Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 190 ห่างพันลี้ทุ่มสุดใจ
ด้วยความขัดแย้งระหว่างโรงหมอจิ่วหลิงกับลู่อวิ๋นฉีตอนนี้ โอกาสที่จะถูกฟันตายอยู่นอกวังไหวอ๋องมีมากนักคุณหนูจวินกำหีบยาแน่นยืนอยู่ครู่หนึ่งหมุนตัวจากไปแล้วหลิ่วเอ๋อร์มองเห็นนางเข้ามาก็รีบยกชาสมุนไพรร้อนควันฉุยมาเหมันต์นี้หนาวเป็นพิเศษ คนมากมายล้วนร่างเย็นเป็นหวัด คุณหนูจวินจึงผสมชาสมุนไพรให้ทุกคนชงดื่ม ตนเองยิ่งไม่ลืมดื่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกลับมาจากข้างนอกนางไม่อาจให้ตนเองป่วยได้ใครก็ป่วยได้ นางไม่ได้“หนาวขนาดนี้ ยังออกไปทุกวัน ออกไปก็ช่างเถิด ทำไมไม่ให้รถม้าส่งกลับมา” ฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้วเอ่ย “หากเจ้าป่วย ไม่มีใครรักษาเจ้าหรอกนะ”หลิ่วเอ๋อร์ได้ยินไม่พอใจทันที“แช่งคุณหนูของข้าให้ล้มป่วยทำไม?” นางเอ่ย“ล้มป่วยย่อมไม่ใช่เพราะคนอื่นแช่ง ล้วนเป็นเรื่องของตนเอง” ฟางจิ่นซิ่วก็พูดอย่างไม่เกรงใจได้ยินสองคนปะทะคารม คุณหนูจวินยกชาสมุนไพรชามใหญ่ใบหนึ่งดื่มคำเดียวหมด หน้าผากเหงื่อผุดพรายออกมา แก้มกลายเป็นแดงระเรื่อ“เอาล่ะ ข้ารู้ ข้ารู้จักพอดี” นางมองฟางจิ่นซิ่วเอ่ยฟางจิ่นซิ่วเม้มปากไม่เอ่ยวาจาต่อ ยื่นมือรับชามชาสมุนไพรกำลังจะเข้าไป ก็มีคนพาร่างและลมหนาวฝ่าเข้ามา“คุณหนูจวิน จดหมายของนายน้อย” คนที่มาไม่ถามไถ่ทักทายรีบเอ่ยขึ้น ส่งจดหมายในมือมาเขาสวมเสื้อผ้าหนา เหนื่อยล้ามอมแมม บนหน้าบนมือมีรอยความเย็นทำร้าย สำเนียงชัด เห็นชัดมากว่าไม่ใช่พนักงานของเต๋อเซิ่งชางเมืองหลวง แต่เร่งมาจากหยางเฉิงก่อนหน้านี้จดหมายล้วนส่งไปมาผ่านร้านแลกเงิน ทำไมครั้งนี้กลับให้คนในบ้านส่งมาโดยตรง?ดูท่ายังรีบร้อนมากด้วย“เสี่ยวโม่” ฟางจิ่นซิ่วจำคนที่มาได้ นี่เดิมทีเป็นพนักงานของร้านแลกเงิน ถูกฟางเฉิงอวี่เลือกเป็นคนรับใช้ข้างกาย ได้รับความสำคัญมากเห็นเขามา สีหน้าฟางจิ่นซิ่วก็อดเคร่งเครียดไม่ได้“เฉิงอวี่ยังสบายดีไหม?” นางหลุดปากเอ่ยถาม“นายน้อยสบายดียิ่ง” เสี่ยวโม่ยิ้มซื่อบื้อให้นางคุณหนูจวินรับจดหมายไปเปิดออก เพียงอ่านแวบเดียวสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย หมุนตัวก้าวไวๆ เข้าไปข้างในฟางจิ่นซิ่วกับหลิ่วเอ๋อร์ไม่ทันตอบสนอง คุณหนูจวินก็เดินเข้าไปถึงประตูหยุดฝีเท้าอีกครั้ง“หลิ่วเอ๋อร์ชงชาให้เสี่ยวโม่ด้วย ทายารักษาความเย็นกัดให้เขา จัดที่ให้เขาพักผ่อน” นางหันกลับมาเอ่ยหลิ่วเอ๋อร์ขานรับ เสี่ยวโม่รีบเอ่ยขอบคุณ คุณหนูจวินเข้าไปแล้วประตูที่ปิดลงบดบังสายตา ฟางจิ่นซิ่วสีหน้ายุ่งยากคุณหนูจวินนั่งอยู่ในห้องมองจดหมายในมือ สีหน้าก็ยุ่งยากมากเช่นกัน จดหมายฉบับนี้ตามหลักแล้วน่าจะอดทนรอไม่ไหวที่จะเปิดอ่าน เพราะเมื่อครู่นางกวาดตาผ่านในนั้นพูดถึงไหวอ๋ออง แต่ก็เพราะเช่นนี้ นางไม่กล้าเปิดอยู่บ้างฟางเฉิงอวี่ที่อยู่ไกลถึงหยางเฉิงจะเอ่ยถึงไหวอ๋องได้อย่างไร?แล้วยังเวลาบังเอิญขนาดนี้?คุณหนูจวินสูดหายใจลึกทีหนึ่ง เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่อ่านจะไม่มีงั้นหรือ? นางเปิดจดหมายตั้งใจอ่านฟางเฉิงอวี่พูดถึงเรื่องไหวอ๋องจริงๆนอกจากนี้เปิดบทมาก็ชี้ชัด ไหวอ๋องประชวร ทั้งยังตึงมือมากส่วนเขารู้ได้อย่างไร อ่านผ่านสมุดบัญชีเพราะการมาถึงของคุณหนูจวิน สมุดบัญชีของเมืองหลวงจึงถูกเรียกให้ส่งมอบสิบวันครั้ง หลังคุณหนูจวินเปิดโรงหมอ ความต้องการของฟางเฉิงอวี่ก็เพิ่มมากขึ้นสองข้อ ข้อที่หนึ่งคือความเคลื่อนไหวของบรรดาท่านหมอในเมืองหลวงที่ร้านแลกเงิน ข้อสองคือความเคลื่อนไหวของบรรดาร้านยา ล้วนต้องสนใจจดบันทึกอย่างละเอียดสิบวันก่อนนี่เองฟางเฉิงอวี่ได้รับสมุดบัญชีของเมืองหลวงมาตามปกติ เห็นเงินเข้าเงินออกหลายรายการนี่เป็นตั๋วเงินของหมอจากสำนักแพทย์หลวงหลายคน จำนวนมากนัก เหมือนกับทรัพย์สินตระกูลทั้งหมดเอาเข้าบัญชี ผู้ดูแลสนิทกับหมอหลวงคนหนึ่งอยู่มาก แม้พวกเขาทำตามกฎไม่เคยถามเรื่องใดของลูกค้า แต่หมอหลวงคนนี้เป็นฝ่ายถอยหายใจบอกเองว่าเมืองหลวงอาจอยู่ต่อไม่ได้แล้ว เพราะรับคนไข้ที่ค่อนข้างตึงมือคนหนึ่งเข้า ผู้ดูแลเลียบเคียงถามหลายประโยค ถึงได้รู้ว่าคนไข้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นไหวอ๋องไหวอ๋อง เป็นบุคคลที่ตึงมือมากคนหนึ่งจริงๆส่วนที่ยิ่งตึงมือก็คือ คุณหนูจวินเคยพูดถึงไหวอ๋อง“จิ่วหลิง ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยพูดถึงไหวอ๋อง”มองเห็นประโยคนี้บนจดหมายของฟางเฉิงอวี่ คุณหนูจวินขมวดคิ้วนิดหนึ่งเขาจำได้หรือ? แต่นางไม่เคยพูดกับเขามาก่อน ตั้งแต่เกิดใหม่มานางเคยพูดถึงชื่อวังไหวอ๋องนี่เพียงครั้งเดียว….“…เจ้าไม่อยู่บ้าน ข้าว่างไม่มีธุระก็ชอบฟังทุกคนเล่าเรื่องเก่าในอดีตของเจ้า…”“…เจ้าเคยถามผู้ดูแลเกาเรื่องเมืองหลวง ยังเคยพูดถึงไหวอ๋อง ตอนนั้นทำท่านย่ากับท่านแม่ตกใจแทบแย่…”คนไม่พูดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยไร้สาเหตุฟางเฉิงอวี่นั่งอยู่หน้าโต๊ะ มองราตรีนอกหน้าต่าง ในห้องอบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ สถานที่ที่เขานั่งอยู่ก็คือห้องหนังสือของคุณหนูจวินเมื่อตอนนั้น ตอนนี้ถูกเขาเอามาเป็นห้องหนังสือแน่นอนว่าเพียงชั่วคราว รอนางกลับมา เขาก็คืนให้นางหากนางยังจะกลับมาน่ะนะฟางเฉิงอวี่ไล้ดอกจินซ่านอวี้ไถที่แย้มบานวางอยู่บนหัวโต๊ะ นี่เป็นพันธุ์ล้ำค่าของจางโจว ในห้องฤดูหนาวเบ่งบานส่งกลิ่นดอกไม้หอมสดชื่นเขาคิดถึง มีครั้งหนึ่งนั้น ในห้องอาบน้ำนางพลันหมุนตัวมาเฉิงอวี่ ข้านึกเรื่องหนึ่งออกนางเอ่ย แต่ต่อมานางก็กลืนกลับลงไปอีกครั้ง นางไม่ได้เอ่ยอีกเพราะว่าพูดไม่ได้ หรือพูดไปก็ไร้ประโยชน์สินะนางต้องการไปเมืองหลวง คิดอยากไปอยู่ตลอดสถานที่ซึ่งคิดอยากไปอยู่ตลอด ย่อมต้องเพราะมีคนหรือเรื่องที่คะนึงหานางเปิดโรงหมอไม่ใช่เพื่อรักษาผู้คน นางยินดีถ่ายทอดวิชาให้หมอคนอื่นก็ไม่ใช่เพื่อรักษาชาวบ้าน จดจ่อมุ่งเฉพาะคนสูงศักดิ์ จดจ่อมุ่งไปสถานที่สูงศักดิ์นั่นเท่านั้นฟางเฉิงอวี่ยกพู่กัน“…หมอหลวงบอกว่าอาการป่วยของไหวอ๋องตึงมือมาก พวกเขาแลกทรัพย์สินของตระกูลเป็นตั๋วเงินเพื่อสะดวกถอนถ่ายโอน..”เขาเขียนถึงตรงนี้ก็หยุดอีกครั้งเขาอยากเขียนเจ้าไม่ต้องไปยุ่ง แต่ก็รู้สึกว่าพูดเช่นนี้ไม่เหมาะสมยิ่งนัก โรงหมอจิ่วหลิงมีชื่ออีกเท่าใด อาการป่วยของไหวอ๋องก็เป็นความรับผิดชอบของสำนักแพทย์หลวง สำนักแพทย์หลวงไม่มีทางมาหาหมอชาวบ้านคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นหมอหญิงที่ได้ชื่อว่าโอ้อวดหลอกความนับถือจากชาวบ้านคนหนึ่งแต่ หากนางอยากเข้าไปยุ่งเล่า?ฟางเฉิงอวี่ถอนหายใจเบาๆ จรดพู่กัน“…ตามที่หมอหลวงบรรยาย อาการป่วยของไหวอ๋องเดิมทีไม่หนักหนา แต่ซ้ำไปมามากเกินไปกลายเป็นป่วยหนัก…”พู่กันถึงประโยคนี้ก็หยุดชะงัก แต่หลังครู่หนึ่งก็ท่าทางเด็ดขาดจรดลงไปอีกครั้ง“..จิ่วหลิง รักษาโรคง่าย รักษาชีวิตยาก เจ้าจงระวัง…”คุณหนูจวินอ่านจบบรรทัดสุดท้าย รู้สึกเพียงในใจรสชาติแปร่งปร่าบนโลกนี้มีเด็กที่ฉลาดคล้ายปีศาจได้อย่างไร? หรืออาจพูดว่า ที่ตนเองคิดว่ามั่นใจมาตลอดที่จริงในสายตาของคนใส่ใจช่องโหว่ข้อสงสัยมากมายหรือ?นางหยิบจดหมายโยนเข้าไปในเตาไฟ มองมันกลายเป็นเถ้าช้าๆหาเรื่องลู่อวิ๋นฉีน่ากลัวมากเพียงใด ใครๆ ก็รู้ แต่เขาก็ส่งราชโองการรักษาชีวิตของตระกูลฟางมาให้นางเข้าใกล้วังไหวอ๋องอันตรายมากเพียงใด ใครๆ ก็รู้ แต่เขาก็สืบข่าวอาการป่วยมาให้นาง เพียงพูดประโยคเดียวจงระวังนี่คือมีชีวิตได้เพราะเจ้า ดังนั้นตายเพราะเจ้าก็ไม่กลัวด้วยงั้นหรือ?เหมันต์นี้หนาวยิ่ง แต่ก็อบอุ่นนัก…วังหลวงฤดูหนาวยิ่งแลดูเคร่งขรึมเสียงซ่ากังวานทีหนึ่งทำให้บรรดาขันทีตรงทางเดินนอกห้องก้มหน้าลงต่ำอีกครั้งลู่อวิ๋นฉีสีหน้าราบเรียบ ฟังเสียงด่าท่อโกรธเกรี้ยวของฮ่องเต้ดังออกมาจากข้างใน“…จะรักษาไม่ง่ายนักได้อย่างไร? ไม่ใช่แค่หวัดรึ? พวกเจ้าตัวไร้ประโยชน์ฝูงนี้แม้กระทั่งหวัดก็รักษาหายไม่ได้หรือ? ได้ชื่อว่าหมอหลวงชื่อนี้อับอายหรือไม่ฮะ?”ฮ่องเต้สุภาพอ่อนโยน มีมารยาทต่อผู้มีความรู้มาตลอด ครั้งนี้เอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา เห็นได้ว่าโกรธและร้อนรนมากเพียงใด“ฝ่าบาท” เสียงของเจียงโหย่วซู่ดังออกมาจากด้านในติดจะเหน็ดเหนื่อย “วันนี้องค์ชายไม่ใช่แค่เป็นไข้หวัดธรรมดาๆ อีกแล้ว อาการป่วยเกิดซ้ำไปมานานเกินไป วันนี้จึงยากรักษาจริงๆ”“เกิดซ้ำไปมา เกิดซ้ำไปมาโทษใครเล่า? ยังไม่ใช่โทษพวกเข้า เริ่มแรกรักษาให้เขาดีๆ จะกลายเป็นป่วยหนักได้อย่างไร” ฮ่องเต้พิโรธตรัส“ฮ่องเต้ ก็ไม่อาจโทษพวกหมอเสียทั้งหมดได้” เสียงสตรีแก่ชราเสียงหนึ่งดังขึ้นนี่คือไทเฮาสายตาของลู่อวิ๋นฉียังคงมองไปข้างหน้า ฟังเสียงของไทเฮาต่อ“…เด็กน้อยเดิมทีก็ป่วยง่าย ป่วยแล้วก็ไม่เหมือนผู้ใหญ่ ไม่ชอบกินยา ดีขึ้นนิดหน่อยก็กระโดดโลดเต้นตามใจ ไม่รู้ความ เหมันต์ปีนี้ก็หนาว คนป่วยมากมายนัก ในวังหลวงของพวกเราก็หลายคน”“พวกคนรับใช้ที่วังไหวอ๋องเหล่านี้ล้วนเป็นตัวไร้ประโยชน์ ดูแลไหวอ๋องอย่างไร? ลงโทษให้หมด” ฮ่องเต้ตรัสอีกครั้ง“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องลงโทษเลย ยังไงรักษาให้หายดีก่อนเถิด” ไทเฮาตรัสขึ้น “โมโหมีประโยชน์อะไร ท่านหมอคนไหนไม่อยากรักษาคนไข้ให้หายดี แต่บางครั้งโรคนี่ก็ไม่เป็นดั่งใจคน ฮ่องเต้ ท่านทำเช่นนี้โหดร้ายแล้ว”หรือก็คือบอกว่ารักษาไม่หายไม่อาจโทษหมอหลวงได้ในห้องเสียงคุกเข่ากับพื้นตึงๆ ดังขึ้น“กระหม่อมมีความผิด” เสียงเหล่าหมอหลวงดังขึ้นพร้อมกันฮ่องเต้เมตตากตัญญู คำพูดของไทเฮาย่อมไม่โต้เถียง ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงถอนหายใจยาวดังขึ้น“พวกเจ้าจงจำไว้ ไหวอ๋องเป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของอดีตองค์รัชทายาท พวกเจ้าต้องทุ่มเทใจ หากไม่เช่นนั้น ข้าคงผิดต่ออดีตฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแล้ว”ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกลวงของลู่อวิ๋นฉีเองหรือไม่ หลังจบประโยคนี้ฟ้าดินราวกับเงียบสงัดไปครู่หหนึ่ง จากนั้นทุกสิ่งก็ฟื้นกลับมาดั่งปกติข้างหูเสียงโขกศีระดังขึ้น“พวกกระหม่อมจะทุ่มเทใจทำสุดกำลังแน่นอนพะย่ะค่ะ”……………………………………….
คอมเม้นต์