Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 151 ปรารถนาจะเหิมเกริม
เหิมเกริมคำนี้ไม่เคยเป็นคำที่ดีอะไร แต่พูดออกมาจากปากจูจั้นดูเหมือนเป็นเรื่องมีเกียรตินักชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้วยกันตบโต๊ะทีหนึ่งด้วย“นั่นสิ พวกเรายังนั่งโถงรวมเลย” เขาเอ่ยตอนที่พวกเขาพูด คนบนชั้นสองก็ให้ห้องไปแล้ว ไม่รู้พูดอะไร ไม่เพียงไม่โกรธ ตรงกันข้ามผงกหัวค้อมเอวให้สามคนนั้นอย่างพินอบพิเทาประดุจพนักงานร้าน“ดูท่าคงเป็นคนใหญ่คนโตคนหนึ่งนะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งยักคิ้วเอ่ยขึ้น“เมืองหลวงถึงกับมีคนใหญ่คนโตคนนี้ที่พวกเราไม่รู้จัก?” จางเป่าถังเอ่ยขึ้นบ้างซื่อเฟิ่งมองดูพนักงานหลายคนที่เดินลงบันไดด้านนั้น ยกมือขึ้นทันที“มานี่ มานี่” เขาร้องเรียกบรรดาพนักงานย่อมรู้จักพวกเขาเหล่านี้ ไม่กล้าชักช้ารีบก้าวเข้ามา“นายท่านซื่อ ท่านมีอะไรเรียกหาหรือขอรับ” เขายิ้มประจบเอ่ยขึ้น“เจ้าหนูนั่นใคร?” ซื่อเฟิ่งเอ่ยถาม ชี้ไปที่ชั้นสองพนักงานร้านสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย“เป็น เป็น…” เขาอึกๆ อักๆ เหมือนไม่กล้าพูดจางป่าวถังยกเท้าแจกเขาทีหนึ่ง“มีอะไรรีบพูด” เขาเอ่ยด่าคนเหล่านี้เขาก็ขัดใจไม่ได้เหมือนกัน พนักงานสีหน้าเป็นทุกข์กุมก้น“เจี่ยงเผิงนายประตูเมืองตะวันตกขอรับ” เขาเอ่ยคำพูดนี่ออกมาบรรดาชายหนุ่มบนโต๊ะก็พ่นเสียงหัวเราะ“นายประตู?”“แม่โว้ย”“เมืองหลวงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”ทุกคนหัวเราะครื้นเครง พนักงานร้านถูกหัวเราะสีหหน้ากระอักกระอ่วน และติดจะไม่สบายใจอยู่บ้าง“เจ้าหนูนี่เกาะใคร?” จูจั้นที่ไม่เอ่ยวาจามาตลอดเอ่ยขึ้นสีหน้าพนักงานร้านยิ่งประหลาดแล้ว อึกๆ อักๆ อีกครั้ง“ไม่กล้าพูด?” จูจั้นเลิกคิ้ว “ดูท่าคงเป็นคนคุ้นเคยของพวกเราสินะ?”ชายหนุ่มที่นั่งอยู่อึ้งไป พนักงานร้านสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกันที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ที่พนักงานร้านคนนี้อึกอัก แทนที่จะบอกว่ากลัวอีกฝ่าย ไม่สู้บอกว่าไม่อยากให้พวกกเขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครพนักงานร้านทำไมกลัว ย่อมต้องกลัวหลังรู้เข้าพวกเขาจะขัดแย้งกันบรรดาชายหนุ่มคิดเข้าใจก็ยิ่งหงุดหงิดทันที“มารดามันรีบพูด” ซื่อเฟิ่งพลันตบโต๊ะทีหนึ่ง“ใต้เท้าหัวหน้ากองพันลู่ขอรับ” พนักงานร้านทำอันใดไม่ได้ได้แต่เอ่ยความจริงบรรดาชายหนุ่มเลิกคิ้วทันที“ที่แท้เป็นเขาหรือ” พวกเขาเอ่ยขึ้น“ไม่ถูกสิ ใต้เท้าหัวหน้ากองพันลู่สายตาสูงส่งอยู่บนฟ้า นายประตูตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะเกาะเขาได้อย่างไร” ซื่อเฟิ่งเอ่ยขึ้น“นายท่านซื่อ ท่านไม่รู้” พนักงานร้ายกดเสียงเบา “เขาย่อมประจบใต้ลู่ไม่ติด แต่เขาโชคดี”พูดพลางยักคิ้วหลิ่วตา“อนุภรรยาคนหนึ่งที่เขาซื้อมาใหม่ใต้เท้าลู่ต้องตาเข้า”ซื่อเฟิงกำลังยกสุราขึ้นดื่ม ได้ยินพ่นถ่มลงพื้น“มารดามันน่ารังเกียจจริงๆ ล้อเล่นอะไรกัน” เขาเอ่ยชายหนุ่มคนอื่นก็สีหน้าตกตะลึงเช่นกัน“จริงแท้แน่นอนขอรับ วันนั้นหัวหน้ากองพันลู่ผ่านประตูเมือง พบอนุภรรยาที่มาส่งข้าวให้นายประตูก็ต้องตาเข้า นายประตูคืนนั้นก็ให้คนส่งไป” พนักงานร้านเอ่ยขึ้น แม้หวาดกลัวมาก แต่เรื่องนี้ชาวบ้านชอบพูดคุยนักจริงๆบรรดาชายหนุ่มสบตากันทีหนึ่ง“ชอบภรรยาของผู้อื่น?” ซื่อเฟิ่งเอ่ยขึ้น“ไม่ใช่แค่นั้น ไม่ใช่ก่อนหน้านี้ยังมีสาวขายชาอะไรคนหนึ่งด้วยหรือ?” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นซื่อเฟิงจิ๊ปากสองสามที“ช่างสำมะเลเทเมา” เขาแสร้งทำท่าทอดถอนใจ “คิดไม่ถึง หัวหน้ากองพันลู่เด็กน้อยชาติกำเนิดยากจนคนหนึ่งเช่นนี้ก็เหลวแหลกเหมือนกับพวกเราด้วยแล้ว”นี่ชมหรือว่าด่ากัน? พนักงานร้านฟังแล้วมึนงง“แบบนี้ไม่ได้นะ” จูจั้นลุกขึ้นยืน ปวดใจสุดซึ้งเอ่ยขึ้น “เด็กดีเช่นนี้คนหนึ่ง คนที่ทำงานเพื่อฝ่าบาท จะถูกคนข้างล่างพัวพันความบริสุทธิ์สุจริต”บริสุทธิ์สุจริต?ใครบริสุทธิ์ใครสุจริต?พนักงานร้านฟังยิ่งไม่เข้าใจ แต่มองชายหนุ่มพวกนี้คนอื่นลุกขึ้นยืนตาม ม้วนแขนเสื้อกำหมัด เขาก็รู้ว่าพวกเขานี่กำลังจะทำอะไรแล้วรู้อยู่แล้วบุตรชายเฉิงกั๋วกงเจอกับหัวหน้ากองพันลู่ต้องมีเรื่องแน่อย่างไรพวกท่านสองตระกูลใครข้าก็มีเรื่องไม่ได้ พนักงานร้านหดหัวหลบออกไปไม่นานด้านในเหลาสุราก็มีเสียงโครมครามดังขึ้น ต่อจากนั้นคนมากมายในเหลาสุราก็วิ่งออกมา“ทะเลาะกันแล้ว!”คนบนถนนแห่เข้ามาทันที ยังไม่ทันเข้าไปมองให้ชัด ก็เห็นมีคนสามคนถูกโยนออกมาจากในเหลาสุรา เสื้อผ้าบนร่างล้วนถูกถอดสิ้น เหลือเพียงกางเกงขาสั้นปิดจุดน่าอายตัวหนึ่งผู้คนที่ล้อมดูยู่หัวเราะครืนทันที“นี่ไม่ใช่นายประตูเจี่ยงหรือ?”ยังมีคนจำได้เรียกขึ้นคำพูดนี้ออกมาผู้ชายคนหนึ่งที่เดิมต้องปกปิดร่างกายก็รีบใช้มือปิดหน้า วิ่งจากไปท่ามกลางเสียงหัวเราะประสานเรื่องสนุกนี่พริบตาก็แพร่ไปทั่วถนนแล้ว เมื่อถึงยามราตรีมาเยือนก็แพร่ไปถึงเรือนในหลังหนึ่งด้านในห้องตกแต่งหรูหราโอ่อ่า เวลานี้วางโต๊ะตัวหนึ่งไว้ กำลังมีคนสองคนนั่งประจันหน้าทานอาหารอยู่คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มผู้สวมชุดอยู่บ้านธรรมดาสีครามคือลู่อวิ๋นฉี คนหนึ่งเป็นหญิงสาวอายุราวยี่สิบอาภรณ์ฉูดฉาดคนหนึ่งย่อมเป็นคนโปรดคนใหม่ของเขาลู่อวิ๋นฉีสีหน้ากลับไม่นิ่งสนิทไร้อารมณ์เหมือนยามอยู่ข้างนอก บางทีอาจเพราะใต้แสงโคมเป็นเหตุ ดวงหน้าจึงแลดูอ่อนโยนขึ้นมาก เขายื่นมือใช้ตะเกียบคีบอาหารให้หญิงสาวที่นั่งตรงข้าม“เจ้าลองนี่ดู” เขาเอ่ยขึ้นผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามสีหน้าไม่สบายนัก ราวกับทั้งชอบทั้งหวาดเกรงอยู่บ้าง“เจ้าค่ะ ขอบคุณใต้เท้า” นางเอ่ย“เรียกข้าลู่อวิ๋นฉี” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย รั้งตะเกียบกลับคนที่กล้าเรียกชื่อหัวหน้ากองพันลู่ต่อหน้าน่ากลัวว่าคงมีไม่กี่คน ร่างกายของหญิงสาวสั่นน้อยๆ“ลู่ ลู่อวิ๋นฉี” นางสั่นอยู่นานถึงเรียกออกมาสั่นๆ ได้ลู่อวิ๋นฉีมองนางแล้วยิ้ม“อืม” เขาขานรับปากน้อยๆ ของหญิงสาวอ้าออกเล็กน้อยมองผู้ชายที่เผยรอยยิ้มอยู่ตรงข้าม รอยยิ้มนั้นแย้มออกบนดวงหน้าขาวดุจกระเบื้องเคลือบนี้ ทำให้ทั้งห้องสว่างไสวขึ้นมาสวรรค์ ใครจะได้เห็นรอยยิ้มของลู่อวิ๋นฉีหัวหน้ากองพันลู่บ้าง รอยยิ้มเช่นนี้ด้านนอกประตูเสียงเคาะเบาๆ ดังขึ้นหญิงสาวมองเห็นรอยยิ้มบนหน้าของลู่อวิ๋นฉีดุจสายน้ำถดถอยไป พริบตาก็ฟื้นกลับมานิ่งสนิทเหมือนก่อนหน้า สายตาเย็นเยียบมองผ่านนางไปหัวใจของหญิงสาวหยุดเต้น รีบก้มหน้าไม่กล้ามองเขาตรงๆหูได้ยินมีคนเดินเข้ามา“ใต้เท้า เจี่ยงเผิงมาขอรับ” คนที่มาเอ่ยบอกได้ยินเจี่ยงเผิงชื่อนี้ หญิงสาวก็ใจเต้นขึ้นมาอีกหลายครั้ง บนหน้าวิตกอยู่บ้าง“เขาคิดอะไร?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยถาม ทานอาหารอ้อยอิ่ง“เขาไม่พูดอะไรเลย แค่บอกว่าอยากพบใต้เท้า” ผู้ที่มาเอ่ยบอกลู่อวิ๋นฉีหยิบผ้าเช็ดหน้าด้านข้างเช็ดมุมปาก ทิ้งผ้าเช็ดหน้าลงกับพื้น“ข้าไม่อยากพบเขาแล้ว” เขาเอ่ยผู้ที่มาขานรับหนึ่งประโยคไม่พูดมากหมุนตัวออกไป หญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะกำมือแน่น ปลายหางตาจับอยู่บนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นบนพื้นไม่อยากพบเขาแล้ว หมายความว่าอย่างไร? เหมือนกับผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ที่ถูกโยนทิ้งงั้นหรือ?“ทำไม? อาวรณ์หรือ?” เสียงทุ่มนุ่มของลู่อวิ๋นฉีดังขึ้นข้างหูเสียงน่าฟังเช่นนี้กลับทำให้หญิงสาวกลัวจนตัวสั่นลุกขึ้นยืน“ไม่ ไม่ ไม่ใช่เจ้าค่ะ ใต้เท้า” นางเอ่ยติดต่อกัน“เรียกข้าลู่อวิ๋นฉี” ลู่อวิ๋นฉีมองนางเอ่ยขึ้นหญิงสาวกัดริมฝีปาก“ลู่ อวิ๋นฉี” นางเอ่ยเสียงสั่นบนหน้าลู่อวิ๋นฉีแย้มรอยยิ้มอีกครั้ง“ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไร รีบนั่งเสีย” เขาเอ่ยหญิงสาวใจผวาขวัญสะท้านนั่งลง มองลู่อวิ๋นฉีหยิบตะเกียบขึ้นมา“ลู่ อวิ๋นฉี” นางใจกล้าเรียกลู่อวิ๋นฉีเงยหน้ามองนาง สีหน้าบนหน้ายิ่งยินดี“หืม? เรื่องอะไร? เจ้าว่ามา” เขาเอ่ยอั้ยโยะมารดาข้า ใครจะคิดว่ายมราชลู่จะพูดจากับคนเช่นนี้ หญิงสาวคิดในใจอีกครั้ง แต่ตอนนี้คนที่ได้สัมผัสท่าทางเช่นนี้คือตนเองเป็นตนเองเชียวนะเดิมทีคิดว่าเป็นอยุภรรยาของนายประตูคนนั้นก็บินขึ้นยอดไม้แล้ว คิดไม่ถึงว่าจังหวะมาโชคพลิกผันถึงกับหนึ่งก้าวเหยียบขึ้นสวรรค์หญิงสาวสูดลมหายใจลึกหลายครั้ง“ข้า ข้าไม่คิดอื่นใดกับเจี่ยงเผิงคนนั้น” นางใจกล้าเอ่ยขึ้น “ท่านอย่าโกรธ ข้ากับเขา…”ไม่รอนางพูดจบ ลู่อวิ๋นฉียิ้ม“ข้ารู้” เขาเอ่ยขึ้น ขัดคำพูดของหญิงสาว พร้อมกันก็ใช้ตะเกียบคีบอาหารให้นาง “รีบทานเถอะ”หญิงสาวลมหายใจกระชั้นแววตาสุกใส รู้สึกเพียงมีความสุขจนหายใจไม่ทัน“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ” นางได้แต่เอ่ยซ้ำๆ หยิบตะเกียบรีบทานอาหารลู่อวิ๋นฉียิ้มมองนาง เพียงแต่ใต้แสงโคมมองดูรอยยิ้มนั้นยิ่งแลดูโศกเศร้าขึ้นทุกที…ที่ร้านสุราในตลาดกลางคืน พวกจูจั้นนั่งโถงรวมดื่มสุรา มีคนก้าวไวๆ เดินมา กระซิบชิดหูจางเป่าถังหลายประโยค“หัวหน้ากองพันลู่โยนเจี่ยงเผิงออกจากเมืองหลวงไปแล้ว” จางเป่าถังเอ่ยขึ้นซื่อเฟิ่งหัวเราะฮ่าฮ่า“ไม่เลว ไม่เลว” เขามองทุกคน “ใต้เท้าลู่สำนึกผิดแก้ไขไม่มีสิ่งใดดีกว่านี้ หลังจากนี้ยังคงเป็นขุนนางดีคนหนึ่ง”ทุกคนหัวเราะขึ้นมามีเพียงจูจั้นลูบคางสีหน้าไม่ดีใจ“ยังไม่สะใจเลย” เขาว่าเสียงหัวเราะของทุกคนหยุดลง“ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเราไปดักตีเจ้าหนูนี่อีกครั้งไหม?” ซื่อเฟิ่งพลันเอ่ยขึ้นเจ้าหนูนี่ย่อมหมายถึงหัวหน้ากองพันลู่ชายแก่ขายสุราด้านข้างพยายามขยับออกไปสุดกำลัง ราวกับได้ยินคำพูดนี้ก็จะหาปัญหามาได้ดักตีหัวหน้ากองพันลู่ พวกเขายังอุตส่าห์กล้าคิด“ตีก็ไม่ใช่ตีไม่ได้ แต่เจ้าหนูนี่ใจเล็กเท่าหนู ไม่ออกจากบ้าน ออกจากบ้านก็มีคนโขยงใหญ่คุ้มครอง” จางเป่าถังเอ่ยอย่างตั้งใจ “โอกาส หาไม่ง่ายนะ”ซื่อเฟิ่งถอนหายใจ“ใช่สิ” เขาดื่มสุราคำหนึ่ง “คิดถึงตอนนั้นจริงๆ หนอ บอกจะตีเขาก็ตีได้”ทุกคนหัวเราะขึ้นมา ยังคงมีเพียงจูจั้นไม่หัวเราะ“พี่รอง ท่านไม่คิดถึงหรือ?” ซื่อเฟิ่งเอ่ยถามจูจั้นหยิบไหสุราขึ้นดื่มคำหนึ่ง มองเขาทีหนึ่งยิ้ม“คิดถึงสิ” เขาเอ่ย “ข้าอยากตีเขาอีกสักหนจริงๆ เหมือนก่อนหน้านี้แบบนั้น”พูดจบก็ดื่มสุรารวดเดียวหมด สายตามองไปทางกลางแม่น้ำ รอยยิ้มบนหน้าสลายไป โคมไฟริมน้ำส่องดวงหน้าเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดแต่นั่นแล้วอย่างไร อดีตย้อนกลับมาไม่ได้อีกแล้ว……………………………………….
คอมเม้นต์