Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 149 คุยเล่นไม่ถือสา
เปลี่ยนเป็นใครได้ยินว่าลางร้ายนี้ย่อมต้องไม่พอใจ บรรดาผู้หญิงในตรอกโกรธเคืองโบกมือทันที“ไปไปไป อย่ามาหาพวกเราทางนี้ อัปมงคล”ตามองเห็นกำลังจะผลักบนร่างคุณหนูจวิน“เฮ้เฮ้ ทำอะไร ทำอะไร”เสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งควบคู่กับเสียงร้องของผู้ชายดังมาจากปากตรอก ผู้คนมองไป เห็นชายหนุ่มสูงใหญ่กำยำกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา พวกผู้หญิงตกใจสะดุ้งโหยง“ทำอะไรรังแกคนรึ?”“คนมากมายขนาดนี้รังแกแม่นางน้อยคนอื่น?”ชายหนุ่มเหล่านี้ล้อมเข้ามา แต่ละคนตะโกนโหวกเหวกบรรดาผู้หญิงย่อมจำคุณชายเสเพลเหล่านี้ได้ รีบหลบออกไปทันทีคุณชายเสเพลเหล่านี้จะทำอันใด?ปกป้องความยุติธรรม? เป็นไปไม่ได้คงจะแทะโลมแม่นางน้อยล่ะสิความคิดแล่นผ่านก็เห็นชายหนุ่มเหล่านั้นล้อมเด็กสาวคนนี้ไว้ ในนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งคิ้วเรียวดวงตาหงส์สวมอาภรณ์ฉูดฉาดยิ้มให้เด็กสาว“คุณหนูจวิน” เขาหัวเราะคิกคัก “บังเอิญจริงเชียว”เด็กสาวคนนั้นไม่ได้ตกใจจนดวงหน้างามถอดสีตื่นตระหนก ตรงกันข้ามขยับแย้มยิ้ม“ใช่แล้ว บังเอิญจริงๆ” นางยิ้มเอ่ยขึ้น สายตากวาดผ่านพวกเขา “ดูท่าคงต้องยินดีกับพี่ใหญ่จางที่สุขภาพแข็งแรงแล้ว”บรรดาชายหนุ่มผิวปาก“นี่เรียกพี่ใหญ่เสียแล้วรึ”“ใช้ได้นี่จางเป่าถัง”ทุกคนหัวเราะผลักจางเป่าถังแต่การหยอกล้อนี่ไม่ได้ทำให้เด็กสาวอึดอัด ตรงกันข้ามมีเพียงจางเป่าถังหน้าแดงกระดากอายอยู่บ้าง นางกลับยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิมจิ๊จิ๊จิ๊ จูจั้นส่ายศีรษะ หน้าของเด็กสาวคนนี้นี่“คุณหนูจวิน จางเป่าถังบอกว่าวิชาแพทย์ของท่านเยี่ยมนัก” ซื่อเฟิ่งเอ่ยขึ้น “ท่านลองตรวจข้าดูบ้างสิว่ามีโรคอะไรหรือไม่?”คำพูดนี้ทะลึ่งจริงๆบรรดาผู้หญิงที่ล้อมดูอยู่ไกลๆ เบะปากฟังต่อไปไม่ได้ นี่ก็คือจุดจบของเด็กสาวคนหนึ่งที่ไม่อยู่บ้านดีๆ เปิดหน้าเปิดตามาเป็นหมอเร่อะไรหมอเร่คนนี้กลับไม่อับอายโกรธเคือง ตรงกันข้ามกลับหัวเราะอีกครั้ง“เอาสิ” นางเอ่ยขึ้น สายตาจับบนร่างเขา จดจ่อทั้งตั้งใจไม่เคยมีเด็กสาวกล้ามองเพศตรงข้ามคนหนึ่งเช่นนี้มาก่อนชายหนุ่มที่เห็นฉากพลอดรักนานาชนิดจนเคยคุ้นถูกสายตาจดจ้องเช่นนี้มอง ตนเองกลับแข็งทื่อก่อนเด็กสาวไม่เพียงมอง ยังสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่งยื่นมือมา“ทำอะไร?” ซื่อเฟิงถอยหลังโดยไม่รู้ตัวหลุดปากเอ่ยถามจูจั้นยกเท้าถีบซื่อเฟิงทีหนึ่ง ซื่อเฟิงที่เพิ่งถอยหลังหนึ่งก้าวก็ถูกถีบไปตรงหน้าคุณหนูจวินคุณหนูจวินไม่ได้สะดุ้งตกใจ ซื่อเฟิ่งกลับส่งเสียงร้องจูจั้นหัวเราะเสียงดังบรรดาชายหนุ่มจึงหัวเราะลั่นตามด้วยผู้ชายกลุ่มหนึ่งล้อมเด็กสาวคนหนึ่งประสานเสียงหัวเราะ นี่ทำให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจกลัว คนที่ล้อมชมเหตุการณ์อยู่ไกลๆ แค่ดูก็ทนไม่ไหวแล้วคุณชายเสเพลเหล่านี้น่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆแต่ที่ยิ่งทำให้คนกลัวก็คือ เด็กสาวที่ถูกล้อมอยู่กลับหัวเราะตามด้วย“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องจับชีพจรแล้ว” นางหัวเราะ วางมือลง “ร่างกายของท่านดียิ่งนัก ไม่มีปัญหา”ซื่อเฟิ่งมองนาง แล้วมองทุกคน“นี่ข้า ถูกหยอกงั้นรึ?” เขาเอ่ยถาม“ใช่สิ ใช่สิ” จูจั้นตบเขาเบาๆ “ยินดีด้วยน้องสาวสี่ เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกัน”คำพูดนี้ทำให้ทุกคนหัวเราะลั่นอีกครั้งซื่อเฟิ่งลูบปลายคาง“ที่แท้นี่ก็คือการถูกหยอก” เขาเอ่ย ใบหน้ายิ้มแย้ม ยิ้มพลางมองจูจั้นอีกครั้ง “แต่ ท่านทำไมต้องพูดว่าเหมือนกัน?”รอยยิ้มบนหน้าจูจั้นแข็งค้างซื่อเฟิ่งตบไหล่เขาหัวเราะลั่นทันที“โอ้โอ้ ข้ารู้แล้ว” เขายิ้มเอ่ยขึ้น แล้วมองคุณหนูจวิน “ที่แท้เจ้าเคยหยอกเขามาก่อน มิน่าเขาถึงไม่ชอบเจ้าขนาดนี้”หยอกรึบรรดาชายหนุ่มเอะอะทันที มองจูจั้นแล้วมองคุณหนูจวินจูจั้นสีหน้าฟื้นกลับมา เลิกคิ้วมองคุณหนูจวิน ไม่มีเจตนาจะอธิบายสักนิดนี่เป็นการหยอกเย้าโต้งๆ จริงๆ นะ ยังผลัดกันหยอกเย้าอีกด้วยน่ากลัวเกินไปแล้ว“คุณชายล้อเล่นแล้ว” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยขึ้น “นี่จะเรียกหยอกได้อย่างไร ข้าเป็นหมอ มองฟังถามจับ ล้วนเพื่อรักษาโรค ไม่แบ่งชายหญิง”ซื่อเฟิ่งเก็บเสียงหัวเราะมองคุณหนูจวินประเมินทีหนึ่ง“คุณหนูจวิน ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเป็นท่านหมอคนหนึ่งจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้น “จิตใจนิ่งสงบไม่ตระหนกเช่นนี้ของเจ้า นอกจากแม่ทัพออกศึกสังหารศัตรู ก็มีเพียงท่านหมอมีได้”จิตใจอะไร ก็แค่ไม่รู้จักอายเท่านั้นอย่างไรก็เป็นเจ้าถิ่นแห่งหรู่หนาน กอดผู้ชายกลางถนนไม่ยอมปล่อยยังกล้าทำ ยังกลัวผู้อื่นล้อมเอ่ยวาจาหยอกล้อรึจูจั้นยิ้มหยัน“พวกเจ้าไม่ต้องกวนคุณหนูจวินแล้ว” จางเป่าถังเอ่ย คำนับคุณหนูจวิน “คุณหนูจวิน ท่านบอกว่าอาการป่วยของข้าหายแล้ว ดื่มสุราได้แล้ว ดังนั้นพวกเราจึงจะทานอาหารกัน”เขาพูดถึงตรงนี้ก็ยืดตัวตรง“เชื้อเชิญไม่สู้พานพบ ท่านก็มาด้วยกันสิ”คำพูดนี้ออกมาตนเองก็อึ้งไปแล้ว พริบตกระอักกระอ่วนยิ่งนักมีที่ไหนผู้ชายกลุ่มหนึ่งเชื้อเชิญเด็กสาวคนหนึ่งไปดื่มสุราด้วย นี่เรียกคำพูดอะไรกันบางทีอยู่ต่อหน้าเด็กสาวคนนี้คงรู้สึกผ่อนคลายสบายใจเกินไป ผลสุดท้ายจึงเหมือนกับพบบรรดาสหายที่คุ้นเคยของตนเอง ทักทายเรียกมิตรเรียกสหายด้วยความเคยคุ้นซื่อเฟิ่งหัวเราะหึหึแล้ว“คุณหนูจวิน พี่สามบ้านข้าเชื้อเชิญแล้ว เป็นน้ำใจ” เขายักคิ้วหลิ่วตาเอ่ยขึ้นเชิญผู้หญิงคนนี้!อย่าคิดว่านางไม่กล้าตอบรับจูจั้นในใจแค่นเสียงเหอะ“พอแล้ว น้ำใจให้เงินก็พอแล้ว” เขาว่า หยิบถุงเงินออกมาโยนข้ามมาจริงๆ “ขอบคุณคุณหนูจวินมาก น้ำใจเล็กน้อยโปรดรับไว้ด้วย”นี่อับอายขายหน้าเกินไปแล้วเรื่องที่เกินไปยิ่งกว่านี้พวกเขาล้วนทำมาแล้ว แต่เวลานี้ตอนนี้ บนหน้าของจางเป่าถังกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง อดไม่ได้กดแขนของจูจั้นไว้คุณหนูจวินรับถุงเงินไป สีหน้าไม่มีอายโกรธสักนิด“ขอบคุณมาก” นางยิ้มเอ่ยขึ้นจิ๊จิ๊จิ๊ เห็นไหม ในใจจูจั้นแค่นเสียงเหอะอีกครั้ง“ไป” เขาหมุนตัวก้าวยาวบอกจะไปก็ไปเลยเรอะ บรรดาชายหนุ่มมองคุณหนูจวินทีหนึ่งอีกครั้ง จางเป่าถังคำนับคุณหนูจวินติดจะรู้สึกผิดอยู่บ้าง ส่วนซื่อเฟิ่งยิ้มตาหยีทั้งยังยักคิ้ว“คุณหนูจวิน ครั้งหน้าพบกันนะ” เขาว่าคุณหนูจวินยิ้ม คำนับให้พวกเขา“ครั้งหน้าพบกัน” นางเอ่ยบรรดาชายหนุ่มก้าวยาวตามจูจั้นไป“คุณหนูจวินคนนี้น่าสนใจนะ” ซื่อเฟิ่งเอ่ยขึ้น แล้วหันกลับไปมองคุณหนูจวินผู้ยังยืนอยู่ที่เก่า “เปิดเผยห้าวหาญ”จูจั้นไม่แม้แต่จะหันศีรษะกลับมาหัวเราะ“นี่นับเป็นเปิดเผยห้าวหาญอะไร” เขาว่า “เทียบกับ…นางยังห่างอยู่ไกล”ประโยคสุดท้ายเสียงเบาแทบไม่อาจได้ยิน หายไปตรงริมฝีปากยามก้าวไปข้างหน้าส่วนหลิ่วเอ๋อร์ด้านนี้ในที่สุดก็โล่งอกก้าวเข้ามา“คุณหนู คนเหล่านี้น่ารังเกียจจริงๆ” นางเอ่ยคุณหนูจวินหัวเราะ“ก็ไม่นับว่าน่ารังเกียจจริงหรอก มากที่สุดแค่วาจาไม่ได้กระทำ” นางเอ่ยขึ้น มองแผ่นหลังของพวกจูจั้น “ขอแค่อย่าเหมือนกับคนเหล่านั้นที่ข้าเคยพบมาก่อนหน้า เอาคนมาเล่นสนุกก็พอ”หลิ่วเอ๋อร์ประหลาดใจ“เอาคนมาเล่นสนุก? ที่ไหน?” นางเอ่ยถามตั้งแต่เล็กนางก็อยู่กับคุณหนู ทำไมจำไม่ได้ว่าเคยพบเรื่องนี้มาก่อน?ย่อมต้องเป็นที่เมืองหลวงคุณหนูจวินยิ้มตอนนั้นนางเรียนวิชาแพทย์กับอาจารย์เป็นปีที่สาม เหมือนเช่นสองปีก่อนหน้าช่วงปีใหม่เร่งเดินทางกลับเมืองหลวงมาข้ามปีกับครอบครัว ขี่มาเร่งเดินทางมาตลอดทาง ตอนที่ผ่านประตูเมืองเห็นคนหลายคนกำลังรุมอัดคนอยู่คนเหล่านั้นสวมเสื้อผ้าหรูหรา เห็นชัดว่าเป็นลูกลานของตระกูลร่ำรวยหลายคนรุมคนเดียวก็เกินไปมากแล้ว หลายคนนี้ยังหน้าไม่อายปิดบังหน้าตาไว้อีกนี่ก็คือการดักตีที่อาจารย์เล่าสินะนางเห็นเข้าไม่สบอารมณ์ อาศัยตอนที่ผ่านประตูตะโกนให้หลีกยกแส้หวดใส่พวกเขาอย่างแรงคนหลายคนนั้นหน้าไม่อายจริงๆ ยังคิดขวางทำร้ายนางเด็กสาวคนหนึ่ง ถุงงูถุงหนึ่งที่อาจารย์เตรียมไว้ให้นางใช้ระหว่างทางได้ใช้ประโยชน์พอดี ถูกนางสะบัดใส่คนเหล่านี้ ทำพวกเขาตกใจวิ่งหนีไปแล้วส่งพระส่งให้ถึงตะวันตก นางหยิบป้ายหยกองค์หญิงยศจวิ้นจู่ออกมาให้ยามเฝ้าประตูเมืองที่เข้ามาสอบถามคุ้มครองคนที่ถูกทำร้ายหมดสติอยู่ที่พื้นคนนั้นกลับไป ตอนนี้ถึงตบม้ายกแส้จากไปนับขึ้นมานั่นก็เป็นเรื่องเจ็ดปีก่อนแล้ว ยาวนานจริงๆ เหมือนเรื่องเมื่อชาติที่แล้วก็ชาติที่แล้วน่ะสิ เรื่องขององค์หญิงจิ่วหลิงเมื่อชาติที่แล้ว“เอาล่ะ ไปเถอะ” คุณหนูจวินเก็บความคิดที่ล่องลอยไปไกล ยิ้มให้หลิ่วเอ๋อร์คุณหนูโกรธนางก็โกรธ คุณหนูไม่ร้อนใจนางก็ไม่ร้อนใจ หลิ่วเอ๋อร์หัวเราะด้วยพยักหน้าถือธงสูงก้าวเท้าเดินในตรอกเพราะพวกจูจั้นจากไป ผู้คนที่ออกันอยู่ที่นี่ล้วนมองพวกนาง สีหน้าดูแคลนเทียบกับก่อนหน้านี้ยิ่งเพิ่มความเยาะหยันและถากถางอีกหลายส่วน“หน้าไม่อายจริงๆ”“ทำไมไม่คุกเข่าขอให้คนเหล่านี้ให้นางตรวจโรคล่ะ”“นั่นสิ คนเหล่านี้ล่อลวงได้ก็ร่ำรวยแล้ว”เสียงวิพากษ์วิจารณ์แผ่วเบาแต่ก็ลอยเข้าหูให้คนได้ยินไม่ขาดคุณหนูจวินไม่สนใจ มองเห็นผู้หญิงที่เมื่อครู่บอกว่ามีลางร้ายยังยืนอยู่ด้านข้างก็เดินเข้าไปอีกครั้งแต่ครั้งนี้เห็นนางจะเข้ามา ผู้หญิงคนนั้นก็ถ่มน้ำลายหมุนตัวจากไปเสียก่อนแล้วคุณหนูจวินได้แต่หยุดฝีเท้า รอบด้านเสียงหัวเราะดังขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะนี่เอง ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาจากนอกตรอก ก้าวเท้ารีบร้อนสีหน้ากังวลมองซ้ายมองขวาราวกับตามหาอะไรอยู่ มองเห็นคุณหนูจวินรวมถึงธงที่หลิ่วเอ๋อร์ยกอยู่ในมือเข้า ฉับพลันดวงตาก็ทอประกายนางก้าวเท้าเร็วไวมายืนตรงหน้าคุณหนูจวิน“คุณหนูจวิน” นางเอ่ยขึ้น ท่าทางคาดหวังอยู่บ้าง “ท่านดูหน่อยข้ามีลางร้ายหรือไม่?”เสียงหัวเราะในตรอกชะงักไป สายตาทั้งหมดล้วนมองไปทางผู้หญิงคนนั้น……………………………………….
คอมเม้นต์