Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 132 ถามใจดูตรงๆ คิดอย่างไร
ตนเองช่วงนี้เข้าใกล้นางมากเกินไป ดังนั้นที่จริงทำให้นางคิดมากแล้วหรือไม่?ที่จริงตนเองไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น เพียงแค่บังเอิญพบเข้า แล้วก็เป็นคนบ้านเดียวกัน ดังนั้นถึงยากหลีกเลี่ยงดูแลมากสักหน่อยหวังว่านางจะไม่คิดมากเรื่องบางเรื่องคิดมากเข้า จะทำให้คนทุกข์ใจจริงๆหนิงอวิ๋นเจาคลายคิ้วออกเพิ่มความเร็วก้าวเท้าเดินทางไปที่สำนักวิชาแต่เดินไปได้สองก้าวเขาก็ชะงักฝีเท้าลงเล็กน้อยแต่เขาไม่ได้มีความหมายอื่นจริงๆ ใช่ไหม?เพียงแค่บังเอิญพบ บังเอิญเป็นคนบ้านเดียวกัน ดังนั้นถึงไม่มีเวลาใดตอนใดไม่อยากดูแลนางให้มาก?หนิงอวิ๋นเจายื่นมือกดบนหน้าอกหากมีหัวใจนักปราชญ์ใจกว้างขวาง ทำไมเขาไม่กล้าไปคิดมาก?กลางป่ายามเช้าตรู่ ร่างสูงของชายหนุ่มยืนสงบไม่ขยับอยู่เนิ่นนาน รู้สึกถึงอารมณ์ที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนพุ่งเข้าชนเป็นครั้งแรกส่วนเวลานี้คุณหนูจวินกลับยังคงนอนอยู่บนเตียงไม่ลุกนางไม่ได้ดื่มเมา ทั้งนอนหลับดียิ่ง รวดเดียวถึงฟ้าสว่าง แต่นางก็ไม่อยากลุกขึ้นที่พำนักตอนนี้ด้านหน้าเป็นร้าน มีลานเล็กๆ แห่งหนึ่งกับเรือนขนาบข้าง เก็บของจิปปาถะอุปกรณ์ทำยาเครื่องยา จอดรถม้า ห้องครัวขนาดเล็กทำอาหาร ตัดผ่านลานเล็กก็เป็นเรือนด้านหลัง หอสามชั้นขนาดเล็กหลังหนึ่งในลานปลูกต้นไหว[1]อายุมากต้นหนึ่ง กิ่งแผ่กว้างใบไม้ดกครึ้ม กั้นความร้อนบังแสงตะวัน ทำให้ที่นี่สงบร่มรื่นอย่างยิ่งประตูหน้าต่างของที่นี่เปลี่ยนเป็นแก้วห้าสีที่ตระกูลฟางมักจะใช้ ทำให้ท่ามกลางสีเขียวครึ้มมีแต้มสีละลานตา เพิ่มสีสันชีวิตชีวาขึ้นหลายส่วนหอสามชั้นไม่ได้ปรับเปลี่ยน แค่ติดม่านโปร่งที่หน้าต่างตามความต้องการของคุณหนูจวิน แหงนหน้ามองไปเหนือยอดไม้ราวกับหมอกเมฆ ดุจดังแดนเซียนคุณหนูจวินย่อมไม่ได้อยู่ที่นี่เพราะดุจดั่งแดนเซียน ก็แค่ที่นี่สูงที่สุดพิงหมอนหนุน มองทิวทัศน์ถนนไกลๆ ผ่านม่านโปร่งดุจก้อนเมฆ รวมถึงวังหลวงอันไกลลิบใต้วังหลวงมีถนนเส้นหนึ่ง บนถนนคนที่นางรักที่สุดอยากพบที่สุดอาศัยอยู่พี่สาวแต่งงานไปแล้วไม่อาจแก้ไขและต่อต้านน้องชายยังคงถูกขังแน่นหนาอยู่ในคุกแห่งนั้นส่วนนางมีชีวิตอยู่กลับได้แต่มองนี่ก็คือความทุกข์ใจยามนี้ของนาง ส่วนที่ทุกข์ใจยิ่งกว่า…คุณหนูจวินลุกขึ้นนั่งมองเมืองหลวงที่อยู่ในสายตาแย่งชิงแผ่นดินนี้คุณหนูจวินล้มตัวกลับลงไปบนหมอนหนุนอีกครั้ง ยกแขนเสื้อตัวในสีเหลืองอ่อนขึ้นปิดหน้ายิ่งคิดก็ไม่อยากคิดความทุกข์ใจมีเกิดมีดับ ก่อนหน้านี้มีไม่ได้หมายความว่ายามนี้ไม่มี ยามนี้มีไม่ได้หมายความว่าต่อไปก็จะมี มีความทุกข์ใจก็แก้ความทุกข์ใจเสียแก้ไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็รอรอรึ?คุณหนูจวินชีวิตนี้ไม่เคยรอมาก่อน นางมีแต่จะไปทำพวกเขาบอกว่าบิดาไม่อาจมีชีวิตยืนยาว แม้ตั้งชื่อที่มีความหมายเป็นนัยเช่นนี้ให้แก่ตนเองก็ไม่มีประโยชน์บิดาป่วย ถ้าอย่างนั้นก็รักษาอาการป่วยสิ คนนี้รักษาไม่หายก็ค่อยหาท่านหมอคนใหม่ วันนี้รักษาไม่หายพรุ่งนี้ก็รักษาต่อชื่อของนางไม่มีประโยชน์ แต่นางมีประโยชน์นางไปขอร้องท่านหมอ ไปร่ำเรียนวิชาแพทย์ ไประหกระเหิน ไปเร่ร่อน นางไม่รอหรอกถึงแม้บิดายังคงสิ้นพระชนม์ก็ตามได้รู้ว่าบิดาไม่ได้ป่วยตายแต่ถูกทำร้ายตาย นางถือมีดขึ้นมาก็บุกเข้าไปในวังฮ่องเต้ทันทีคิดถึงตรงนี้คุณหนูจวินก็เลื่อนชายเสื้อออก พลิกตัวบนเตียงทีหนึ่งหลังจากนั้นนางก็ตายก็ไม่ได้มีผลดีงามอะไร“คุณหนู”หลิ่วเอ๋อรยื่นศีรษะเข้ามาจากด้านนอกประตู“จะทานอาหารไหมเจ้าคะ?”“ไม่ทานล่ะ” คุณหนูจวินศีรษะอยู่บนหมอนเอ่ยขึ้นกลัดกลุ้มหลิ่วเอ๋อร์ส่งเสียงตอบรับทีหนึ่งไม่ได้เอ่ยถามมากอีก ปิดประตูถอยออกไป นางฮัมเพลงเดินตึงตังลงไปจากหอมาถึงเรือนด้านหน้า ตนเองตักข้าวกิน พนักงานน้อยสองคนก็มาทำงานแล้ว ยื่นศีรษะออกมาจากด้านในโถง“แม่นางหลิ่วเอ๋อร์ วันนี้เปิดประตูไหมขอรับ?” พวกเขาเอ่ยถาม“เปิดประตูสิ” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น “ทำไมไม่เปิดประตู?”ก็คุณหนูจวินยังไม่มานั่งออกตรวจเลยนี่พนักงานสองคนมองไปทางด้านหลัง“คุณหนูไม่มา ประตูก็เปิดได้ไหม” หลิ่วเอ๋อร์ส่ายตะเกียบเอ่ยขึ้น “ขายยาได้ไหม”ขายยา?โรงหมอผู้อื่นส่วนมากมีท่านหมอดีๆ ดึงคนมาซื้อยา พวกเขาที่นี่ท่านหมอยังไม่อยู่ ใครจะมาซื้อยาเล่า นอกจากนี้ยังเป็นโรงหมอเปิดใหม่แห่งหนึ่งก็ว่าแล้วเด็กสาวคนหนึ่งจะเป็นหมอได้อย่างไร จะออกตรวจได้อย่างไร ไม่ไหวจริงๆ ด้วยสินะนี่ไม่ใช่ก่อเรื่องวุ่นวายรึแล้วจะทำอย่างไรได้ คนเขามีเงินอยากเล่นอะไรก็เล่นอย่างนั้นไหมพนักงานสองคนส่ายศีรษะเข้าไปตอนผู้ดูแลใหญ่เต๋อเซิ่งชางที่เมืองหลวงเข้ามา ก็เห็นว่านอกจากพนักงานสองคนงีบหลับอยู่ด้านหลังตู้ยา ในห้องก็ว่างโล่งคนสักคนก็ไม่มีลูกค้าไม่มี หมอก็ไม่มี“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ผู้ดูแลใหญ่เคาะโต๊ะขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “พวกเจ้ากำลังทำอะไร?”พนักงานสองคนตกใจตื่นลุกขึ้นทันที“พวกเราสิ่งใดล้วนไม่ต้องทำ” พวกเขาเพียงเอ่ยความจริงตามจริงสิ่งใดล้วนไม่ต้องทำจริงๆ ผู้ดูแลใหญ่มองด้านในโถงที่ไร้ลูกค้าทีหนึ่ง รวมถึงไม่มีผู้ใดหยุดรออยู่นอกประตู“คุณหนูจวินเล่า? ออกไปข้างนอกอีกแล้วรึ?” เขาเอ่ยถามพนักงานทั้งสองส่ายศีรษะยื่นมือชี้ด้านใน“ยังไม่ลุกเลย” พวกเขาเอ่ยเสียงเบายังไม่ลุก? ไม่ได้เรื่องจริงๆคิ้วผู้ดูแลใหญ่ขมวดเป็นปมวันแรกเปิดกิจการก็ปิดร้าน วันที่สองเปิดร้านดวงตะวันลอยสูงขนาดนี้ท่านหมอยังไม่ลุกจากเตียง ก่อเรื่องวุ่นวายจริงๆ“นายท่านหลิ่ว จะบอกนายน้อยสักคำหรือไม่” ผู้ติดตามของผู้ดูแลเอ่ยถามเสียงเบา “ถามนายน้อยว่าจะจัดการอย่างไร? อย่างไรพวกเราก็ไม่อาจทำเช่นนี้ มองดูสิ่งใดล้วนไม่ทำได้กระมัง”ก็ได้แต่ทำเช่นนี้แล้วผู้ดูแลใหญ่พยักหน้า มองในห้องว่างโล่งอีกครั้ง มองม่านประตูที่ทิ้งตัวลงมาปิดซ่อนเรือนด้านหลัง ส่ายศีรษะเดินจากไปจดหมายไปมาระหว่างร้านแลกเงินเดิมทีก็บ่อยครั้ง ตั้งแต่คุณหนูจวินออกจากหยางเฉิงยิ่งบ่อยขึ้นเด็กรับใช้คนหนึ่งกระโดดลงม้า เข้าประตูบ้านไม่ถูกขัดขวางแต่อย่างใดวิ่งตรงเข้าไปในประตูใหญ่ตระกูลฟางดังเช่นก่อนหน้า ตัดลานด้านหน้าเข้าไปในเรือนด้านหลังแต่ที่ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้คือไม่ได้ไปหานายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางทางนั้น แต่มายังด้านในเรือนของฟางเฉิงอวี่เรือนของฟางเฉิงอวี่ไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียวฟางอวิ๋นซิ่ว ฟางอวี้ซิ่วล้วนอยู่ด้วย นั่งอยู่ตรงโต๊ะซึ่งตั้งบนทางเดินพร้อมกาดินเผา กำลังชงชาหาความสุขสาวใช้อีกสองคนอยู่ด้านข้างดีดพิณช่วยเสริมความสุนทรีย์ เติมความผ่อนคลายสงบสุขขึ้นบ้างในฤดูร้อน“จดหมายจากเมืองหลวงขอรับ” เด็กรับใช้เข้าประตูคำนับเอ่ยขึ้นเด็กหนุ่มที่นั่งหลับตาสงบสมาธิอยู่ตรงทางเดินลืมตาลุกขึ้นนั่งฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางอวี้ซิ่วก็มองไปทางเขาด้วย“เป็นจดหมายของจิ่วหลิงหรือ?” พวกนางเอ่ยถาม“โรงหมอจิ่วหลิงเปิดกิจการที่เมืองหลวงแล้วจริงๆ” ฟางเฉิงอวี่รับจดหมายกวาดอ่านทีหนึ่ง บนหน้าเผยรอยยิ้มเขารู้อยู่แล้วว่านางจะทำเช่นนี้ ดังนั้นถึงส่งป้ายโรงหมอไปล่วงหน้าฟางอวิ๋นซิ่วยื่นมือรับจดหมายไปอ่าน ฟางอวี้ซิ่วชงชาต่อ“พูดเช่นนี้เมื่อวานก็เปิดกิจการแล้ว” ฟางอวิ๋นซิ่วอ่านวันที่ซึ่งกล่าวถึงด้านบน “น้องสาวทำงานเก่งจริงๆ เอากิจการที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษไปสร้างชื่อในเมืองหลวงเสียแล้ว”“เมืองหลวง ไม่ได้เหมือนหรู่หนาน” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยขึ้น หยุดมือมองไปทางฟางเฉิงอวี่ “อยู่ไม่ง่ายนะ หากทำเช่นนั้นเหมือนหรู่หนานอีก เกรงว่าคงไม่ไหว”ฟางเฉิงอวี่ยิ้มพยักหน้า“จิ่วหลิงรู้” เขาเอ่ย “ไม่เช่นนั้นบนจดหมายคนเหล่านี้คงไม่บอกในที่ลับที่แจ้งว่าคุณหนูจวินอะไรก็ไม่ได้เตรียม ท่าทางไม่เหมือนเปิดกิจการ ขอคำแนะนำว่าควรทำอย่างไรบ้าง”ในเมื่อจะสร้างชื่อ ถ้าเช่นนั้นย่อมต้องทำอะไรบางอย่าง ตัวอย่างเช่นหรู่หนานอาศัยบ้านถูกล้มออกตรวจบนซากปรักหักพัง ไม่คิดค่าหมอค่ายาทั้งสิ้น ชั่วคืนเดียวรู้กันทุกบ้าน“ถ้าอย่างนั้นนางจะทำอย่างไร?” ฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ยถาม“ข้าไม่รู้ว่าจิ่วหลิงจะทำอย่างไร แต่ข้ารู้ว่าข้าจะทำอย่างไร” ฟางเฉิงอวี่ลุกขึ้น มองเด็กรับใช้ “บอกทางเมืองหลวงว่า เรื่องทุกอย่างให้จัดการตามคำสั่งคุณหนูจวิน ให้พวกเขาทำอะไรพวกเขาก็ทำอย่างนั้น ไม่พูดพวกเขาสิ่งใดก็ไม่ต้องทำ”เด็กรับใช้ขานทราบแล้ว มีหญิงรับใช้นำพู่กันหมึกมา เด็กรับใช้ยกพู่กันเขียนตรงนั้น ส่งให้ฟางเฉิงอวี่ฟางเฉิงอวี่อ่านแล้ว หยิบป้ายคู่ชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าห้อยเอว หากผู้ดูแลเกาอยู่ที่นั่นล่ะก็คงจดจำได้ว่านั่นก็คือป้ายคู่ของนายหญิงผู้เฒ่าฟางที่เคยเห็น ณ เขาไป๋เฮ่อเหลียงนั่นเองป้ายคู่ก็เป็นตราประทับด้วย แต้มหมึกแดงกดลงบนกระดาษจดหมายเด็กรับใช้ใช้ครั่งปิดผนึกจดหมาย หมุนตัวก้าวไวๆ ขอตัวไปเด็กรับใช้เพิ่งออกไปก็มีหญิงรับใช้คนหนึ่งก้าวไวๆ เข้ามาอีก กระซิบเสียงเบาข้างหูฟางอวี้ซิ่วสองประโยค บนหน้าของฟางอวี้ซิ่วปรากฏรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็เรื่องดีสองเรื่องมาเยือน” นางมองฟางเฉิงอวี่กับฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ยว่า “ยังมีน้องสาวอีกคนหนึ่งเปิดกิจการการค้าแล้ว”……………………………………….[1] ต้นไหว (槐树) ต้นไม้ขนาดใหญ่ลำต้นสูงชนิดหนึ่ง ดอกเป็นสีเหลืองอ่อน ใช้ทำยาจีนหรือสีย้อมได้
คอมเม้นต์