Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 115 การปรากฏตัวของเจ้าผู้เดินผ่านฝูงชน
ความจริงแล้วสายตาของคนบนถนนเวลานี้ล้วนจับจ้องอยู่ที่ตัวเขานอกจากตรงหน้าเหล่านี้ ในที่ลับก็ยังมีสายตาของคนมากมายจับอยู่ที่ตัวเขาแต่สายตาเหล่านี้ล้วนเป็นการลอบมองแต่สายตาที่เขารู้สึกเป็นการมองน้อยคนนักจะมองเขาได้ความรู้สึกเช่นนี้บอกไม่ได้ มองข้ามไปยิ่งไม่พบอะไรบางทีพักนี้เขาคงสงสัยมากเกินไปแล้วลู่อวิ๋นฉีรั้งสายตากลับมาหัวหน้ากองร้อยเจียงยังคงตั้งหูตั้งใจฟัง ทว่าหลังสามคำลู่อวิ๋นฉีก็ไม่ส่งเสียงแล้ว กลับเร่งม้าเดินหน้าธุระของคนใหญ่คนโตมากมาย ทั้งยังใกล้วันแต่งงาน เรื่องที่คิดมากอยู่บ้างเขาไม่เอ่ยถามต่อ ติดตามหลังร่างลู่อวิ๋นฉีไปแสงอรุณสว่างบนถนนใหญ่ความครึกครื้นฟื้นกลับคืนมาอีกครั้ง ราวกับพริบตาหนึ่งฝูงชนก็ผุดออกมาจากใต้ดิน รวมตัวกันถกเถียง คุยเล่นถึงเรื่องสนุกหวาดเสียวเมื่อครู่คุณหนูจวินแนบร่างอยู่กับกำแพงด้านข้าง มองความครึกครื้นนี้นิ่งๆ ครู่หนึ่งถึงได้สติกลับคืนเดินออกมาในใจนางว้าวุ่นอยู่บ้าง อยากคิดอะไรแต่ก็ฝืนบังคับไม่ให้ไปคิด จนทำให้สติว่างเปล่าไปบ้างนางเดินผ่านท่ามกลางฝูงชน จนกระทั่งมีคนยืนอยู่เบื้องหน้านาง ขวางทางนางไว้“คุณหนูจวิน?” มีเสียงผู้ชายเอ่ยขึ้นคุณหนูจวินเงยหน้าขึ้น มองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า“คุณชายหนิง” นางเอ่ยเรียกมองดวงหน้าที่เงยขึ้นรวมถึงเสียงคุ้นเคยที่ลอยเข้าในหู หนิงอวิ๋นเจารู้สึกเพียงดวงตาพร่าไปบ้างเป็นนางจริงๆ!เขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหม? หนิงอวิ๋นเจาคิดขึ้นมา…หนิงอวิ๋นเจาคืนวานแทบไม่ได้หลับทั้งคืน อ่านจดหมายที่ส่งมาจากหยางเฉิงซ้ำไปมา คิดเรื่องราวมากมาย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ถึงขนาดที่ไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงนอนไม่หลับเหมือนกับตอนยังเล็กได้ยินว่าครอบครัววางแผนออกไปข้างนอกเที่ยวเดินเล่นวันรุ่งขึ้น ตื่นเต้นนอนไม่หลับ คาดหวังให้วันพรุ่งนี้มาถึงเร็วขึ้นอีกนิด จินตนาการว่าจะเล่นอย่างไรจะไปเล่นอะไรแน่นนอนว่า นี่เป็นคนละเรื่องกับสิ่งนั้นอย่างสิ้นเชิงคงเป็นเพราะนิทานเรื่องนี้ยอดเยี่ยมเกินไปแล้วเขาเคยอ่านหนังสือมากมาย ได้อ่านเรื่องราวประหลาดมาบ้าง แต่เรื่องราวที่เหมือนกับของคุณหนูจวินยังเพิ่งพบเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ตัวเอกของเรื่องก็ยังเป็นคนคุ้นเคยของตนเองแน่นอนว่าก็นับเป็นคนคุ้นเคยไม่ได้แต่อย่างน้อยก็บอกได้ว่ารู้จักกันสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองรวมถึงคนรู้จัก อย่างไรก็ทำให้คนหวั่นไหวได้มากกว่าเรื่องของผู้อื่นอยู่บ้างอย่างไรก็นอนไม่หลับ เขาจึงเรียกบรรดาสหายให้ตื่นออกมากินข้าวเช้าเสียเลย คิดไม่ถึงที่หอน้ำชากลับมองเห็นภาพองครักษ์เสื้อแพรจับบุตรชายของเฉิงกั๋วกงแน่นอนว่าเรื่องสนุกเช่นนั้นเขาไม่สนใจองครักษ์เสื้อแพรไม่อาจทำอันใดบุตรชายเฉิงกั๋วกงได้ อย่างมากที่สุดก็ข่มขู่ให้หวาดกลัวยกหนึ่งก่อนหน้าที่จะมีขุนพลผู้รับภาระหนักทางการทหารปกป้องประเทศแทนเฉิงกั๋วกงได้อย่างมั่นคงเหมาะสม ฮ่องเต้ไม่อาจทำเฉิงกั๋วกงโกรธได้อย่างไรสงครามที่เมืองหลวงถูกโจมตีแตกก็เพิ่งผ่านไปไม่นานแน่นอนว่ากับเฉิงกั๋วกงที่ครองแถบเหนือมานานปีขนาดนี้ ขุมกำลังพลังศรัทธาค่อยๆ หนักแน่น ฮ่องเต้ก็ทรงวิตกอย่างมากเช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งแม้กระทั่งบรรดาขุนนางแถบเหนือยังพากันเชื่อฟังคำสั่งเฉิงกั๋วกง ถึงขั้นประจบ ตัวอย่างเช่นเฉิงกั๋วกงต้องการให้แถบเหนือเพิ่มความเข้มงวดที่ประตูเมือง ไม่เพียงมณฑลเหอเป่ย แม้กระทั่งมณฑลเหอหนานซานซีก็ล้วนโดดตามกระแสไปด้วยดังนั้นฏีการ้องเรียนกล่าวโทษเฉิงกั๋วกงจึงยิ่งมากขึ้นทุกทีเช่นกัน นี่เป็นสัญญาณเตือนแล้วก็เป็นการข่มขวัญทว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาสะบั้นสัมพันธ์ ทุกสิ่งล้วนมีประเทศชาวประชาเป็นสำคัญเป็นอย่างที่คิดฝั่งนี้ประจันหน้าเพียงชั่วครู่ ฮ่องเต้ด้านนั้นก็ส่งคนมาคลี่คลายสถานการณ์แล้ว“ให้ข้าพูด ตอนแรกก็ไม่ควรตามใจเช่นนี้ มีที่ไหนผู้บัญชาการทหารพาลูกเมียไปรับหน้าที่ด้วย”“บ้านเมืองบ้านเมือง บ้านกับเมืองอยู่ด้วยกัน ยากเลี่ยงกำเริบเสินสาน”“ครั้งนี้ต้องรั้งบุตรชายของเฉิงกั๋วกงไว้ที่เมืองหลวงแน่”“เฉิงกั๋วกงในเมื่อส่งบุตรชายกลับมาก็ย่อมตั้งใจเช่นนี้อยู่แล้ว”“นับว่าเขายังยึดถือฟ้าดินจักรพรรดิครอบครัวอาจารย์อยู่”บรรดาองครักษ์เสื้อแพรและทหารบนถนนสลายตัวไปหมดแล้ว กลับมาอึกทึกครึกครื้นใหม่ การถกเถียงของสหายก็ดังขึ้นตามมา หนิงอวิ๋นเจาดื่มชาไปพลางมองด้านนอกไปพลาง“ดังนั้นตอนแรกปฐมจักรพรรดิถึงให้ใช้พลเรือนควบคุมทหาร ป้องกันนายทหารอย่างเข้มงวด เพราะปฐมจักรพรรดิรู้ว่าขุนพลแม่ทัพเมื่อเป็นใหญ่ปุบย่อมควบคุมไม่ง่าย” เขาหลุดปากเอ่ยตอบ “ยังมีใครรู้ชัดเรื่องนี้ยิ่งกว่าปฐมจักรพรรดิอีก”ตอกแรกปฐมจักรพรรดิก็เป็นแม่ทัพก่อกบฏแย่งชิงใต้หล้ามาบรรดาสหายกระแอมหลายที“คำพูดนี้พูดไม่ได้…” มีคนรีบเอ่ยขึ้นคำพูดนี้หากพูดออกไป ใยไม่ใช่บอกว่าเฉิงกั๋วกงมีใจคิดกบฏหนิงอวิ๋นเจาหัวเราะ“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เขาว่า “ข้าเพียงแต่พูดว่า…”เขาเอ่ยถึงตรงนี้ก็ทะลึ่งลุกขึ้นมา น้ำชาก็ทิ้งไว้บนโต๊ะ คนมองไปบนถนนใหญ่ด้านนอกหน้าต่าง สีหน้าประหลาดใจไม่อยากเชื่อ“นางมาได้อย่างไร?” เขาหลุดปากเอ่ยขึ้นมาบรรดาสหายที่กำลังรอคอยคำพูดต่อไปของเขาประหลาดใจ“ใครมาหรือ?” ทุกคนเอ่ยถามแต่หนิงอวิ๋นเจาด้านนี้ไม่เห็นตัวแล้ว ประตูดึงเปิดไว้ ทางเดินในหอเสียงฝีเท้าตึงตึงไกลออกไป…หนิงอวิ๋นเจามองเด็กสาวตรงหน้า ความทรงจำที่เดิมทีคิดว่าเลือนรางไปแล้วพริบตาชัดเจนอย่างยิ่งดวงหน้ายังคงเป็นดวงหน้านั้น สีหน้าก็ยังคงเป็นสีหน้าเช่นนั้นเหมือนกันแสงตะวันส่องล้อมบนร่างนางราวกับผ้าโปร่งบางเบาผืนหนึ่งคลุมไว้ เหมือนจริงทั้งเหมือนมายาข้างกายคนมาคนไป คุยเล่นเอะอะ รถม้าขับผ่านนี่คงไม่ใช่ความฝันแต่หยางเฉิงกับเมืองหลวงห่างไกลกันพันลี้ นางอยู่ดีๆ โผล่ขึ้นมาเช่นนี้ได้อย่างไร?“นี่บังเอิญเกินไปแล้วจริงๆ” คุณหนูจวินว่าใช่สิ บังเอิญเกินไปแล้วจริงๆหนิงอวิ๋นเจาหัวเราะอีกครั้ง อยากพูดอะไรแต่ก็เหมือนพูดสิ่งใดล้วนไม่เหมาะสมนี่กะทันหันเกินไปแล้ว เขายังไม่ทันคิดเลยว่าควรพูดอะไร“ใช่แล้ว บังเอิญจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้า มาได้อย่างไร?”เมื่อเขาเอ่ยถามประโยคนี้ ด้านหลังร่างก็มีเสียงพูดดังขึ้น“นี่ใครหรือ?”หนิงอวิ๋นเจาสะดุ้งหันหน้าไป ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรสหายล้วนตามออกมา ยืนอยู่ด้านหลังร่างมองประเมินคุณหนูจวินอย่างสงสัยใคร่รู้เขาลำบากใจนิดหน่อย จากนั้นก็ยิ้มหยันให้กับความลำบากใจของตนเองมีอะไรน่าลำบากใจเล่า เด็กสาวคนนี้เป็นคนที่ไม่ควรค่าแนะนำแก่ผู้อื่นงั้นรึ?“นี่คือคนบ้านเดียวกันกับข้า” เขาเอ่ยอย่างเปิดเผยสีหน้าบรรดาสหายพิลึก มองเขาแล้วก็มองนาง“คนบ้านเดียวกันนี่เอง” พวกเขาลากเสียงยาวเอ่ยขึ้นหนิงอวิ๋นเจาขมวดคิ้วนิดๆ มองไปทางคุณหนูจวินคุณหนูจวินยิ้มน้อยๆ แล้ว ย่อตัวคำนับบรรดาชายหนุ่มด้านนี้“ข้าแซ่จวิน เป็นคนหยางเฉิง” นางเอ่ยขึ้นนางทำตัวเป็นธรรมชาติ สีหน้าสงบนิ่ง รอยยิ้มจริงใจ ไม่มีท่าทางอึดอัดลำบากใจรวมไปถึงรู้สึกว่าถูกสายตามองประเมินเช่นนี้ คำถามเช่นนี้ล่วงเกินแม้แต่นิดทุกสิ่งที่นางทำล้วนเป็นเหมือนเก่าอย่างที่เขาเห็นครั้งแรก นางไม่เคยเปลี่ยน นางก็คือนาง ไม่ใช่คู่หมั้นที่อยู่ในคำเล่าลือพรรณนาของผู้อื่นคนนั้น แต่เป็นคุณหนูจวินที่บังเอิญพานพบในเทศกาลโคมไฟ……………………………………….
คอมเม้นต์