Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 141 หมอยาใจ
คุณหนูจวินมองผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสีหน้ายุ่งยากจากไป ไม่ได้สนใจนางย่อมรู้ความคิดในใจเขาแต่ก็ไม่ได้อะไรพูดกับเขาได้อีก เพราะผู้หญิงคนนี้ป่วยจริงๆ“ป่วยใจ”ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่หลังมุมกำแพงยื่นศีรษะมองไปด้านนอก“ผู้หญิงคนนี้ป่วยใจ”นางก็มองไปข้างนอกตาม ในมือยังถือผลไม้เคลือบน้ำตาลไม้หนึ่ง เพิ่งมองทีหนึ่งก็ถูกมือใหญ่ดันศีรษะกลับเข้าไป“ตอนแอบดูผู้อื่นต้องทำให้ไร้เสียงไร้ร่องรอย หัวเจ้าจะทิ่มเข้าตาผู้อื่นอยู่แล้ว”ขนาดนั้นเชียวรึ?อาจารย์ไม่ใช่ก็ยื่นศีรษะออกไปเหมือนกันหรือนางกัดผลไม้เคลือบน้ำตาลแรงๆเพราะโดนเสือกินม้าไปบนเขา จึงบอกว่าจะมาหาเงินในเมือง มาถึงตั้งนานแล้วยังไม่ทำงานจริงๆ สักที“อะไรเรียกทำงานจริงๆ อย่าเอาแต่คิดจะม้วนแขนเสื้อลงมือทำ ลับมีดไม่ถ่วงงานตัดฟืน” เขาว่ายืนอยู่ในร่มเงา มองดูใบหน้าเลือนรางของผู้ชายผอมสูงคนนี้ใต้แสงตะวัน“เมื่อครู่ตอนซื้อผลไม้เคลือบน้ำตาล เจ้าได้ยินคนเหล่านี้พูดถึงผู้หญิงคนนี้สินะ?”นางไม่อยากซื้อผลไม้เคลือบน้ำตาลอะไรสักหน่อย นางอายุเท่าไรแล้ว!เป็นเขาจะให้นางแสร้งเป็นเด็กให้ได้ ดึงนางไปถึงตลาดฝ่าคนวุ่นวายพักหนึ่งก็เหยียบเท้านางจนนางร้องเสียงดัง แล้วเขาก็ใส่ร้ายว่านางเป็นเด็กโวยวาย ซื้อผลไม้เคลือบน้ำตาลให้นางนางโกรธจุกอก ไหนเลยจะมีอารมณ์สุนทรีย์ฟังว่าพวกผู้หญิงเหล่านี้ว่าอย่างไร“เจ้าอย่าได้ดูแคลนพวกผู้หญิงเหล่านี้เชียว พวกนางหูดุจสายลมตาเห็นพันลี้”งั้นรึ?นางกัดผลไม้เคลือบน้ำตาลมองผู้ชายคนนี้ถือธงผืนหนึ่ง หยิบกระดิ่งอันหนึ่งขึ้นมา“ผู้หญิงคนนี้กินยาทุกวี่ทุกวัน อาการป่วยไม่เคยดีขึ้น ในตลาดมีคนพูดว่าตั้งแต่แม่สามีของนางจากโลกไปก็เป็นเช่นนี้”“พวกเขายังพูดว่าแม่สามีของนางตอนมีชีวิตอยู่ไม่ดีกับนาง”“ตามหลักการแล้วแม่สามีตายไปนางควรดีใจถึงจะถูก”นี่เรียกว่าหลักการอะไร หลักการบิดเบี้ยวของท่านน่ะสิอาจารย์แย่งผลไม้เคลือบน้ำตาลในมือของนางไป ยัดธงไว้ในมือนาง“หลักการบิดเบี้ยวอะไร ชนแล้วเจ็บ เจ็บแล้วร้องไห้ โดนตีแล้วชิงชัง ดีใจแล้วยิ้ม นี่ถึงเป็นหลักการที่แท้จริง”“ผู้อื่นตีเจ้าหนึ่งฝ่ามือ ในใจเจ้าย่อมชิงชัง ต่อให้แสร้งทำหน้ายิ้มเอ่ยว่าไม่เป็นไรก็ล้วนเป็นท่าทีซึ่งแสร้งทำ”“ใจกว้างทนรับทุกเรื่องในใต้หล้า นั่นพระพุทธองค์เท่านั้นถึงทำได้ นอกจากนี้เรื่องที่ทนรับก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา แน่นอนย่อมทนรับได้”เสียงกระดิ่งใสกังวานดังขึ้นบนถนน นางติดตามอาจารย์ อุ้มธงเดินตามอย่างไม่ยินดีไม่ยินยอมนางเงยหน้ามองถ้อยคำบนธงรักษาเฉพาะโรคร้ายรักษายาก ได้ยาโรคหาย ฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดีนางไม่เข้าใจเลย บอกชื่อหมอเทวดาจางทีหนึ่ง คนเท่าไรก็เข้ามารุมล้อมแล้วชัดๆ เขาทำไมดันจะต้องแบกธงนี้ เป็นหมอเร่รับสายตาระแวงและดูแคลนของผู้คนรักษาโรคหาเงิน“เพราะนั่นเป็นเงินที่แลกมาด้วยชื่อเสียง ง่ายก็ง่ายอยู่ แต่เหนื่อยนี่”“ยังไงแบบนี้ก็ลดปัญหา มีเงินมีชื่อ แล้วไม่ต้องสนใจเรื่องวุ่นวายพวกนั้น”ก็ไม่เข้าใจว่าเป็นหลักการอะไรกันอย่างไรเขามักจะมีเหตุผลเสมอนางมองผู้ชายสั่นกระดิ่งกลางแสงอัสดงตะวันพลบ ยืนอยู่เบื้องหน้าหญิงคนหนึ่ง“พี่สาวท่านนี้ ข้าเห็นท่านมีลางร้าย” เขาสีหน้าจริงจังเอ่ยขึ้นลางร้าย?ตรวจโรคมองลางร้ายออกได้ด้วย?“พี่สาวท่านอย่าได้ไม่เชื่อข้า ท่านถูกผีร้ายติดพันมานานปี ดังนั้นจึงป่วยมานานรักษาไม่หายเช่นนี้”อะไรนะ?นางตะลึงมองผู้ชายที่เป็นภาพขมุกขมัวไม่ชัดเจนนี่เป็นหมอเร่ไหม? นี่ไม่ได้ต้มตุ๋นคนใช่ไหม?“โรคบางอย่าง ต้องหลอกถึงจะรักษาหายดี” เขาหันกลับมามองนางเอ่ยขึ้นจริงจัง “เจ้าจำไว้”นางจำเรื่องนี้ทำอะไรนางไม่ได้คิดจะไปหลอกคนเสียหน่อย นางเพียงต้องการรักษาโรคของบิดาเท่านั้นคิดถึงตรงนี้คุณหนูจวินก็ถอนหายใจเบาๆไม่คิดเลยนางจะทำเช่นนี้จริงๆพูดขึ้นมา พระบิดาแม้ไม่อยู่แล้ว แต่นี่นางก็นับว่ารักษาโรคให้พระบิดาแล้วสินะเพียงแต่ว่าโรคนี้ ไม่ใช่โรคกาย แต่เป็นโรคกล้ำกลืนความอยุติธรรมถ้าเช่นนั้นก็รักษาโรคต่อไปเถอะ“คุณหนู คุณหนูต่อจากนั้นล่ะเจ้าคะ?เสียงหลิ่วเอ๋อร์ขัดความคิดล่องลอยของนาง“ผู้หญิงคนนั้นถูกผีเกาะติดจริงหรือ?”ค่ำคืนยาวนานไร้กิจธุระ คุณหนูจวินยินดีเล่าสาเหตุของเรื่องที่ตนเองทำวันนี้ให้หลิ่วเอ๋อร์ฟัง แน่นอนว่าเปลี่ยนเป็นอ่านพบมาจากในหนังสือ บอกว่าที่ทำกับผู้หญิงคนนั้นเช่นนี้ในวันนี้เพราะในหนังสือเคยพูดถึงตัวอย่างอาการป่วยเก่าประการหนึ่งมาก่อน”“แน่นอนว่าไม่ใช่” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น นั่งเอนบนเตียง โบกพัดเบาๆ “นางที่จริงป่วยใจ ตั้งแต่หลังแม่สามีตายจากไป ค่ำคืนมักจะฝันว่าแม่สามีเดินเข้ามาจากนอกประตูยามเที่ยงคืน”หลิ่วเอ๋อร์กลัวจนตัวสั่น กระโดดจากบนพื้นขึ้นมาบนเตียง หวาดกลัวมองไปที่หน้าต่างทีหนึ่ง จากตรงนี้มองออกไป เมืองหลวงยามค่ำคืนโคมไฟสว่างไสวคุณหนูจวินยิ้มเอาพัดเคาะนางทีหนึ่ง“นั่นก็เพราะก่อนตายนางกับแม่สามีทะเลากัน นางหดหู่มานานปี ในที่สุดอดไม่ไหวด่ากลับไปหนึ่งประโยค แล้วยังลอบด่าแช่งในห้องให้แม่สามีไปตายซะ ผลสุดท้ายไม่คิดว่าบังเอิญขนาดนั้น แม่สามีไปตักน้ำลื่นล้มตกบ่อจมน้ำตาย” นางว่าหลิ่วเอ๋อร์เข้าใจแล้ว“อ๋อ ดังนั้นนางจึงคิดว่านางแช่งแม่สามีจนตาย” นางเอ่ยขึ้น“ใช่แล้ว นางถูกแม่สามีกดขี่มาทั้งชีวิต ต่อให้แม่สามีตายไปแล้ว ในใจก็ยังคงหวาดกลัว ทั้งยังรู้สึกว่าทำผิด ดังนั้นถึงใจคลางแคลงเกิดเป็นผี จิตไม่นิ่ง กลางวันขบคิดค่ำคืนหลับฝัน ดังนั้นตนเองจึงทำให้ตนเองกลัว” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้นหลิ่วเอ๋อร์พยักหน้า“ถ้าอย่างนั้นหลังจากนั้นล่ะเจ้าคะ?” นางรับพัดมาพัดให้คุณหนูจวิน รีบร้อนเอ่ยถาม “ป่วยใจต้องรักษาอย่างไร?”คุณหนูจวินหัวเราะ ขื่นขมอยู่บ้างอาจารย์น่ะหรือ เขาอ่านคัมภีร์ท่อนหนึ่ง แล้วสั่งให้นางอาศัยตอนสวดคัมภีร์ไปผลักป้ายวิญญาณแม่สามีของผู้หญิงคนนั้นล้มแตก ผู้หญิงได้โอกาสร้องไห้โฮตำหนิกล่าวโทษตนเองกับเพื่อนบ้านรอบด้านบนถนน ด่าทอตนเองไม่กตัญญูกับแม่สามี ตอนมีชีวิตไม่ได้ดูแลแม่สามีให้ดี หลังตายยังทำให้ป้ายวิญญาณของแม่สามีเสียหาย ถือโอกาสพูดสิ่งที่ไม่กล้าพูดกับผู้อื่นซึ่งสั่งสมมาเหล่านั้นออกมาจนหมดสิ้นแม่เฒ่าคนนั้นตายมานานขนาดนั้น นอกจากนี้ทุกคนล้วนรู้ว่านางไม่ดีกับลูกสะใภ้คนนี้ ดังนั้นต่อให้ผู้หญิงคนนี้พูดความคิดไม่เคารพบางอย่างออกมา ทุกคนก็ล้วนไม่ถือสา พากันกล่อมปลอบนาง สามีของนางก็อภัยให้นางนางร้องไห้ครั้งหนึ่งปมในใจคลายออก อาจารย์ก็ให้น้ำรมธูปหอมจำนวนหนึ่งแก่นาง รับเงินหนึ่งร้อยตำลึงมา ไม่นานด้วยความนับถือที่ผู้คนมีให้ยอดคนผู้ไร้ชื่อ พวกเขาศิษย์อาจารย์ก็หาเงินมากินดื่มเที่ยวเล่นตามใจได้อย่างรวดเร็วตอนนั้นนางรู้สึกว่าหน้าไม่อายจริงๆ“หน้าไม่อายอย่างไรเล่า? ขโมยรึหรือว่าปล้นรึ?” อาจารย์ตั้งคำถามไม่พอใจอย่างมากไม่ได้ขโมยไม่ได้ปล้น แต่หลอกลวงนี่“หลอกอะไรเล่า? ข้าไม่ได้รักษาอาการป่วยของพวกนางหายดีรึ?” ผู้ชายคนนั้นขี่บนม้าสบายอุรา “บนโลกนี้มีคนหลากหลายประเภท แล้วก็มีอาการป่วยหลากหลายชนิด ดังนั้นวิธีรักษาอาการป่วยย่อมหลากหลายแบบด้วย”คุณหนูจวินมองโคมไฟดวงน้อยที่หัวเตียง แผ่นหลังของอาจารย์ในสายตาค่อยๆ ไกลออกไปหากอาจารย์ยังอยู่ล่ะก็ จะดีมากไหมนะ จะช่วยตนเองไหมนะ?คิดถึงตรงนี้นางก็หัวเราะอาจารย์น่ะหรือ แม้กระทั่งรักษาอาการป่วยให้ท่านพ่อยังกลัวสร้างปัญหาวุ่นวายหนีไป หากเวลานี้ยังมีชีวิตอยู่ ต้องวิ่งหนีเร็วกว่าเดิมแน่ ไม่มีทางให้ตนเองหาเขาเจอ“คุณหนู ถ้าอย่างนั้นหญิงคนไหนก็มีอาการเช่นนี้หรือเจ้าคะ? ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้นางจะมาหาพวกเราไหมเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามอย่างใคร่รู้คุณหนูจวินยิ้ม“เรื่องของพรุ่งนี้ก็ว่ากันพรุ่งนี้เถอะ” นางเอ่ย คนก็ล้มตัวนอน “ข้าง่วงแล้ว”หลิ่วเอ๋อร์รีบลงจากเตียง ปลดมุ้งโปร่งบางลงมา มองคุณหนูจวินหันหน้าไปด้านในนอนไม่ขยับคุณหนูเหนื่อยจริงๆ สินะหลิ่วเอ๋อร์มือเบาเท้าเบาดับโคมไฟถอยออกไปจากห้องในห้องมืดสนิท มองลอดหน้าต่างเห็นเมืองหลวงดั่งดวงดาราตกลงมายังโลกมนุษย์วิบวับส่องสว่างคุณหนูจวินหันหน้าไปด้านในนอนไม่ขยับ ดวงตากลับยังเปิดอยู่ มีน้ำตาไหลรินช้าๆนั่นแล้วอย่างไร อาจารย์ไม่ช่วยตน ไม่สนตน ตัดชื่อศิษย์อาจารย์ก็ไม่เป็นไรขอเพียงเขายังมีชีวิตอยู่ จะดีมากเพียงไรจนถึงเขาไม่อยู่แล้ว จนถึงนางก็ไม่อยู่แล้ว นางถึงรู้ว่าทุกสิ่งที่เขาสอนให้นางล้วนล้ำค่ามากเพียงใดราตรีค่อยๆ เงียบสงัดในบ้านอีกด้านหนึ่งของเมืองหลวง มีคนสะดุ้งขึ้นมาเหมือนตกใจตื่นจากการหลับใหล เสียงความเคลื่อนไหวในห้องเรียกหญิงรับใช้เวรกลางคืนด้านนอกให้ขยับตอนที่นางยกโคมเข้ามาก็มองเห็นชายหนุ่มท่อนบนเปลือยเปล่ายืนอยู่หน้าราวเสื้อข้างเตียงแล้ว“ท่านชาย?” หญิงรับใช้รีบเอ่ยขึ้น ลดโคมไฟลง “ท่านต้องการสิ่งใดเจ้าคะ?”จูจั้นสวมชุดฤดูร้อนส่งๆ ปิดหน้าอกกำยำที่มีรอยแผลหลายรอยไว้“ข้าจะไปข้างนอกสักหน่อย” เขาเอ่ยดึกขนาดนี้แล้ว? เข้านอนไปแล้ว ทำไมจะออกไปอีก?หญิงรับใช้ยังอยากถาม จูจั้นก็ออกจากประตูหายไปในราตรีราวกับสายลมเสียแล้ว……………………………………….
คอมเม้นต์