Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 127 คิดวุ่นวายเกี่ยวกับรักแรกพบ
ชายหนุ่มผู้นี้ลู่อวิ๋นฉีย่อมรู้จัก ครอบครัวสายตรงสายรองมิตรสหายของขุนนางทั้งราชสำนัก เขาล้วนรู้จักลูกหลานของตระกูลหนิงแห่งเป่ยหลิว ลูกหลานของตระกูลใหญ่เป็นขุนนางชั้นสูงเงินเดือนมากมารุ่นแล้วรุ่นเล่าเช่นนี้มีความสะดวกสบายตั้งแต่เกิดแน่นอนว่าลู่อวิ๋นฉีไม่ได้มีอคติกับคนเหล่านี้ บางทีอาจเคยมี แต่ตอนนี้ไม่ว่าคนอะไรก็ไม่พ้นเป็นคนผู้หนึ่งสีหน้าของหนิงอวิ๋นเจาแม้ประหลาดใจอยู่บ้าง แต่แววตานิ่งสงบ ไม่ได้หวาดกลัวและตื่นเต้นอย่างประชาชนเหล่านี้แต่ในเมื่อล้วนเป็นคน แววตาหวาดกลัวอยากเห็นก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ เดินในคุกใหญ่ของกรมสืบสวนฝ่ายเหนือรอบหนึ่งก็ได้แล้วสายตาของลู่อวิ๋นฉีข้ามเขาไป หยุดอยู่บนร่างของเด็กสาวเด็กสาวคนนี้ เงียบนิ่งสงบดุจเดียวกับหนิงอวิ๋นเจา ไม่มีจุดใดพิเศษสายตาของเขากวาดผ่านไป รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าสายตาของคุณหนูจวินไล่ตามรถม้าฝูงชนข้างกายเริ่มเดินเคลื่อนไหววุ่นวายใหม่อีกครั้ง“ไปเถอะ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น มองเด็กสาวที่สีหน้านิ่งสนิทแต่ร่างกายกลับยากจะปิดบังความแข็งทื่อนิดๆ ได้กลัว คงไม่ถึงขั้นนั้นตอนนั้นที่หอจิ้นอวิ๋นนางเดินผ่านพวกองครักษ์เสื้อแพรพวกนั้นมองเห็นเหมือนไม่เห็น เคยกลัวสักนิดที่ไหนแต่ระหว่างพวกองครักษ์เสื้อแพรกับพวกองครักษ์เสื้อแพรกก็ไม่เหมือนกัน ลู่อวิ๋นฉีชื่อเสียงเลวร้ายเลื่องลือเช่นนี้ทำให้คนกลัว ทำให้คนเคร่งเครียดอยู่บ้างจริงๆ“หรือพวกเราจะเปลี่ยนร้าน?” เขาเอ่ยคุณหนูจวินรั้งสายตากลับมองไปทางเขาไม่รอนางเอ่ยอะไร หนิงอวิ๋นเจาก็พยักเพยิดคางไปทางร้านแม่เฒ่าหวังสื่อนัย“เจ้าดู คนมากเกินไปแล้ว ไปมุงถาม” เขาว่าสภาพแวดล้อมรับประทานอาหารเช่นนี้ไม่งามนักแล้ว ไม่ใช่ความหมายอื่น ตัวอย่างเช่นนางกลัวองครักษ์เสื้อแพรเป็นต้น“ไปร่วมวงเถอะ” คุณหนูจวินว่า “ไปลองฟังว่าเล่าอะไร”นางพูดจบก็เดินไปข้างหน้า หนิงอวิ๋นเจาอึ้งแล้วก็หลุดยิ้มไม่ได้กลัวจริงๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีนิสัยอย่างแม่นางน้อยคนหนึ่งอีกเขายิ้มตามไปร้านแม่เฒ่าหวังในห้องคับแคบคนเบียดเต็มเอะอะไปหมด“…ทั้งหมดไม่ต้องโวยวาย จะกินหรือไม่กิน? พวกเรายังต้องค้าขายนะ”เฒ่าแก่รับมือไม่ไหวแล้วจริงๆ ถือกระบวยร้องตะโกน“…จะพูด ซื้อเต้าหู้ชุดหนึ่งก่อน”บรรดาชาวบ้านหัวเราะด่า บ้างเดินออกไป บ้างควักเงินมาซื้อ ยืนอยู่นั่งอยู่รออยู่ เสี่ยวติงจองที่นั่งที่หนึ่งไว้ก่อนแล้ว ให้หนิงอวิ๋นเจากับคุณหนูจวินนั่งลง หลิ่วเอ๋อร์นั่งลงตามไปด้วย ถูกเสี่ยวติงดึงแขนเสื้อไว้“ทำอะไร?” หลิ่วเอ๋อร์ถลึงตา ดึงแขนเสื้อคืนมา“ที่นี่ไม่มีที่แล้ว” เสี่ยวติงพูดเสียงเบา ในใจคิดว่ายังสู้ตนเองไม่ได้เลย ไม่ดูตาม้าตาเรือสักนิด“ถ้าอย่างนั้นข้าไปกินที่ไหน?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้นเสี่ยวติงกลอกตา“เจ้าดูคนเยอะแยะต้องรอนานนัก ด้านนอกมีร้านขนมทอด พวกเราซื้อมาลองชิมรอข้างๆ” เขาเอ่ยหลิ่วเอ๋อร์ตอนนี้ถึงพยักหน้า“คุณหนู พวกเราออกไปซื้อขนมทอดชิ้นหนึ่งก่อนนะเจ้าคะ” นางเอ่ยอย่างดีอกดีใจคุณหนูจวินพยักหน้าเป็นเด็กรับใช้ของผู้อื่นไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กรับใช้ของนายน้อยที่หัวใจรักผลิบาน เสี่ยวติงยื่นมือเช็ดเหงื่อ พาสาวใช้คนนี้เดินออกไปเต้าหู้ทอดต้องรอจริงๆ คุณหนูจวินไม่ได้รำคาญ ฟังผู้คนด้านข้างล้อมถามเฒ่าแก่“…ลู่อวิ๋นฉีทำไมมาที่ร้านเจ้าได้?”“พูดเหลวไหล ย่อมต้องมากินเต้าหู้สิ” เฒ่าแก่เอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิ แต่จากนั้นคิดนิดหนึ่งนี่มีอะไรน่าภาคภูมิ เต้าหู้ที่ลู่อวิ๋นฉีเคยกินมาก่อน ไม่รู้ว่าจะถูกครหาลับหลังหรือไม่ ฉับพลันคิ้วขมวดแต่ก็ไม่กล้าเปิดเผยเกินไปนักไม่อย่างนั้นถูกกล่าวหาว่ารังเกียจลู่อวิ๋นฉีก็จบสิ้นกัน“ที่จริงก็ไม่ใช่” เขาคิดนิดหนึ่งรีบอธิบายอีก “ไม่ใช่ลู่อวิ๋นฉีอยากกิน เป็นแม่นางน้อยคนนนั้น…”ก็รอประโยคนี้นี่แหละ ดวงตาของชาวบ้านล้วนสว่างวาบขึ้นมา“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครหรือ?”“ไม่เคยได้ยินว่าหัวหน้ากองพันลู่มีพี่สาวน้องสาวนี่”“เจ้าตาบอดรึ มีที่ไหนสนิทสนมกับพี่สาวน้องสาวเช่นนั้น”เฒ่าแก่ถูกเสียงโหวกเหวกทำให้ปวดหัว เคาะกระบวยหลายที“พวกเจ้าจริงก็ไม่รู้ปลอมก็ไม่รู้” เขาว่า “แม่นางน้อยคนนั้นก็คือลูกสาวคนที่สามของบ้านตาเฒ่าเฉียวไง”เป็นลูกสาวของบ้านตาเฒ่าเฉียวคนขายน้ำชาที่ลู่อวิ๋นฉีเลี้ยงไว้ที่เล่ากันคนนั้นบรรดาชาวบ้านเข้าใจโดยพลันคุณหนูจวินก็พยักหน้าเหมือนกัน แล้วก็หมุนตัวฟังการถกเถียงด้านนั้นต่อที่ถกเถียงกันจะมีอะไรอีกนอกเสียจากลู่อวิ๋นฉีคนนี้ต้องใจลูกสาวคนที่สามบ้านตระกูลเฉียวได้อย่างไร“…ตอนนั้นหัวหน้ากองพันลู่เกิดอารมณ์สุนทรีย์มาชมดอกอิงฮวา..”“…หัวหน้ากองพันลู่มีอารมณ์สุนทรีย์ชมดอกไม้ด้วยรึ?”คำพูดเพิ่งเริ่มก็ถูกคนขัดแล้วอย่าโทษคนผู้นี้ขัดเลย คุณหนูจวินก็สีหน้ายุ่งเหยิงเหมือนกัน ใช่สิ ลู่อวิ๋นฉีที่แท้มีอารมณ์สุนทรีย์อย่างนี้ด้วย น่าเสียดายเพื่อไม่ให้ตนเองออกจากบ้าน บางครั้งยามที่ตนเองพูดขึ้นว่าอยากไปชมดอกอิงฮวาจึงไม่ได้ตอบรับลำบากเขาแล้ว เสแสร้งเป็นคนที่ไม่ใช่ตนเองอย่างสิ้นเชิงคนหนึ่ง“…อย่างไรวันนั้นหัวหน้ากองพันลู่ก็ไปชมดอกไม้แล้ว เดินเข้าไปในเพิงน้ำชาของผู้เฒ่าเฉียว ตอนนั้นผู้เฒ่าเฉียววุ่นวายชงน้ำชาอยู่ ลูกสาวคนที่สามก็ไปส่งน้ำชาเหมือนก่อนหน้า พริบตานั่นที่ส่งน้ำชานั่นเอง ลู่อวิ๋นฉีเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าที่จันทร์หลบผกาละอายมัจฉาจมวารีปักษาตกนภา…”“เจ้าหยุดเถอะ แม่นางสามเฉียวตั้งแต่เล็กเฝ้าเตาไฟชงน้ำชา รมผมหน้านานปีจนดำขมุกมขมัว ไหนเลยจะจันทร์หลบผกาละอายได้เล่า”“เจ้าจะรู้อะไรเล่า นั่นเป็นความงามอีกรูปแบบหนึ่ง อย่างไรหัวหน้ากองพันลู่เห็นเข้าก็ต้องใจแล้ว ห่างไปสองวันก็ให้คนแบกเกี้ยวหลังเล็กยกเข้าประตูไปแล้ว บ้านตาเฒ่าเฉียวเหยียบก้าวเดียวขึ้นสวรรค์ไปด้วย”คุณหนูจวินนั่งตัวตรง เหมือนคิดอะไรอยู่มองหนิงอวิ๋นเจา“รักแรกพบ” นางเอ่ยขึ้น “เจ้าเชื่อไหม?”หนิงอวิ๋นเจาถูกถามจนอยากหัวเราะอยู่บ้างเขาย่อมไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตนเองจะได้มาถกเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของผู้อื่นกับเด็กสาวคนหนึ่งเขาคิดอย่างตั้งใจครู่หนึ่ง“ไม่เชื่อนัก” เขาเอ่ยขึ้น“ไม่เชื่อนักว่าบนโลกนี้มีรักแรกพบ?” คุณหนูจวินเอ่ยถามหนิงอวิ๋นเจายิ้มรักแรกพบหรือ“จะพูดอย่างไรดีล่ะ มีก็คงมี แต่คงไม่ใช่เห็นปุบก็ตกหลุมรักปับแบบนั้น” เขาว่า “ใจชมชอบความงามทุกคนล้วนมี คนมากมายล้วนพูดได้ว่ารักแรกพบเป็นเพราะรูปโฉมงดงาม เกินขึ้นจากราคะ แต่บางครั้งที่จริงก็ไม่ใช่”คุณหนูจวินตั้งใจมองเขาความตั้งใจแบบนี้ทำให้คนรู้สึกได้รับความเคารพอย่างมาก แล้วก็จริงใจมากเช่นกัน ไม่ได้มีท่าทีเสแสร้งสักนิดนี่ก็คือจุดที่ทำไมหนิงอวิ๋นเจารู้สึกว่านางไม่เหมือนเด็กสาวคนอื่น แล้วก็เป็นสาเหตุที่ทำไมยินดีสนทนากับนางเพราะทำให้คนสบายใจมากจริงๆความสบายใจเช่นนี้ทำให้เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังพูดถึงเรื่องอะไร เหมือนเช่นเดียวกับถกหลักคุณธรรมกับบรรดาสหายบัณฑิต“หลายครั้งรักคำนี้ของรักแรกพบเกิดมาจากตนเอง” เขาว่า “สิ่งที่ตนเองนับถือที่ชมชอบที่ไม่มี แล้วก็อาจเป็นจิตใจสภาพคุณธรรมเช่นนั้นที่มี เป็นความรู้สึกเช่นมองหานางในฝูงชนร้อยพันหนฉับพลันปรากฏอยู่ตรงหน้า เจ้าก็รู้ว่าคนผู้นี้ก็คือคนผู้นั้นที่เจ้ารอคอยมาตลอด”เหมือนกับคราวนั้นดวลหมากใต้ต้นไม้ในเทศกาลโคมไฟ แม้ไม่ได้เห็นหน้าตา แต่แค่เกมหมากเขาก็รู้ว่าคนที่เล่นหมากผู้นี้เป็นคนที่ทำให้….ความคิดแล่นถึงตรงนี้เขาก็ชะงัก เขาคิดไปถึงไหนแล้ว เวลานี้ยกตัวอย่างเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสมเขากระแอมทีหนึ่ง“ดังนั้นรักของรักแรกพบเช่นนี้ มากกว่าครึ่งเป็นรักของตนเอง อีกครึ่งหนึ่งเป็นรักต่อสิ่งที่อีกฝ่ายครอบครอง หน้าตาเป็นด้านหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด” เขาเอ่ยขึ้น “ไม่เช่นนั้นหญิงสาวงดงามในหอคณิกามากมายนัก ทุกคนไล่ตามชมชอบหลงรัก แต่รักเช่นนั้นไม่ใช่รักที่ต้องจิตวิญญาณ”สิ้นเสียงของเขา เด็กสาวฝั่งตรงข้ามก็ยิ้มเพราะอยู่ในร้านเล็กๆ แออัด นางจึงไม่ได้หัวเราะลั่นออกมา แต่ใช้มือปิดไว้หัวเราะ“เจ้าหัวเราะเช่นนี้ ทำให้ข้าเขินแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน “ข้าพูดตรงไหนไม่ถูกต้อง เจ้าพูดสิ อย่าหัวเราะ”คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง แล้วก็กลั้นไว้ส่ายศีรษะ“ไม่มี” นางว่า ตั้งใจคิดนิดหนึ่ง ท่าทีสงบลงนิดหนึ่ง “เพียงแต่ข้าไม่เคยคิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นไม่รู้ว่าถูกหรือผิด”หนิงอวิ๋นเจาคิดนิดหนึ่งบ้าง หัวเราะขึ้นมา“ที่จริงข้าก็ไม่เคยคิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน” เขาว่าเหมือนกับเด็กน้อยยังไม่รู้จักโลกสองคนเล่นพ่อแม่ลูกถกการเป็นภรรยาการเป็นสามีอย่างตั้งใจแต่กลับน่าขัน“ก็แค่ความคิดวุ่นวาย” เขาว่า ทั้งจริงจังอยู่บ้าง ทั้งเฉยชาอยู่บ้าง……………………………………….
คอมเม้นต์