Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 140 นางป่วย
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วตกใจสะดุ้งโหยง ผู้หญิงคนนี้ก็ตกใจสะดุ้งโหยงการแต่งตัวของคุณหนูจวินนี้ พวกนางเมื่อครู่เห็นแล้วก็รู้ว่าทำอะไร แม้แม่นางน้อยคนหนึ่งเป็นหมอเร่จะประหลาดอยู่บ้าง แต่ก็ยังรับได้ต่อให้แม่นางน้อยคนนี้ขวางทางพวกนางก็ยอมรับได้เหมือนกันหมอเร่ไหม พูดไปแล้วก็เหมือนกับขอข้าวกิน อย่างไรก็ต้องอ้าปากทำกิจการแต่อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าที่เด็กสาวคนนี้เปิดปากไม่ใช่หาหมอขายยา แต่เป็นเจ้ามีลางร้ายลางร้ายหมอเร่ทุกวันนี้ใช้คำเปิดบทสนทนาเหมือนกับหมอดูแล้วหรือ?ผู้หญิงตั้งตัวไม่ทันตะลึงไปยู่บ้าง แต่ได้สติกลับมาก็ถ่มน้ำลายลงพื้นโกรธเกรี้ยวอยู่นิดๆ“ชิชะ” นางเอ่ยขึ้น “โชคร้าย”สาวใช้หญิงรับใช้ก็ได้สติกลับมาด้วย รีบทำหน้าโกรธเกรี้ยวมาผลักคุณหนูจวิน“รีบหลีกไป รีบหลีกไป” พวกนางตวาดหลิ่วเอ๋อร์แบกธงขวางไว้“ทำอะไร! คุณหนูของข้าบอกว่ามีลางร้ายก็คือมีลางร้าย!” นางคิ้วตั้งตะโกนขึ้นมาไม่เคยเห็นสาวใช้ที่ดุร้ายเช่นนี้ คนเหล่านี้ตกใจสะดุ้งโหยงชั่วขณะไม่ขยับอาศัยโอกาสนี้ คุณหนูจวินยิ้มคำนับอีกครั้ง พลางดึงหลิ่วเอ๋อร์มาหลังร่าง“นายหญิงข้าเป็นหมอของโรงหมอจิ่วหลิง ข้าเห็นสีหน้านายหญิงอัดอั้น กลางหว่างคิ้วดำคล้ำ ฝีเท้าเลื่อนลอย คิดว่าหลายวันนี้กลางคืนคงนอนไม่หลับ ทั้งยังตกใจขวัญหายง่ายๆ” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เป็นเช่นนี้ต่อไปร่างกายของนายหญิงจะทนต่อไปไม่ไหว นี่เป็นลางร้ายยิ่ง”สาวใช้หญิงรับใช้ได้ยินนางพูดจบก็ได้สติกลับมาบ้าง สีหน้ายิ่งอับอายโกรธเกรี้ยว“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร” พวกนางด่าท่อผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็ส่ายศีรษะ พูดไปแล้วหมอดูกับหมอเร่ก็ต่างกันไม่มาก หมอต้องมองฟังถามจับ หมอดูก็ต้องมองฟังถามจับเหมือนกัน มองฟังถามจับดูว่าอีกฝ่ายเป็นคนรวยที่หลอกเอาเงินได้หรือไม่ มองสีหน้าเขาเลียบเคียงถามความกังวลของเขา ลงมือฉับไว ผ่าตรงเข้ากลางใจ นี่ถึงได้ชื่อเรียกขานว่าแม่นผู้หญิงคนนี้ตรงหน้า เห็นชัดๆ ว่ากระปรี้กระเปร่า สีหน้ามีความสุข คุณหนูจวินท่านทำไมไม่มีตาเช่นนี้ จะต้องบอกว่าผู้อื่นสีหน้ากลัดกลุ้ม หว่างคิ้วดำคล้ำผู้หญิงยิ้มแล้วอย่างที่คิด ส่ายศีรษะ“เอาล่ะเอาล่ะ ข้าไม่ถือสาเด็กอย่างเจ้า” นางว่า โบกมือให้หญิงรับใช้ “ให้เงินเด็กคนนี้สองอีแปะ ให้นางไปเถอะ”หญิงรับใช้จึงหยิบเงินไม่กี่อีแปะออกมายัดเข้าไปในอกเสื้อของหลิ่วเอ๋อร์ที่กอดธงอยู่“ครั้งหน้าขอเงินก็พูดจากเป็นมงคลหน่อย” นางเอ่ยโกรธเคืองหลิ่วเอ๋อร์จะด่าทันที คุณหนูจวินจับนางไว้ส่ายศีรษะผู้หญิงคนนั้นไม่สนใจนางอีกเดินตรงไปด้านหน้า“นายหญิง ท่านไม่อยากรักษาอาการป่วยนี้ก็ช่างเถิด แต่หากอยากให้ค่ำคืนสงบขึ้นหน่อยสักหลายวัน ก็โปรยใบสนกำหนึ่งไว้ข้างประตู เช่นนี้มันก็จะไม่กล้าเข้ามาแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยกลางวันสว่างจ้าเช่นนี้ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วได้ยินคำพูดนี้เข้ายังอดไม่ได้สั่นสะท้านนี่เป็นคำขู่หรือคำสาปแช่ง?น่ากลัวเป็นบ้าสาวใช้หญิงรับใช้ด้านนั้นยิ่งโกรธเกรี้ยว“เจ้าพูดอะไรน่ะ!” พวกนางพากันด่าทอขึ้นมาคุณหนูจวินกลับไม่ได้สนใจพวกนาง คำนับเล็กน้อยแล้วหมุนร่างก้าวเท้าเชื่องช้าจากไป สั่นกระดิ่งในมือต่อหลิ่วเอ๋อร์ก็ย่นจมูกใส่คนเหล่านั้น ส่ายธงเดินตามไปแล้วผู้ดูแลใหญ่หลิ่วส่ายศีรษะบ่ายหน้านิดหนึ่งเดินตามคนไม่กี่คนนี้เบื้องหน้าไป สาวใช้หญิงรับใช้ยังคงกรุ่นโกรธชี้แผ่นหลังคุณหนูจวินด่าทอ“ไม่รู้ว่ามาจากไหนประหลาด”“โชคร้ายจริงๆ”“โลกสมัยนี้ แม้กระทั่งเด็กน้อยก็ออกมาเดินหลอกลวงแล้ว”“นางบอกว่าโรงหมอจิ่วหลิงอะไร โรงหมอจิ่วหลิงคืออะไร?”ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหันข้างก้าวไวผ่านข้างกายพวกนางไป กลัวเพียงถูกจำได้โดนหางเลขไปด้วย“เอาล่ะ” เป็นผู้หญิงคนนั้นเอ่ยขึ้น “กลับกันเถอะ”ผู้คนตอนนี้จึงเดินต่อกรุ่นโกรธ เสียงกระดิ่งใสกังวานไกลออกไปในตรอก ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหันกลับไปมองทีหนึ่ง เห็นผู้หญิงคนนั้นกำลังหันกลับมามอง สีหน้าเหมือนคิดอะไรคราวนี้ดีแล้ว คงคิดว่าโรงหมอจิ่วหลิงคืออะไร ต้องมีคนมาหาถึงประตูแน่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วส่ายศีรษะเร่งฝีเท้าเดินออกไป“คุณหนูจวิน เมื่อครู่ผู้หญิงคนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”ยังดีหลังออกจากที่นี่ไปคุณหนูจวินไม่ได้เดินเตร่ต่อ แต่ตรงกลับมาโรงหมอจิ่วหลิงผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็ไม่ได้หลบซ่อนอีกต่อไปตรงตามเข้ามาด้วย เอ่ยถามตรงเข้าประเด็น“ก็ชัดอยู่นะ นางก็คือคนป่วยที่ข้าต้องการหา” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น“พูดเช่นนี้ท่านวนเวียนในเมืองหลวงหลายวันขนาดนี้ ก็เพื่อนาง?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยถามคุณหนูจวินส่ายศีรษะอีกครั้ง“พูดให้ชัด คือเพื่อคนป่วยประเภทนี้อย่างนาง” นางเอ่ยประเภทนี้อย่างนาง?ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพรูลมหายใจ“คุณหนูจวิน อภัยที่ข้าพูดตรงๆ” เขาเอ่ย “นี่ท่านกำลังคิดจะหลอกลวงหรือจะต้มตุ๋น?”คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?หลิ่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างถลึงตาทันทีคุณหนูจวินหัวเราะก่อนถึงวางถ้วยชาลง“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว นี่จะเป็นการหลอกลวงได้อย่างไรเล่า?” นางเอ่ยขึ้น“นี่ไม่ใช่หลอกลวงแล้วเป็นอะไร? แม้กระทั่งมงคลอัปมงคล ผีสางเทวดาล้วนออกมาแล้ว” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย“ผีเกิดจากใจ เทพเกิดแต่ความคิด” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น “โรคมาจากจิตใจว้าวุ่น ปราณอ่อนแอสิ่งเลวร้ายเข้าทำร้าย นี่ย่อมไม่ใช่ผีสางเทวดาทำ ถ้าไม่เช่นนั้นทำไมชาวบ้านมักจะพูดว่าคนร่างกายอ่อนแอคนหนึ่งเรียกความอัปมงคลมาได้ง่ายเล่า? ที่จริงคือร่างกายเขาอ่อนแอ พลังชีวิตลมปราณแตกซ่าน ความคิดจึงล่องลอยได้ง่าย”ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วฟังจนงงไป“ถ้าเช่นนั้นความหมายของท่านก็คือผู้หญิงคนนั้นป่วยจริงๆ?” เขาเอ่ยขึ้น“แน่นอนจริงสิ” คุณหนูจวินว่าผู้ดูแลใหญ่หลิ่วคิดไปคิดมา ย้อนคิดถึงสีหน้าการกระทำของผู้หญิงคนนั้น“ทำไมข้ามองไม่ออกว่านางป่วย?” เขาอดไม่ได้เอ่ยขึ้น“เพราะข้าเป็นหมอ เจ้าไม่ใช่” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยตอบคำพูดนี้ก็มีเหตุผล ทำให้คนไม่อาจโต้แย้งผู้ดูแลใหญ่หลิ่วอับจนวาจา“ข้าย่อมมองออกว่านางต่างกับคนทั่วไป ไม่เช่นนั้นทำไมข้าเดินวนมาหลายวันขนาดนี้ พบคนมากขนาดนั้น แต่ขวางนางเพียงคนเดียวเล่า?” คุณหนูจวินเอ่ยต่อใช้สิ ฟังแบบนี้ก็มีเหตุผลมากจริงๆ“แต่ท่านบอกว่านางป่วยก็ป่วยสิ ทำไมต้องพูดว่าลางร้ายยิ่งด้วย?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยขึ้น “นี่ไม่เล่นแรงไปหน่อยหรือ?”“โรค ทำลายชีวิต แน่นอนย่อมเป็นลางร้าย” คุณหนูจวินเอ่ยอย่างตั้งใจนี่สิเป็นการพูดโกหกจริงๆ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วนับว่าเข้าใจแล้ววิธีการทำงานที่ไม่ปกติเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าร่ำเรียนจากใครมาท่านหมอเฒ่าจวินเป็นหมอ ตระกูลเป็นหมอรุ่นแล้วรุ่นเล่า หมอที่เกิดมาในตระกูลหมอเช่นนี้ ที่พิถิพิถันที่สุดก็คือความเคร่งครัด แล้วจวินอิ้งเหวินยังเป็นขุนนาง ศิษย์ของนักปราชญ์ ย่อมไม่พูดถึงพลังลึกลับเทพงมงายทำไมพอคุณหนูจวินพูดจาดันเป็นเช่นนี้ ดูแล้วอ่อนโยนจริงจังนัก คิดให้ละเอียดดูกลับเป็นคำโกหกล้วนๆในเมื่อโกหก ก็คือไม่อยากบอกเหตุผลแท้จริงกับเขาผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่ใช่เด็กน้อย รู้ว่าอะไรถามได้อะไรถามไม่ได้ รู้ว่าอะไรคือหยุดแต่สมควร“แต่คุณหนูจวิน” เขาปรับสีหน้าเอ่ยขึ้น “ท่านบอกเหตุผลเหล่านี้กับข้า ข้าเข้าใจ แต่อีกฝ่ายไม่เข้าใจ ท่านพูดเช่นนี้ อีกฝ่ายไม่มีทางเชื่อคำพูดของท่าน ยิ่งไม่มีทางให้ท่านรักษา”คุณหนูจวินร้องอ้อทีหนึ่ง“นางจะให้” นางว่ามั่นใจขนาดนี้?“ทำไม?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วอดไม่ได้เอ่ยถาม“เพราะนางป่วย” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้นข้าก็ป่วยเหมือนกัน ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วคิดในใจ ข้าไม่ควรถามเลย……………………………………….
คอมเม้นต์