสายตา ก้มตัวมองสำรวจจิ่วหรงหนึ่งปีกว่าไม่พบหน้า โตขึ้นมากเชียว นางยื่นมือไล้หน้าผากของจิ่วหรง นี่คือสำรวจความร้อนของร่าง มือของนางไล้บนดวงตาของจิ่วหรง นี่คือมองดูตาดำตาขาว ลูบผ่านจมูกของเขาสำรวจลมหายใจ ลูบแก้มของเขา คลึงติ่งหูของเขา ท้ายที่สุดมือจับบนชีพจรของจิ่วหรงนาทีนี้ หัวใจที่หวาดหวั่นมาหนึ่งปีกว่าสงบลงแล้ว…เจียงโหย่วซู่ก็เดินเข้าประตูวังไหวอ๋องมาเช่นกัน หมอหลวงหลายคนก้าวไวๆ ติดตาม“ใต้เท้า ในเมืองแพร่ออกไปแล้ว ทุกหนทุกแห่งล้วนพูดกันว่าฝีดาษร้ายแรงมากเพียงไร” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย “นี่ต้องเป็นแผนสกปรกที่โรงหมอจิ่วหลิงทำแน่”“ไม่ผิด พวกเขาแค่อยากให้ทุกคนรู้ว่าฝีดาษร้ายกาจมากเท่าไร ถึงเวลารักษาไม่หายก็ไม่ใช่เรื่องของนาง” หมอหลวงอีกคนเอ่ย“ถึงกับกล้าเผยแพร่เรื่องเช่นนี้ที่เมืองหลวง ให้กรมทหารม้าห้าเมืองจับพวกเขาซะ” ยังมีหมอหลวงอีกคนเอ่ย “นี่เป็นการทำให้จิตใจประชาชนสับสน”“จะจับได้อย่างไร พวกเขาก็ไม่โง่ การเผยแพร่ข่าวลือเช่นนี้ กฏหมายไม่ลงโทษชาวบ้าน” มีหมอหลวงส่ายหัวเอ่ย “เพราะจับคนส่งเดชเช่นนี้ กลับกันถึงจะทำเมืองหลวงยิ่งวุ่นวาย”ทุกคนกำลังถกเถียงกัน เจียงโหย่วซู่สีหน้านิ่งสงบ“นี่มีอะไรเล่า” เขาเอ่ย “ไม่อนุญาตให้สนใจ พวกเขาอยากเผยแพร่อย่างไรก็เผยแพร่อย่างนั้น”เขาพูดพลางหัวเราะ“หากโรคนี้ไม่ใช่ฝีดาษเล่า”มีหากที่ไหน มีแต่แน่นอน บรรดาหมอหลวงได้สติกลับมา ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่ฝีดาษ คุณหนูจวินวิชาแพทย์สูงส่งเช่นนี้จะค้นไม่พบได้อย่างไรทุกคนได้สติกลับมา“นางค้นพบข้อผิดหลาดของพวกเราได้ นี่ย่อมเป็นคุณงามความชอบครั้งใหญ่ทั้งยังเป็นหน้าเป็นตาครั้งใหญ่” หมอหลวงคนหนึ่งหัวเราะเอ่ย“ถึงเวลาด้านนอกเล่าลือถึงฟ้าว่าฝีดาษน่ากลัวมากเพียงใดแล้วอย่างไร เล่าเสียเปล่าแล้ว” หมอหลวงอีกคนหนึ่งหัวเราะเอ่ย“แม้วินิจฉัยผิดทำให้พวกเราเสียหน้ามาก” หมอหลวงคนหนึ่งลูบเคราเอ่ยขึ้น สีหน้าจริงใจ “แต่ขอเพียงรักษาโรคของไหวอ๋องหายได้ หน้าตานี่ยังมีอะไรเกี่ยวข้องอีก”เจียงโหย่วซู่ตั้งแต่เอ่ยประโยคนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอีก เพียงฟังบรรรดาหมอหลวงคุยกัน มาถึงห้องบรรทมอย่างรวดเร็วเพราะการเข้ามาของพวกเจียงโหย่วซู่คนคณะหนึ่ง ห้องบรรทมที่เดิมทีหม่นหมองจึงกลายเป็นคึกคักขึ้นมาอยู่บ้างหมอหลวงคนหนึ่งมองคุณหนูจวินที่จับชีพจรอยู่บนเตียงแล้ว ก้าวเข้าไปข้างหน้า“คุณหนูจวิน” เขาสีหน้าหนักใจเอ่ยขึ้น “ท่านคิดว่าโรคนี้ของไหวอ๋องเป็นอย่างไร?”คุณหนูจวินเก็บหมอนรองจับชีพจร“โรคของไหวอ๋องไม่เบา” นางเอ่ย“ใช่แล้ว พวกเราอับจนหนทางจริงๆ คิดได้ว่าคุณหนูจวินวิชาแพทย์สูงส่ง” หมอหลวงถอนหายใจเอ่ย มองไปทางคุณหนูจวินอีกครั้งในดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย “…ฝีดาษโรคเช่นนี้บางทีอาจมีวิธีแก้ไขได้”เขายื่นหน้าออกมาแล้ว ต่อไปคุณหนูจวินก็ตบได้อย่างเบิกบานแล้วรีบพูดสิ ทำสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง พูดว่านี่ไม่ใช่ฝีดาษ พูดว่าพวกเราหมอหลวงเหล่านี้ตาบอดสิคุณหนูจวินเก็บหมอนรองจับชีพจรเข้าไปในหีบยา แล้วหยิบเข็มทองออกมาอีก ได้ยินถึงตรงนี้ก็เผยรอยยิ้มยิ้มแล้วยามไหวอ๋องประชวรเช่นนี้ ตอนที่องค์หญิงจิ่วหลีและยังมีลู่อวิ๋นฉีกอยู่ในเหตุการณ์ นางยังยิ้มออกมาได้จับผิดท่านหมอคนอื่น ได้โอกาสสร้างชื่อให้ตนเอง ก็เมินความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของคนไข้ได้เบิกบานใจเช่นนี้เจ้ายิ้มไปเถอะ ตอนนี้เจ้ายิ่งยิ้มเบิกบาน อนาคตร้องไห้ก็ยิ่งเจ็บปวดบรรดาหมอหลวงมองเด็กสาวตรงหน้าสีหน้าอดกลั้นเด็กสาวตรงหน้าก็มองพวกเขายิ้มไม่เลิก“ใช่แล้ว ข้าศึกษาฝีดาษมาบ้าง” นางเอ่ยพยักหน้า ดึงเข็มทองเล่มหนึ่งออกมา “มีวิธีแก้”ในห้องเงียบไปครู่หนึ่งนางพูดอะไรบรรดาหมอหลวงอึ้งไป ตอบสนองไม่ทันอยู่บ้าง“เจ้าบอกว่านี่คือฝีดาษ?” เจียงโหย่วซู่เอ่ยปากพูด เขาคิดอะไรออกแล้ว แต่ยังไม่กล้าเชื่ออยู่บ้างคุณหนูจวินมองเขาพยักหน้า สีหน้าราวกับแปลกใจอยู่บ้าง“แน่นอนต้องใช่สิ นี่ไม่ใช่ทุกคนวินัจฉัยออกมาหรือ หมอหลวงเจียงท่านยังมีข้อสงสัยอะไรอีกหรือ?”นางเอ่ยข้อสงสัยของข้าก็คือเจ้าตาบอดแล้วรึ? เจ้าดูจากตรงไหนว่านี่เป็นฝีดาษ?เจียงโหย่วซู่สีหน้าคล้ำเขียวมองคุณหนูจวินเจ้าคนหน้าไม่อายคนนี้……………………………………….
คอมเม้นต์