Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 152 เปลี่ยนไปอย่างเงียบเชียบ
เดือนแปดอากาศเย็นอยู่บ้างแล้วเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งดังขึ้นที่ปากตรอก คนมากมายในตรอกล้วนเปิดประตูบรรดาเด็กน้อยดั่งสุนัขป่าตัวร้ายรุมเข้ามา“ยังมีน้ำตาลไหม?”“มีน้ำตาลไหม?”พวกเขาล้อมคุณหนูจวินที่เดินมาถึงปากตรอกร้องตะโกนขึ้นคุณหนูจวินยิ้มส่ายศีรษะ“อากาศเย็นแล้ว ไม่ต้องกินน้ำตาลแล้ว” นางว่าใบหน้าของเด็กทั้งหลายล้วนเต็มไปด้วยความเสียดาย พวกผู้ใหญ่ในบ้านได้ยินเดินออกมาเรียกลูกๆ ของตนทันที“อย่าไปรบกวนท่านหมอจวิน” พวกนางตะโกนครึ่งเดือนก่อน พวกเขาก็ร้องเรียกลูกๆ ของตนเองไว้ แต่ไม่ใช่กลัวรบกวนท่านหมอจวิน แต่กลัวท่านหมอจวินทำร้ายเด็กๆผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยืนอยู่ปากตรอก มองความเปลี่ยนแปลงนี้ยากจะปิดบังความตกตะลึงอยู่บ้าง“ทำไมอยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนไป?” เขาเอ่ยขึ้นไม่เข้าใจอยู่บ้าง “นางก็ไม่ได้รักษาโรคสำคัญสะเทือนฟ้าสะเทือนดินอะไรนี่?”นอกจากนี้ชื่อเสียงที่เมืองหลวงของโรงหมอจิ่วหลิงก็ยังคงไม่สะดุดตาเหมือนดิม ทำไมรู้สึกว่าท่าทีของคนในเมืองปุบปับก็เปลี่ยนไปแล้วเล่า?หลายวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองพนักงานด้านหลัง พนักงานก็ส่ายศีรษะสีหน้าไม่เข้าใจเช่นกัน“ไม่ได้ทำอะไรนี่ขอรับ” หนักงานเอ่ยขึ้น “มีบางคนเป็นฝ่ายมาถามคุณหนูจวินเองว่ามีหรือไม่มีลางร้าย ก็ไม่รู้ว่าล้อเล่นหรือจริงจัง”เขาเอ่ยยื่นมือชี้“ท่านดูสิขอรับ ผู้ดูแลใหญ่”ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองไป เห็นคนในตรอกล้วนมองคุณหนูจวินที่เดินเข้ามาจริงๆไม่มีการดูแคลนรังเกียจอย่างก่อนหน้า เห็นเพียงความสงสัยใคร่รู้จนถึงขั้นรีบเร่ง“ท่านหมอจวิน ท่านดูหน่อยสิว่าข้ามีลางร้ายหรือไม่?” ยังมีคนเอ่ยถามฟังอย่างไรนี่ก็เหมือนประชดนะ?คุณหนูจวินยิ้มส่ายศีรษะ สักประโยคหนึ่งก็ไม่พูดยังคงเดินหน้าต่อคนที่ไม่ได้รับคำตอบบนหน้าผุดรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มกลับไม่เหมือนยิ้มหยัน แต่เป็นยินดี“นี่บ่งบอกว่าร่างกายของข้าแข็งแรงไม่มีสิ่งชั่วร้าย” นางยังเอ่ยกับคนข้างๆ อย่างภาคภูมิมีความคิดแบบนี้ด้วย?ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองตกตะลึงมีคนในตรอกวิ่งออกมาอีก นี่เป็นผู้หญิงหลายคน คนหนึ่งในนั้นอ้อมแขนยังกอดเด็กน้อยคนหนึ่งไว้“ท่านหมอจวิน ท่านหมอจวิน” พวกนางร้องเรียก เสียงตระหนก “รีบดูลูกสาวข้าทีว่าเป็นอะไร?”ลูกค้าเข้าร้านแล้ว ดูท่าคุณหนูจวินคนนี้จะคลี่คลายสถานการณ์ในหมู่ชาวบ้านแล้วจริงๆบางทีคงเป็นเพราะอยู่ด้วยกันจนคุ้นหน้า?เช่นนี้ก็ดี แม้ชื่อเสียงมาช้า แต่อย่างไรก็ดีขึ้นทุกวันๆผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองคุณหนูจวินที่ยืนอยู่ด้านข้างคนครอบครัวหนึ่งด้วยความโล่งอกคุณหนูจวินมองแม่นางน้อยที่ถูกผู้ใหญ่กอดไว้ในอ้อมอกทีหนึ่ง“ไม่เป็นไร” นางว่า ยื่นมือชี้ไปด้านนอก “นี่พวกเจ้าไปโรงหมอบนถนนฝังสักเข็มก็หายดีแล้ว”ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วตะลึงอีกครั้ง ถึงกับไม่รักษาอีก?แต่ครั้งนี้ได้ยินคุณหนูจวินว่าเช่นนี้ ครอบครัวนี้กลับไม่ได้โกรธเกรี้ยวและไม่ได้ด่าขึ้นมาเพราะถูกเหยียดอย่างหวังเฉาซื่อ ตรงกันข้ามสีหน้าเบิกบาน“ดีเหลือเกิน คุณพระคุ้มครอง คุณหนูจวินบอกว่าไม่เป็นไร” ผู้หญิงสองคนยังเอ่ยอย่างซาบซึ้งคุณหนูจวินบอกว่าไม่เป็นไร? คำพูดของคุณหนูจวินเป็นประกาศิตวจนะพระพุทธแล้วหรือ?ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วอึ้งมองคนครอบครัวนี้อุ้มลูกวิ่งผ่านข้างตัวไปน่าสนใจเขามองไปทางคุณหนูจวินด้านหน้า กลับเห็นคุณหนูจวินเก็บกระดิ่งหมุนตัวมา“คุณหนูพวกเราไปที่ไหนอีก?” หลิ่วเอ๋อร์รีบเข้าไปเอ่ยถาม“ที่ไหนก็ไม่ไปแล้ว” คุณหนูจวินตอบ “กลับโรงหมอจิ่วหลิง”ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็กลับไปเร็วอยู่ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองสีท้องฟ้า แต่ต่อมาเหล่าพนักงานก็บอกว่าคุณหนูจวินไม่ออกไปข้างนอกแล้วหนึ่งวันสองวันอาจเป็นเหนื่อยต้องการพัก แต่ต่อมาสามวันสี่วันคุณหนูจวินก็ล้วนนั่งอยู่ในโรงหมอจิ่วหลิง“พูดเช่นนี้ไม่เป็นหมอเร่แล้ว?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยถาม“เหมือนจะใช่ อยู่ที่โรงหมอจิ่วหลิงวุ่นวายกับยาอยู่ทุกวันแหนะขอรับ” พนักงานเอ่ยขึ้น“ก็ถูกนะ อย่างนางเช่นนี้คิดแต่จะหาลงมือทีหนึ่งได้พันสองพันตำลึง หาง่ายขนาดนั้นที่ไหนเล่า” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วส่ายศีรษะเอ่ยขึ้น “อาศัยสิ่งนี้สร้างชื่อ ไม่สู้รับตรวจตรงไปตรงมาจริงๆ ข้าว่าวิชาแพทย์ของนางก็ไม่เลว สั่งสมช้าๆ เช่นนี้ถึงดีสุด”แต่มีประโยชน์อะไรเล่า คำพูดของเขาเด็กสาวคนนี้ก็ไม่ฟังสักหน่อย“เขียนเรื่องราวช่วงนี้ให้นายน้อย” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยกับเด็กรับใช้แม้ไม่หวังให้นายน้อยจัดการเรื่องของคุณหนูจวินนานแล้ว แต่ก็เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้หยางเฉิงทุกครึ่งเดือนตามคำสั่ง ตอนนี้ถึงเวลาควรส่งจดหมายแล้วและด้านในโรงหมอจิ่วหลิงเวลานี้ คุณหนูจวินก็กำลังเขียนจดหมายเหมือนกัน ด้านในโถงก็ไม่ใช่ว่างเปล่า“คุณชายหนิง เชิญดื่มชา” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้นยกน้ำชาถ้วยหนึ่งส่งให้หนิงอวิ๋นเจายิ้มพยักหน้าให้นางรับไป มองชาด้านในกลายเป็นสีแดงน้อยๆ“ดื่มเถอะ เหมาะพอดีกับเจ้านักเรียนผู้ตรากตรำอ่านหนังสือข้ามคืน” คุณหนูจวินเอ่ย ไม่ได้เงยหน้าขึ้นหนิงอวิ๋นเจายิ้มดื่มชาไปคำหนึ่ง“พูดเช่นนี้หลังจากนี้ก็ไม่ต้องไปเป็นหมอเร่แล้ว?” เขาเอ่ยถาม“ที่ควรเดินก็เดินหมดแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย “ควรรู้ก็รู้แล้ว ต่อไปข้าก็รอคนมีวาสนาแล้วกัน”หาหมอกลายเป็นมีวาสนาตั้งแต่เมื่อไรเด็กสาวคนนี้พูดจาน่าขำจริงๆหนิงอวิ๋นเจายิ้มอีกครั้ง“ก็ใช่ อย่างไรพวกเราก็ไม่ใช่เพื่อเงิน” เขาว่าหลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างร้องเอ๋ขึ้นมา“พวกเรานี่ใคร?” นางเอ่ยถาม“ย่อมเป็นเจ้าข้าคนบ้านเดียวกันสนิทสนม“ หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย สีหน้าไม่สะทกสะท้าน “พวกเขาคิดว่าเปิดโรงหมอเป็นการค้าขาย ค้าขายย่อมต้องเพื่อเงิน แต่ที่จริงแล้วการค้าขายบางอย่างก็ไม่ใช่เพื่อเงิน”หลิ่วเอ๋อร์ร้องอ้อทีหนึ่ง สงสัยอยู่บ้าง“ถ้าอย่างนั้นเพื่ออะไร?” นางเอ่ยถาม“เพื่อชื่อเสียง เพื่อสืบสาน” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยหลิ่วเอ๋อร์ร้องอ้ออ้อ ได้ยินพนักงานด้านหลังร้องว่าน้ำเดือดแล้ว นางรีบเข้าไปชงชาต่อคุณหนูจวินตอนนี้คั่วเครื่องยาด้วยตนเองอยู่ สอนหลิ่วเอ๋อร์ชงยาสมุนไพรเป็นแล้วมองดูหลิ่วเอ๋อร์ที่เดินเข้าไป หนิงอวิ๋นเจายกถ้วยชาดื่มคำเดียวหมด ผ่อนลมหายใจเช่นกันคุณหนูจวินเขียนพู่กันสุดท้ายเสร็จเช่นกัน“วันนี้เจ้าไม่ยุ่งหรือ?” นางเอ่ยถาม“ข้าพอดีออกจากบ้านไปบ้านทานอา ผ่านที่นี่พอดี ไม่มานานแล้วมาดูว่าเป็นอย่างไร” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยคุณหนูจวินมองเขายิ้มให้แม้ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเขาต้องพูดจากอ้อมทางเป็นผ่านทางเสมอ แต่ก็รู้ว่าคำถามนี้ถามออกไปจะทำให้คนกระอักกระอ่วนไม่ยื่นมือตบหน้าคนยิ้ม ไม่จำเป็นต้องสร้างความกระอักกระอ่วน“ตอนนี้ดูอะไรไม่ออก รอผ่านไปอีกสักช่วงหนึ่งก็จะคึกคักแล้ว” นางยิ้มบอกพูดผ่อนคลายสบาย พูดเหมือนมีแผนการในใจ“คนพอหรือไม่ล่ะ? ต้องการให้ข้าช่วยไหม?” หนิงอวิ๋นเจาก็ยิ้มเอ่ยขึ้นเขาก็ผ่อนคลายสบายๆ กับคำพูดของนางเหมือนกันรวมถึงมีแผนการในใจ“นั่นไม่จำเป็น” คุณหนูจวินเอ่ย สะบัดกระดาษในมือ “ข้าหาผู้ช่วยได้แล้ว”…ฟางเฉินอวี่มองจดหมายในมือส่งเสียงหัวเราะออกมาฟางอวิ๋นซิ่วที่อยู่ด้านข้างมองเขาทีหนึ่ง“เขียนอะไรมารึ? น่าขำขนาดนี้?” นางเอ่ยถามฟางเฉิงอวี่ไม่พูดไม่จา ฟางอวี้ซิ่วก็เอ่ยปากเสียก่อน“จดหมายทื่อๆ ที่นางเขียนมีอะไรน่าขำได้เล่า ก็แค่เฉิงอวี่ชอบหัวเราะก็เท่านั้น” นางเอ่ยฟางเฉิงอวี่หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง ส่งจดหมายให้นาง“พี่รองท่านลองดูสิ” เขาเอ่ยดวงตาเป็นประกาย “จิ่วหลิงเริ่มมีชื่อเสียงแล้ว ไม่ต้องเป็นหมอเร่แล้ว”ฟางอวี้ซิ่วรับจดหมายมาอ่าน“นางจะทำตัวเป็นพวกผู้หญิงจริงๆ แล้ว” นางเอ่ย “หมอดีๆ ไม่เป็น จะเป็นหมอผี”……………………………………….
คอมเม้นต์