Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 131 บทสนทนายามเมามาย
เหม่อลอยระหว่างที่คุยเป็นสิ่งไร้มารยาทอย่างมากคุณหนูจวินเม้มปากยิ้มส่ายศีรษะ“ไม่ใช่ ข้าอยู่ดีๆ คิดถึงเรื่องอื่น” นางว่าถ้าอย่างนั้นความหมายของคำพูดนี้ตอนนี้ของหนิงอวิ๋นเจาคือลอบตะล่อมถามนางว่าทำไมต้องดื่มสุรางั้นสิ?ถามอ้อมค้อมนักเชียว“นี่น่ะหรือ แตกต่างไปตามแต่ละคน” นางตอบอาจารย์บอกว่ามีอะไรให้พูด เรื่องของตนเองผู้อื่นไม่เข้าใจ เรื่องของผู้ใหญ่เด็กไม่เข้าใจ ความทุกข์ใจของเด็กน้อย ผู้ใหญ่ก็ยากจะเข้าใจเช่นกัน ทุกข์ใจวันนี้ พรุ่งนี้ไม่แน่ว่าจะทุกข์ใจ เรื่องทุกข์ใจของพรุ่งนี้ นั่นพรุ่งนี้ค่อยว่ากันเรื่องของนางตอนนี้พูดไปผู้อื่นก็ไม่เข้าใจเหมืนอกันหนิงอวิ๋นเจายิ้มบ้างไม่ถามต่อ แต่ดื่มสุราคำโต แล้วก็มองดวงจันทร์โค้งกลางท้องนภายามราตรียามเขาอารมณ์ไม่ค่อยดี ไม่ชอบถูกคนถาม ชอบทำสิ่งที่ตนเองอยากทำอยู่เงียบๆใจเขาใจเรา ลองคิดว่าตนอยู่ในสภาพนั้น ถ้าอย่างนั้นนางอยากทำอะไรก็ให้ทำอย่างนั้นอย่างสบายใจเถอะพวกเขาไม่ได้เอ่ยวาจาอีก คนหนึ่งดื่มคำโตสาแก่ใจ คนหนึ่งเม้มปากจิบคำน้อย มองพระจันทร์ ชมทิวทัศน์ของถนน ฟังเสียงเอะอะครึกครื้นของตลาดกลางคืนข้างกาย…เสี่ยวติงรั้งสายตากลับมาด้านนี้นายน้อยต้องแสร้งทำมีมารยาท เรื่องละลาบละล้วงเช่นนั้นได้แต่ให้เด็กรับใช้ทำแล้วเขาขยับเข้าไปตรงหน้าหลิ่วเอ๋อร์ที่กำลังกินแตงกวาย่างอยู่ ฉีกยิ้มเต็มหน้า“พี่หลิ่วเอ๋อร์” เขาเรียกเสียงหวานหลิ่วเอ๋อร์มองยังไม่มองเขาสักที“พี่หลิ่วเอ๋อร์” เสี่ยวติงยิ้ม ผลไม้เชื่อมจานหนึ่งดันมาตรงหน้าหลิ่วเอ๋อร์ กดเสียงเบาลง “วันนี้คุณหนูของท่านที่แท้ไปทำอะไรมาหรือ?”…ตอนที่หนิงอวิ๋นเจาตื่นขึ้นมาฟ้าก็สว่างแล้ว ลืมตาขึ้นมาหัวคิ้วปวดร้าว นี่เป็นผลของการเมาค้างที่จริงเขาดื่มสุราน้อยมาก มักรู้สึกว่าดื่มสุราเป็นเรื่องไร้ความหมาย ทิวทัศน์ขับขานได้คะนึงหาได้ ไม่จำเป็นต้องมีสุราถึงมีอารมณ์สุนทรีย์แต่คืนวานดื่มเสียยกหนึ่งรู้สึกว่าน่าสนใจมาก ถึงไม่ได้ขับขานถึงสายลมดวงจันทร์ ไม่มีสหายร่วมปณิธานเดียวกัน แต่ก็มีสตรีนางหนึ่งอยู่ด้วยหนิงอวิ๋นเจายกมือขึ้นจับหน้าผาก ออกแรงนวดนิดๆ เพื่อคลายอาการไม่สบายหลังสุราเขาไม่เคยร่ำสุรากับผู้หญิงมาก่อนนอกจากนี้รู้สึกไม่เลวแม้เหมือนจะไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ดื่มสุรา ดูทิวทัศน์ถนน กินเนื้อย่างมุมปากของหนิงอวิ๋นเจาอดไม่ได้ยกขึ้นน้อยๆ แต่จากนั้นก็ทิ้งลงอีกเมื่อวานนางอารมณ์ไม่ดีแน่นอน ไม่รู้ว่าสุราจอกหนึ่งจะคลายพันทุกข์ได้หรือไม่แต่นางไม่ได้ดื่มสุรา ถึงเวลาตนเองดื่มมากไปบ้างถ้าอย่างนั้นไม่รู้ว่ามองผู้อื่นดื่มสุราไม่รู้ว่าจะดีขึ้นได้สักหน่อยไหมหนิงอวิ๋นเจายันตัวขึ้นมา เสี่ยวติงที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงวิ่งเข้ามา“นายน้อย” ในมือเขายกน้ำแกงชามหนึ่งเหลืองนิดหน่อยแดงเล็กน้อย ดมแล้วเปรี้ยวหวานนี่คืออะไร?“นี่เป็นยาผงที่คุณหนูจวินมอบให้ไว้ บอกว่าแก้อาการไม่สบายยามเมาค้าง” เสี่ยวติงเอ่ยนางมอบไว้ให้? ทำไมจำไม่ได้?“นายน้อยท่านดื่มมากแล้ว เดินอยู่ข้างหน้า มองไม่เห็น” เสี่ยวติงยิ้มบอกหนิงอวิ๋นเจาสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย รับชามน้ำแกงมาดื่มคำเดียวหมด เข้าปากขมแต่กลับทำให้จิตใจสะท้าน ความทึบตื้อที่หน้าผากพลันสลาย“ข้าดื่มไปมากหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น “ไม่ได้เสียกิริยาใช่ไหม?”คงไม่ใช่แม้กระทั่งความเหมาะสมสักนิดเขาก็ไม่เหลือใช่ไหม?“ไม่ขอรับ ไม่ขอรับ” เสี่ยวติงรีบส่ายศีรษะ “นายน้อย ท่านเข้าหาถอยห่างมีมารยาท สีหน้าอบอุ่นใจกว้าง สักนิดก็ไม่ได้เมา คุณหนูจวินบอกว่านี่ไม่ใช่แก้เมา บอกว่าคนดื่มสุราจะมีอาการไม่สบายตัว”หนิงอวิ๋นเจาร้องอ้อทีหนึ่ง“นางบอกไว้สินะ” เขาว่า วางชามน้ำแกงพลาง หยิบผ้าเปียกด้านข้างเช็ดหน้านิดหนึ่ง“ขอรับ คุณหนูจวินพูด บอกว่าอย่างอื่นไม่กล้ารับประกัน แต่วิชาแพทย์นางรับประกันอย่างที่สุด ยังบอกอีกว่ายานี้เป็นนางเพิ่งทำขึ้น จะขายที่โรงหมอจิ่วหลิง นายน้อยเป็นคนใช้คนแรกเลยนะขอรับ” เสี่ยวติงหัวเราะฮ่ะฮ่ะเอ่ยขึ้น“ดูท่าข้าคงดื่มจนเมาจริงๆ แล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น โยนผ้าเปียกให้เสี่ยวติงไม่เช่นนั้นนางพูดเยอะขนาดนี้ ตนเองจำไม่ได้สักนิดได้อย่างไรเสี่ยวติงวางผ้าเปียกลง อยู่ด้านข้างเตรียมน้ำร้อน มองหนิงอวิ๋นเจาต่อยหมัดชุดหนึ่งในห้องขยับเคลื่อนไหวร่างกายหกศาสตร์แห่งวิญญูชน บัณฑิตก็ใช่จะบอบบางอ่อนแอ ขี่ม้ายิงธนูรำดาบดนตรีหมากอักษรภาพวาดล้วนเป็นสิ่งที่ต้องใช้ออกมาได้หมัดเท้าชุดหนึ่งของหนิงอวิ๋นเจาจบลง เหงื่อออกเต็มร่าง สีหน้าสบายถอดเสื้อผ้าใช้น้ำร้อนเช็ด เสี่ยวติงถือเสื้อผ้าสะอาดมาปรนนิบัติ“”นายน้อย ข้ายังรู้อีกเรื่องหนึ่ง” เขายิ้มแย้มเอ่ยขึ้นหนิงอวิ๋นเจาไม่ได้มองเขาสวมเสื้อตัวนอกอย่างรวดเร็ว“ข้ารู้ว่าคุณหนูจวินเมื่อวานไปไหนมา” เสี่ยวติงเอ่ยต่อหนิงอวิ๋นเจาร้องอ้อทีหนึ่ง“คุณหนูจวินไปดูองค์หญิงจิ่วหลีแต่งงาน” เสี่ยวติงอดทนรอไม่ไหวเอยขึ้นหนิงอวิ๋นเจาร้องอ้ออีกครั้ง การเคลื่อนไหวของมือกลายเป็นช้าลงเมื่อวานเป็นวันแต่งงานของหัวหน้ากองพันลู่กับองค์หญิงจิ่วหลี คนครึ่งเมืองล้วนไปดูความครึกครื้น สำหรับเด็กสาวคนหนึ่งแล้วน่าสนใจมากจริงๆแต่ดูงานแต่งงาน ทำไมอารมณ์ไม่ดีเขาคิดขึ้นมาเมื่อคืนเหมือนจะมีบทสนทนากันหลายประโยค“เจ้ามีอะไรทุกข์ใจไหม?”เด็กสาวคนนั้นบ่ายหน้าถามเขาหนิงอวิ๋นเจาตั้งใจคิด ส่ายศีรษะ“ยังไม่มี” เขาเอ่ยตามหลักแล้วเมื่อคนผู้หนึ่งถามว่าเจ้ามีหรือไม่มี ที่จริงก็คือบอกว่าตนเองมี และคาดหวังให้เจ้ามาร่วมยินดีหรือร่วมโศกเศร้าคำตอบที่เหมาะสมที่สุดเข้าอกเข้าใจที่สุดควรเป็นบอกว่าตนเองมี หลังจากนั้นระบายแก่กันสักหน่อย ใช้สิ่งนี้มาคลี่คลายอารมณ์ของอีกฝ่ายแต่เขากลับตอบว่าไม่มี เขาไม่มีจริงๆชาติกำเนิดของเขา พรสวรรค์ของเขา ไม่มีสักสิ่งที่ไม่ให้เขาคิดสิ่งใดสมปรารถนาอย่างราบรื่น หากจะพูดว่ามีเรื่องทุกข์ใจให้ได้ นั่นก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มไม่รู้ประสาฝืนบอกว่าทุกข์นั่นไม่ใช่เรื่องทุกข์ใจสักนิด ตอนยังเล็กฝืนพูดน่าหัวร่อ ตอนนี้ฝืนพูดก็น่าหัวร่อ“คำตอบนี้ของข้าขี้โม้มากใช่หรือไม่?”หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย “เหมือนโอ้อวดใช่หรือไม่?”คนบนโลกเท่าไรล้วนมีเรื่องทุกข์ใจมากมายทั้งนั้น บ้างเรื่องความอยู่รอดบ้างเรื่องความปรารถนา ความทุกข์ใจอันเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาโกรธแค้นกล่าวโทษชิงชัง คนที่หาความทุกข์ใจไม่พบเช่นเขานี้ทำให้คนอิจฉาริษยาอย่างแท้จริง เกลียดอย่างที่สุดโดยเฉพาอย่างยิ่งตอนที่ผู้อื่นมีควาทุกข์ใจแล้วต้องการพูดเรื่องทุกข์ใจออกมานี่หัวข้อสนทนานี้ไปต่อไม่ได้แล้ว เปลี่ยนเป็นคนอื่น บ้างคงกระอักกระอ่วน บ้างหงุดหงิดสะบัดแขนเสื้อจากไปเขาจำได้ว่าเด็กสาวคนนั้นไม่ได้สะบัดแขนเสื้อจากไป แต่หัวเราะลั่น“ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่มี” นางก็ตอบอย่างตั้งใจคิดถึงตรงนี้ มุมปากของหนิงอวิ๋นเจาก็ยกขึ้น มัดสายรัดเอวเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว เสี่ยวติงหยิบรองเท้าคุกเข่าข้างหนึ่ง หนิงอวิ๋นเจานั่งลงยกเท้าขึ้น“ความทุกข์ใจไม่ใช่มีตั้งแต่เกิดแล้วก็ไม่ใช่ชั่วนิรันดร์ แต่มีเกิดมีดับ ก่อนหน้านี้ไม่มีไม่ได้หมายความว่าตอนนี้ไม่มี ตอนนี้มีไม่ได้หมายความว่าต่อไปก็จะมี มีความทุกข์ใจก็แก้ความทุกข์ใจเสีย” เขาจำได้ว่าตนเองหัวเราะเอ่ยขึ้น“ถ้าแก้ไม่ได้เล่า” คุณหนูจวินเอ่ยถามตั้งใจมาก“ถ้าเช่นนั้นก็รอ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยพูดถึงตรงนี้คุณหนูจวินก็หัวเราะอีกครั้งแล้ว ยกจอกเล่าให้เขา เขาซดไหสุราคำโต ส่วนนางยังคงจิบละเลียดนิดหนึ่งก็วาง“นายน้อย ท่านบอกว่าคุณหนูจวินไม่เบิกบานใช่เพราะผู้อื่นแต่งงานทำให้คิดถึงตนเองหรือไม่?”เสียงเสี่ยวติงลอยมา ขัดความคิดล่องลอยของหนิงอวิ๋นเจามองเห็นงานแต่งของผู้อื่นคิดถึงตนเอง?“คิดถึงตนเองอะไร?” เขาเอ่ยถามพลางลุกขึ้นยืนเสี่ยวติงทิ้งมือลง ยืนดีๆ กดเสียงเบา“คุณหนูจวินเดิมทีต้องแต่งงานกับนายน้อย…” เขาเอ่ยขึ้น “แต่สัญญาหมั้นนี่ไม่ใช่ไม่มีแล้วหรือขอรับ”“พูดจาเหลวใหล” หนิงอวิ๋นเจาคิ้วขมวดเอ่ยขึ้น “นางไหนเลยน่าเบื่อหน่ายเช่นนั้น”เรื่องนี้น่าเบื่อหน่ายมากหรือ? อยากแต่งงานน่าเบื่อหน่ายมากหรือ? น่าเบื่อหน่ายทุกวันท่านยังจะคิดถึงแม่นางอีกเสี่ยวติงเบ้ปากก้มหน้าขานรับหนิงอวิ๋นเจากระทืบเท้า จัดเสื้อผ้า“เอาล่ะ ข้าไปพบท่านอาจารย์ก่อนแล้ว” เขาว่าเสี่ยวติงรีบมายังโต๊ะนำหนังสือที่วางไว้ดีแล้วกับพู่กันเก็บขึ้นมาส่งให้หนิงอวิ๋นเจา มองหนิงอวิ๋นเจาเดินออกไป“นายน้อยท่านยังไม่ทานอาหารเลยนะขอรับ” เขาพลันคิดได้รีบร้องเรียก“ไม่ทานแล้ว” เสียงหนิงอวิ๋นเจาลอยมาแต่ไกล คนก็เดินหายไปตามทางเดินปูหินแล้วบนทางเดินร่มไม้ทึบครึ้ม ต้นไม้เก่าแก่ร้อยปีกระจายอยู่ เพิ่มความเงียบสงบในฤดูร้อนฝีเท้าหนิงอวิ๋นเจาช้าลงครู่หนึ่ง มองสำนักวิชาเบื้องหน้า ได้ยินเสียงท่องเลือนราง ขมวดคิ้วเล็กน้อยความทุกข์ใจของนาง จะเป็นเพราะเรื่องนี้จริงหรือ?……………………………………….
คอมเม้นต์