Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 160 กิจการนิ่งรอคอยได้
เฉินชีดึงม้าหยุดด้านหน้าโรงหมอจิ่วหลิง หันกลับไปจะประคองฟางจิ่นซิ่ว ฟางจิ่นซิ่วก็กระโดดลงมาแล้ว“ที่นี่เงียบเชียบอยู่นะ” เฉินชีเอ่ยขึ้น ขมวดคิ้วอีกครั้ง“โรงหมอก็ไม่ใช่ตลาดสักหน่อย ลูกค้าเต็มร้านสิถึงเกิดเรื่องน่ะ” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยเฉินชียักไหล่ไม่เอ่ยวาจาอีก สองคนก้าวเข้าไปในโถงด้านในโถงพนักงานสองคนนั่งอยู่ด้วยกันกินเม็ดแตงไปพลางคุยเล่นหัวเราะคิกคักติดลมบนไปพลาง ไม่ได้สังเกตคนที่เข้ามาฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้วด้วยแล้วนางเคยดูแลร้านแลกเงินมาก่อน ต่อให้เป็นยามไม่มีคน บรรดาพนักงานก็เสื้อผ้าเรียบร้อยนั่งตัวตรงพนักงานเกียจคร้านเช่นนี้บ่งบอกได้ถึงสถานการณ์เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือโรงหมอแห่งนี้เงียบเชียบเช่นนี้มาตลอดแทบไม่มีลูกค้า ไม่เจ้าของร้านไม่ใส่ใจไม่สนใจก็ไม่ได้ทำเป็นกิจการค้าขาย ดังนั้นทุกคนถึงกลายเป็นเคยคุ้นหรือว่าไม่ไหวจริงๆ?เฉินชีจิ๊ปากสองที กระแอมทีหนึ่งพนักงานสองคนตอนนี้เพิ่งมองมา“มีธุระอะไร?” พนักงานคนหนึ่งในนั้นเอ่ยถามคำถามอะไรกัน?มาโรงหมอมีธุระอะไรได้? เฉินชีขมวดคิ้ว“คุณหนูจวิน…” เขาเอ่ยเสียงของเขายังไม่ทันเอ่ยจบ ตรงประตูก็มีเสียงดังมา“คุณหนู วันนี้กลางวันพวกเรากินเจ้านี่กันแถอเจ้าค่ะ ข้าซื้อมาเยอะเลย”หลิ่วเอ๋อร์เสียงที่ทำให้คนเกลียดชังนี่คงลืมไม่ลง“เอาสิ” เสียงคุณหนูจวินก็ดังขึ้นเช่นกันฟางจิ่นซิ่วสูดหายใจลึกยาวหมุนตัวมองเห็นนายบ่าวสองคนยืนอยู่ด้านหน้าประตูไม่ได้พบหน้าหลายเดือน ปุบปับพบหน้าทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้าอยู่บ้าง“คุณ…” เฉินชีก็ยิ้มแย้มเตรียมเอ่ยทักทายบ้างแต่นอกประตูมีคนชิงก่อนก้าวหนึ่ง“คุณหนูจวิน คุณหนูจวิน” นี่เป็นเสียงร้องเรียกของผู้หญิงคนหนึ่งท่าทางรีบร้อนคุณหนูจวินชะงักเท้ามองไปทางนางนี่คงเป็นคนมาขอให้รักษาสินะ รีบร้อนเช่นนี้ ดูท่าคงไม่พลาดลูกค้าเฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วยืนอยู่ตรงประตู ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็ยืนอยู่ด้านหน้าคุณหนูจวิน“คุณหนูจวิน” นางสีหน้าคาดหวังเอ่ยขึ้น “ท่านดูหน่อยข้ามีลางร้ายไหม?”เรื่องประหลาดอะไร?เฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วเบิกตาลางร้าย?ดูดวงจากใบหน้าหรือ?เฉินชีเงยหน้ามองป้ายร้านทีหนึ่ง ไม่ผิดนี่เป็นโรงหมอจิ่วหลิงนะ หรือโรงหมอจิ่วหลิงมาถึงเมืองหลวงก็ไม่ใช่โรงหมอแล้ว?ส่วนฟางจิ่นซิ่วกลอกตารู้อยู่แล้วเชียวว่านางต้องมีความคิดประหลาดแน่……………………………………….เรือนด้านหลังโรงหมอจิ่วหลิงกลายมาเป็นคึกคักเพราะการมาถึงของฟางจิ่นซิ่วกับเฉินชี“เดินทางยังไงช้าขนาดนี้เล่า”“ที่อยู่เตรียมไว้พร้อมแล้ว ข้าเก็บกวาดให้เองเลยนะ”“พวกเจ้าลองดูนี่สิ ของกินเล่นในเมืองหลวงล่ะ พวกเจ้าต้องไม่เคยกินแน่”เสียงหลิ่วเอ๋อร์ดังขึ้นไม่ขาด สอดแทรกด้วยคำตอบของเฉินชี คุณหนูจวินกับฟางจิ่นซิ่วกลับไม่ได้เอ่ยวาจา“อาบน้ำ พักผ่อนก่อนหน่อยไหม?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม“ไม่ต้อง ไม่เหนื่อย” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยสองคนสบตากันเงียบไปอีกครั้ง“ที่นี่ของเจ้ามีสมุดบัญชีอะไรต้องการให้ข้าดู?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยปากพูดก่อน “ค้าขายได้ไหม?”เฉินชีกระแอมอยู่ด้านหลังเพิ่งพบหน้าไม่ต้องพูดถึงเรื่องน่าเศร้าขนาดนี้ก็ได้มั้งไม่ง่ายกว่าจะมาถึง ถูกไล่ไปอีกทันทีก็ไม่ดีแล้วคุณหนูจวินหัวเราะ“มีสิ” นางว่าเหมือนเพื่อเป็นหลักฐานคำพูดนาง พนักงานเข้ามาจากโถงด้นหน้า“คุณหนูจวิน มีคนต้องการซื้อยาสงบจิต” เขาเอ่ยขอคำแนะนำมีลูกค้าจริงๆด้วยแฮะมีคนซื้อยาก็รีบขายสิ ยังถามอะไรอีกเล่า พนักงานสองคนนี้มีไว้ประดับเรอะ?เฉินชีขมวดคิ้ว“ข้าไปดูหน่อย” เขาเอ่ยพนักงานมองเขา แล้วก็มองคุณหนูจวิน“ฟังคุณชายเฉินเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ยพนักงานขานรับตามเฉินชีออกมา“ยานี้ไม่มากแล้ว คุณหนูเคยกำชับว่าหนึ่งวันขายได้ไม่เกินสามขวด นี่เป็นขวดสุดท้ายของวันนี้แล้ว” เขาเอ่ยบอกเฉินชียาไม่มากก็ทำสิ มีที่ไหนลูกค้ามาไม่ขายยานี่เป็นนางทำเองหรือ? กลัวเหนื่อยไม่ยินดีทำรึ? ถึงบอกว่าคุณหนูบอบบางทนความลำบากของการค้าขายไม่ได้หรอกเฉินชีมาถึงด้านหน้าโถง มองเห็นผู้หญิงสวมชุดภูมิฐานคนหนึ่งรออยู่ เห็นเขาออกมาแม้ไม่รู้จักแต่สีหน้านอบน้อมกิริยาของคนเมืองหลวงนี่ดีนัก เฉินชีชอบใจมาก“พี่สาวท่านมาโชคไม่ดี ยานี่เหลือเพียงขวดเดียวแล้ว” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อมเช่นกันสีหน้าของผู้หญิงกระตือรือร้นสุดๆขึ้นมาทันทีก้าวเข้ามาข้างหน้าจับชายเสื้อของเฉินชีไว้“ต้องขายให้ข้านะ” นางร้องตะโกนเฉินชีสะดุ้งโหยงนี่ยาอะไรกัน โอสถเซียนช่วยชีวิตรึ? ต้องเป็นถึงขนาดนี้ไหม?“ได้ ได้ พี่สาวท่านอย่าตื่นเต้น” เขาสงบใจเอยขึ้น “ยังมีขวดหนึ่ง ในเมื่อท่านต้องการย่อมขายให้ท่าน”ผู้หญิงพยักหน้าดีใจ“ไปเอามาสิ” เฉินชีเอ่ยกับพนักงานพนักงานขานรับไปหยิบยา ส่วนผู้หญิงก็หยิบเงินออกมาจากแขนเสื้อ“นี่คือค่ายา…” นางสองมือส่งให้อย่างนอบน้อมค่ายาเหมือนจะไม่น้อยเฉินชีมองตั๋วเงินที่ส่งมาขายยาขวดหนึ่งต้องใช้ตั๋วเงินด้วยหรือ? คนเมืองหลวงรวยจริงๆนี่ต้องหาเงินไหม?พนักงานหยิบยามาแล้ว เฉินชีมอง นี่เป็นขวดใบน้อยใหญ่เท่าฝ่ามือใบหนึ่ง ไม่รู้ด้านในใส่ยาไว้กี่เม็ด“นี่คือยาสงบจิต” พนักงานเอ่ยขึ้น “ค่ายาหนึ่งพันตำลึง”ในปากเฉินชีไม่มีน้ำชา แต่ยังคงพ่นออกมาแล้วเขาสีหน้าตะลึงอึ้งมองผู้หญิงกับพนักงานตรงหน้าแค่เจ้านี่ ขวดกระจ้อย หนึ่งพันตำลึงขายโอสถเซียนรือ?จนกระทั่งราตรีทอดตัวลงมา เฉินชีก็ยังถือโคมอยู่ด้านในโถงด้านหน้า นอกจากกินข้าวก็ไม่ออกมา“เจ้าทำอะไรน่ะ?” ฟางจิ่นซิ่วเดินเข้ามาจากด้านหลังเอ่ยถามเฉินชีกำลังยืนอยู่ด้านหน้าตู้ยาสูงยื่นมือชี้นิ้วนับอยู่ ได้ยินก็หันกลับมา“จิ่นซิ่ว เจ้าเห็นสมุดบัญชีหรือยัง?” เขาไม่ได้ตอบแต่กดเสียงเบาเอ่ยถามวันนี้คุณหนูจวินให้พวกเขาพักผ่อนคลายเหนื่อย ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเพราะฐานะของฟางจิ่นซิ่วจึงไม่ได้เข้ามาด้วยตนเอง แต่ส่งแม่ครัวสองคนมา ที่อยู่ก็ล้วนเก็บกวาดเรียบรอ้ยแล้ว กินข้าวแล้วคุณหนูจวินก็หยิบสมุดบัญชีให้ฟางจิ่นซิ่ว ส่วนหลิ่วเอ๋อร์ไปทำยา ยุ่งเสร็จก็ไปนอนแล้ว ไม่ได้สนทนามากมายกับพวกเขาอีกนี่ก็พอดีกับความต้องการของฟางจิ่นซิ่วพวกนางเดิมทีก็ไม่มีอะไรให้พูดกัน“เห็นแล้ว” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย“เป็นอย่างไร?” เฉินชีรีบร้อนเอ่ยถาม “รวยไหม?”ฟางจิ่นซิ่วนั่งลงมือวางบนโต๊ะ“ค่ารักษาที่เก็บสูงมาก” นางเอ่ย “แต่ก็ยังนับไม่ได้ว่ารวย หนึ่งไม่ได้มีลูกค้าสักกี่ครั้ง อีกอย่างค่าซื้อร้านนี่ เงินเดือนพนักงาน ค่ากินอยู่ประจำวัน นับดูแล้ว ยังขาดทุนอยู่มาก”“เหล่านั้นล้วนไม่สำคัญ ที่นี่ต้องรวยแน่” เฉินชีเอ่ย ชี้ตู้ยาเหล่านั้น “ข้าดูราคายาทั้งหมดแล้ว นี่ไม่ใช่โรงหมอร้านยาแล้ว นี่มันร้านซื้อขายสมบัติของหายากชัดๆ”“พูดเหลวไหลอีกแล้ว” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย“ไม่ได้พูดเหลวไหลนะ เจ้ารู้ไหมราคายานี่เท่าไร?” เฉินชียื่นนิ้วนางขึ้นมา ความตื่นตะลึงที่ขายยาไปหนึ่งขวดของวันนี้ไม่เพียงไม่หายไปกลับยิ่งมากขึ้น “ไม่ทันไรก็พันตำลึง พวกนี้ยังไม่ได้ใส่จนเต็ม หากใส่เต็มก็ร่ำรวยจริงๆแล้ว”ฟางจิ่นซิ่วเห็นสมุดบัญชีมาแล้ว ย่อมรู้ราคายาเหล่านี้ไม่ธรรมดาจริงแท้แน่นอน“ยาเหล่านี้ปลุกตายกลับเป็นได้หรือ?” เขามองตู้ยา สีหน้าไม่เข้าใจ “คนเหล่านี้ทำไมเหมือนกับบ้าไปแล้วหยิบเงินมากขนาดนี้มาซื้อยา?”“เพื่อแลกน้ำขี้เถ้า น้ำมันหอมจากวัดถ้วยหนึ่งคนเป็นพันเป็นหมื่นก็เข้าไปมากมายนักเหมือนกัน” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย เคาะผิวโต๊ะ อดไม่ได้กลอกตาลางร้ายมีโรคไม่ใช่มีโรค เป็นมีลางร้ายลางร้ายเป็นหายนะของชีวิต รักษาชีวิตย่อมต้องแพงกว่ารักษาโรคมากแน่นอนยัยคนนี้ มาเป็นหมอดูแล้วได้ย่างไร“เจ้าคิดเช่นนี้ไม่ได้” เฉินชีกลับไม่เห็นด้วย “นางรักษาโรคให้หายดีไหมเล่า?”แน่นอนรักษาหายดีแล้ว ไม่อย่างนั้นบนสมุดบัญชีคงไม่มีค่ารักษาน่าสะพรึงสามครั้งนั้น“รักษาโรคก็รักษาโรคสิ นี่ไม่ใช่ต้มตุ๋นไหม” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย“รักษาไม่หายคือต้มตุ๋น หากรักษาหายได้ คนทั้งหมดล้วนยินดีถูกนางต้ม” เฉินชีเอ่ย มองตู้ยาเบื้องหน้า ดวงตาเป็นประกาย “นี่เป็นพ่อค้าตัวจริง”“ก็หวังแต่กิจการใหญ่อย่าได้นำปัญหาใหญ่มา” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย“พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกอีก” เฉินชีเอ่ย “คนมีชีวิตอยู่บนโลก ก็คือเรื่องทางโลก อยู่ท่ามกลางปัญหานิจนิรันดร์ ปัญหาไม่ใช่เจ้าหลบก็จะไม่มา มีความสามารถจริงย่อมไม่กลัวปัญหา”ฟางจิ่นซิ่วถลึงตามองเขาทีหนึ่ง“นี่เหมือนที่เจ้าปรารถนาจริงๆแล้ว” นางเอ่ย “มีอุดมการณ์ใหญ่หลวงอะไร นอนหลับตื่นหนึ่งก่อนค่อยว่ากันเถอะ”……………………………………….ตอนฟ้าสว่างโร่ เจียงโหย่วซู่เดินเข้ามาในสำนักแพทย์หลวง ในฐานะหัวหน้าสำนักแพทย์หลวง เขาไม่ไปตรวจรักษาใครง่ายๆ คนที่เชิญเขาได้มีไม่เท่าไร ส่วนใหญ่เพียงแค่ฟังลูกน้องรวมถึงบรรดาศิษย์ถกเถียงกรณีรักษา ชี้แนะนิดหน่อยเท่านั้นถกเถียงกรณีศึกษาเหมือนเดิมแล้ว บรรดาลูกน้องต่างก็แยกย้ายจากไป เจียงโหย่วซู่นั่งอยู่บนเก้าอี้กลับรู้สึกว่าลืมเรื่องอะไรไปอยู่เขาพลิกบันทึกผู้ป่วยของตน ฮองไทเฮาเมื่อวานก็ถามอาการตามปกติไปแล้ว ยาที่ใช้สำหรับบรรดาชนชั้นสูงในวังก็ตรวจไปแล้ว“ข้ายังรับปากไปรักษาบ้านไหนอีกไหม?” เขาเอ่ยถามศิษย์ศิษย์ส่ายศีรษะ“พักนี้นอกจากจวนติ้งหยวนโหวก็ไม่มีแล้วขอรับ” เขาเอ่ยจวนติ้งหยวนโหวเจียงโหย่วซู่คิดขึ้นมาอาการป่วยของภรรยาติ้งหยวนโหวควรไปดูใหม่แล้วนับดูแล้วยาก็กินไปช่วงหนึ่งแล้วเหมือนกัน น่าจะอาการลดน้อยลงบ้าง จับชีพจรคุยถึงการรักษาต่อไปได้แล้วแต่พักนี้ไม่เห็นคนจวนติ้งหยวนโหวมาเร่งเลยนี่
คอมเม้นต์