Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 126 เจ้าอย่าโกรธเลย
“ข้าไม่ได้โกรธ” คุณหนูจวินว่า เดินหน้าต่อไปหนิงอวิ๋นเจาตามไป“ข้าคงคิดมากไปแล้ว” เขาเอ่ย “เพียงแต่เมืองหลวงอยู่ไม่ง่าย อยากให้ปลอดภัยขึ้นสักหน่อย”คุณหนูจวินเหล่ตามองเขาทีหนึ่ง“ที่ไหนอยู่ง่ายเล่า?” นางเอ่ยขึ้น “ข้าอยู่ที่หยางเฉิง อยู่ที่หรู่หนานล้วนไม่ง่ายนัก”เหล่ตาติดไม่พอใจเช่นนี้ เป็นท่าพิเศษของเด็กสาว ดูแล้วน่ารักนักหนิงอวิ๋นเจาอดไม่ได้ยิ้มทีหนึ่ง รวมถึงคำพูดนี้พูดถึงหยางเฉิงหรู่หนานหรู่หนานอยู่ไม่ง่าย เป็นเด็กสาวกำพร้าเข้าเมืองบ้านก็ถูกล้ม อาศัยฝีมือวิชาแพทย์ถึงตั้งตัวได้เรื่องนี้หนิงอวิ๋นเจาย่อมรู้ ส่วนหยางเฉิงอยู่ไม่ง่าย ย่อมหมายถึงชื่อเสียงเละเทะเพราะโวยวายเรื่องสัญญาหมั้นกับตระกูลหนิง ถูกคนริษยาเกลียดชังจึงยังคงไม่พอใจ กำลังโกรธ“ใช่ ข้าพูดผิดแล้ว” เขาเอ่ย “เจ้าไม่ได้โกรธ”นายน้อยถึงกับยอมลงให้เช่นนี้ได้ด้วย? เสี่ยวติงอยู่ข้างหลังได้ยินเข้าตัวสั่น เด็กรับใช้เหล่านั้นพูดถูกจริงๆ พวกนายน้อยเมื่อลุ่มหลงในนารีปุบก็จะกลายเป็นโง่เขลาคนผู้นี้โง่หรือเปล่า? ดูตรงไหนว่าตนเองโกรธ?คุณหนูจวินขมวดคิ้วมองเขาทีหนึ่ง“นี่เป็นเรื่องจริงนะ เดิมทีก็ไม่ง่ายนี่” นางว่าหนิงอวิ๋นเจายิ้มตอบรับใช่ ตอนแรกนางพบเจอกับเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะสัญญาหมั้นเหล่านั้น สำหรับเด็กสาวคนหนึ่งแล้วยากยิ่งนักอย่างแท้จริงนิสัยนี้ของนาง หาเรื่องนางเข้าไม่เลิกราแน่ ดูอย่างตอนนั้นเผชิญหน้ากับตระกูลหลินก็รู้เช่นเดียวกับรูปแบบการเดินหมากของนาง มีความบีบตนจนตรอกเพื่อรอดทีหลัง…ห้าวหาญแม้บรรยายเด็กสาวคนหนึ่งเช่นนี้ไม่เหมาะสมก็ตามหนิงอวิ๋นเจามองเด็กสาวครงหน้า บอบบางอ่อนโยน ดวงตาโตสุกใส ดังนั้นคนไม่อาจดูที่หน้าตาได้ห้าวหาญ ก็เป็นความทระนงอย่างหนึ่ง แล้วก็เป็นความเชื่อมั่นในตนเองในหัวใจที่นำพาความหยิ่งทะนงมาทันใดนั้นเขาก็คิดถึงประโยคนั้นที่บรรดาสหายพูด“พวกเจ้าเหมือนกัน”หนิงอวิ๋นเจามุมปากยกยิ้มนิดๆ“แน่นอนว่าโรงหมอที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลเจ้าไม่อาจเปลี่ยนชื่อ ข้าเพียงจะบอกว่ามีเรื่องเช่นนี้ หากมีคนหาเรื่องด้วยเหตุนี้ เจ้าต้องเตรียมใจไว้ให้พร้อมด้วย” เขาเอ่ยพอเถอะ เรื่องนี้ไม่ต้องพูดกับนางแล้ว ตนเองระวังมากขึ้นหน่อยก็ใช้ได้คุณหนูจวินไม่เอ่ยวาจามองถนนด้านหน้าไม่ต้องให้ผู้อื่นหาเรื่อง ตัวนางเองก็มาเพื่อหาเรื่องอยู่แล้ว แค่เรื่องช้าเร็วเท่านั้นเด็กสาวอารมณ์ไม่ดีแล้วหนิงอวิ๋นเจาหุบยิ้ม“ใช่แล้ว มีเรื่องหนึ่งลืมถามเจ้าตลอด” เขาเอ่ยขึ้นเรื่องสำคัญมากรึ? คุณหนูจวินมองเขาสีหน้าจริงจัง ทำไมตอนนี้เพิ่งจะพูด? นางเก็บความคิดสับสนไป มองเขา“เกมหมากอันนั้นในเทศกาลโคมไฟหยางเฉิงครั้งนั้นหลังจากนั้นเจ้าเป็นอย่างไร? แก้ออกไหม?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้นพูดเรื่องที่ชอบกับพวกผู้หญิงก็ผ่อนอารมณ์ได้แล้วแต่เสียงของเขาเพิ่งจบลง ก็เห็นสีหน้าที่เดิมทีนิ่งสงบของเด็กสาวคนนี้แข็งทื่อ บนหน้าเผยความหงุดหงิดอยู่บ้างออกมา“ไม่อยากฟังเรื่องนี้” นางเอ่ยขึ้นเด็ดขาดหนิงอวิ๋นเจาอึ้งไปโกรธมากขนาดนี้ หยิ่งทะนงจริงๆ นะเขาอดไม่ได้ยิ้ม“ข้ายังคิดขอคำชี้แนะจากเจ้าเลยนะ ข้าคิดนานขนาดนี้ยังแก้ไม่ออกเลย” เขาว่า “ดูท่าคงเป็นเกมหมากที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”เขาก็แก้ไม่ออกเหมือนกัน เกมหมากยอดเยี่ยมนัก แก้ไม่ออกก็ไม่ต้องโกรธไหม“ไม่ยอดเยี่ยมสักนิด” คุณหนูจวินเอ่ยเด็ดขาดอีกครั้ง เพิ่มความเร็วฝีเท้า “ใกล้จะถึงแล้วสินะ?”เปลี่ยนเรื่องทื่อๆ เช่นนี้รึ? ดูท่าโกรธมากจริงๆหัวข้อนี้เลือกผิดแล้วแย่จริงๆหนิงอวิ๋นเจาทำอะไรไม่ได้อยู่นิดหนึ่งทั้งยังหงุดหงิดอยู่บ้างเล็กน้อย“ใกล้แล้ว เลี้ยวไปก็ถึง” เขายิ้มเอ่ยขึ้น ตามไปและเปลี่ยนหัวข้อสนทนาตามอย่างเป็นธรรมชาติ “ตอนเช้าคนมากนัก พวกเราอาจต้องรอสักครู่”“ตอนข้าเพิ่งเข้าเมืองซื้อของว่างหลายอย่างล้วนต้องรอ รอถึงบ่งบอกว่าดี” คุณหนูจวินเอ่ย เป็นฝ่ายรับช่วงบทสนทนานี้ต่อหนิงอวิ๋นเจายิ้มตอบรับ“มีปีหนึ่งพวกเราไปชมดอกเหมยที่วัดวั่งซานนอกเมือง ต่างจากผู้อื่นชมดอกเหมย ครั้งนั้นพวกเราตัดสินใจว่าจะชมความเป็นไปยามดอกเหมยบาน” เขาเอ่ยขึ้น “จึงรออยู่ใต้ต้นเหมยอายุมากของวัดวั่งซานหนึ่งวันหนึ่งคืน”คุณหนูจวินแย้มรอยยิ้มอาจารย์ก็ทำเช่นนี้มาก่อนเหมือนกัน จ้องดอกไม้ดอกหนึ่งรอคอยมันแย้มบานเรื่องโง่เง่าเช่นนี้“สวยไหม?” นางหันกลับมามองเขาเอ่ยถามหนิงอวิ๋นเจาคิดนิดหนึ่ง“ไม่สวย” เขาว่า “นอกจากหนาวกับง่วงไม่มีความรู้สึกอื่น”คุณหนูจวินหลุดหัวเราะพรืดหนิงอวิ๋นเจาก็หัวเราะตามไปด้วยเสี่ยวติงด้านหลังร่างโล่งอกไปด้วย ตบหน้าอกหัวเราะตาม ยังดี ยังดีนายน้อยไม่เพียงทำให้เด็กหนุ่มสนุกสนานได้ยังทำให้เด็กสาวสนุกสนานได้ด้วย“ด้านหน้าก็ถึงแล้ว” หนิงอวิ๋นเจายิ้มชี้ด้านหน้าคุณหนูจวินมองตามไปด้วย แต่นาทีต่อมาทั้งสองคนล้วนชะงักเท้านี่ไม่ใช่เพราะด้านหน้าฝูงชนขวางถนนไว้ แต่เป็นกลุ่มองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มหนึ่งกั้นคนเหล่านี้ไว้เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว?หนิงอวิ๋นเจาก็คิดไม่ถึงอยู่บ้างเช่นกัน“หรือว่าทอดเต้าหู้ก็มีความผิดได้ด้วย?” เขาเอ่ยขึ้นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตู สองข้างล้วนมีองครักษ์เสื้อแพรล้อมไว้ ขวางคนอื่นเข้าใกล้ได้ยินคำพูดของหนิงอวิ๋นเจา คนใจดีด้านหน้าจึงหันหน้ามา“ไม่ได้ทำความผิดหรอก” เขาทำหน้าทำตาตื่นเต้น เอ่ยว่า “ใต้เท้าลู่มาที่นี่กินขนมเต้าหูทอดน่ะ”ลู่อวิ๋นฉี?เขาอยู่ที่เมืองหลวงแทบไม่กินข้าวข้างนอก เดิมก็แทบไม่ออกจากบ้าน ทำงานหรืออยู่ที่กรม ล้วนอดไม่กิน กลับบ้านมาค่อยกินนางว่าเขาหลายครั้ง เขาก็เพียงแค่ยิ้มบอกว่ากินข้าวข้างนอกไม่ชิน ก็ตามใจเขาไปก็เพราะเช่นนี้ นางถึงไม่นับเรื่องที่เขาบอกว่าจะพานางไปกินขนมข้างนอกเป็นเรื่องจริงเขาไม่ชอบกินของข้างนอก ส่วนนางฐานะไม่สะดวกออกไปข้างนอกเช้าขนาดนี้ก็วิ่งออกมากินข้าวแล้ว?แม้กระทั่งสิ่งนี้ก็เสแสร้งรึ? ได้แต่เฝ้าอยู่ในบ้านดูตนนักโทษคนนี้ สักครู่ก็ไม่อาจจากไปได้งั้นสิ?เพียงแค่ออกห่างครั้งหนึ่งครั้งนั้น ตนก็วิ่งไปลอบสังหารฮ่องเต้ ในใจเขาคงเกลียดนักสินะ“เช่นนี้หรือ” หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้ากับคนผู้นั้นแต่ก็มีคนอีกคนหนึ่งหันหน้ากลับมาทันที สีหน้าพิกล“ไม่ใช่แค่หัวหน้ากองพันลู่” เขากดเสียงเบารับประทานอาหารข้างนอก ยังไงมีคนอยู่ด้วยถึงจะน่าสนใจ หนิงอวิ๋นเจาคิด มองคุณหนูจวิน“งั้นหรือ?” เขาตอบตามน้ำ“ใช่แล้ว หัวหน้ากองพันลู่กับ…” คนผู้นั้นเอ่ยต่อ พูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปอีกครั้งกับอะไร?หนิงอวิ๋นเจามองไปทางคนผู้นั้น เพื่อนขุนนาง? สหาย?“ผู้หญิง” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้นนางมองไปทางประตูร้านนั่น ทันใดนั้นก็โพล่งหนึ่งประโยคนี้ออกมา หนิงอวิ๋นเจาตะลึงมองตามไปด้านในประตูร้านอันเรียบง่ายมีคนสองคนเดินออกมา ผู้ชายอ้วนที่ใบหน้าทั้งกังวลทั้งยินดีทั้งหวาดกลัวย่อมต้องเป็นเจ้าของร้าน ผู้ชายที่เขาคอยรับใช้อย่างระวังย่อมเป็นลู่อวิ๋นฉีลู่อวิ๋นฉีไม่ได้สวมชุดปลาบินอย่างแต่ก่อน แต่สวมชุดยาวสีดำทั้งตัว เดินอยู่ใต้แสงตะวันดุจดั่งห่มราตรีไว้เขามองเจ้าของร้านที่พยักหน้าค้อมกายอยู่ข้างตัวราวกับไม่เห็น ก้าวออกธรณีประตูหยุดฝีเท้ายื่นมือออกไปด้านหลังมือของสตรีข้างหนึ่งวางลงบนมือของเขา ต่อมาหญิงสาวบอบบางคนหนึ่งก็ปรากฏในสายตาของผู้คนชาวบ้านที่ล้อมชมอยู่ยิ่งวุ่นวายทันที พากันเขย่งเท้าชะเง้อมองอย่างตื่นเต้นแต่ที่น่าเสียดายก็คือผู้หญิงคนนั้นใช้ผ้าโปร่งปิดบังหน้าตาไว้ เห็นเพียงรูปร่างผอมบาง ราวกับเสียงพูดคุยของชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ด้านนอกทำให้ตกใจ ก้มหน้าเขินอายตามลู่อวิ๋นฉีไปลู่อวิ๋นฉีจับมือของนางทีละก้าวๆ เดินไปถึงด้านหน้ารถม้า ประคองนางขึ้นรถม้าด้วยตนเอง ตนเองก็เข้าไปนั่งด้วยรถม้าฤดูร้อนม่านไม้ไผ่โปร่งบาง ทำให้เงาคนในนั้นเลือนๆ รางๆ เดี๋ยวหายเดี๋ยวโผล่บรรดาองครักษ์เสื้อแพรขวางชาวบ้านเข้าใกล้ แต่ขวางสายตากับหูของทุกคนไม่อยู่“…ยังกินได้ดีอยู่ไหม?”ในรถเงาร่างของหัวหน้ากองพันลู่เข้าใกล้ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยถามผู้หญิงคนนั้นเลิกผ้าตาข่ายขึ้น แต่ทุกคนก็มองหน้าตานางไม่ชัด ต่อให้อยู่ในรถก็ก้มหน้า ได้ยินคำถามก็พยักหน้ารับเอียงอายลู่อวิ๋นฉีไม่ได้เอ่ยวาจาต่อ นั่งตัวตรงยกมือขึ้น คนด้านนอกก็จูงม้าเดินไปข้างหน้าทันที องครักษ์เสื้อแพรกลุ่มหนึ่งเดินข้างหน้าสองกลุ่มปกป้องซ้ายขวา ฝูงชนหลีกทางเอง มองรถม้าตัดผ่านไปลู่อวิ๋นฉีที่มองตรงไปข้างหน้าฉับพลันก็หันหน้านิดหนึ่งการกระทำนี้กะทันหันเกินไป ทำให้ชาวบ้านกำลังใจกลับมากล้ามองในรถอยู่ตกใจสะดุ้งโหยงสายตาของลู่อวิ๋นฉีกวาดผ่านผู้คน ในฝูงชนก็ไม่มีคนแปลกประหลาดอะไร จนกระทั่งมองเห็นชายหนุ่มหล่อเหลาสง่างามคนหนึ่งกับเด็กสาวคนหนึ่งสองคนนี้ยืนเคียงกันในฝูงชนสะดุดตายิ่งนักสองคนนี้ก็กำลังมองเขาเช่นกัน……………………………………….
คอมเม้นต์