Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 114 เหมือนจะใช่แต่ไม่ใช่
พร้อมกับใจที่เต้น สายตาของคนมากมายก็หลุบลงหลบไปน้อยนักถึงจะมีคนกล้าสบตากับลู่อวิ๋นฉีโดยไม่หลบสายตาประการที่หนึ่งฐานะของเขาทำให้คนหวาดกลัว ประการที่สองคือท่าทางของเขาเขา พูดจริงๆ แล้วไม่น่าเกลียด แต่ไม่รู้ว่าเพราะหน้าตาไร้ความรู้สึกหรือดวงตาที่เย็นชามาตั้งแต่เกิด ทำให้คนมองอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่สบายดังนั้นหลังมองเห็นลู่อวิ๋นฉีมาถึง สายตาของบรรดาชาวบ้านก็ลุกลี้ลุกลนหลบไปคุณหนูจวินไม่ได้หลบ ความรู้สึกของบรรดาชาวบ้านไม่ใช่ความรู้สึกขององค์หญิงจิ่วหลิง ไม่ว่าก่อนหน้าหรือหลังแต่งงานก่อนหน้าลู่อวิ๋นฉีดุร้ายเพียงใดก็เป็นเพียงแค่ขุนนางคนหนึ่งส่วนหลังแต่งงานเขาอยู่ต่อหน้านางยิ่งอ่อนโยนเป็นมิตรคุณหนูจวินกำมือที่อยู่ด้านหน้าร่างแน่นอีกครั้ง“ไม่พบหน้ากันนานจริงๆ! เจ้ายังไม่เปลี่ยนสักนิดเลยนะ ยังคงประหยัดคำดั่งทองเช่นนี้” เสียงของจูจั้นบนถนนใหญ่อันเงียบสงัดดังกังวาน “ทำไมเห็นคนแม้กระทั่งทักทายก็ไม่ทักแล้วเล่า?”จูจั้นกับลู่อวิ๋นฉีสนิทกันหรือ?คุณหนูจวินความสงสัยนี้แวบผ่านไป แต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้ยินลู่อวิ๋นฉีพูดถึงมาก่อนแล้วยังประหยัดคำดั่งทอง คำวิจารณ์นี้ทำให้คุณหนูจวินแปลกใจนักที่แท้เขาก็เป็นคนประหยัดคำดั่งทองคนหนึ่งงั้นหรือตอนอยู่กับตัวเองคำพูดไม่น้อยเลยตอนแรกแต่งงานกับตนเอง ลำบากเขาแล้วจริงๆ ยังต้องแสร้งทำขัดกับการกระทำนิสัยดั้งเดิมยืนอยู่ด้านหลังผู้คน มองผ่านช่องว่างระหว่างหมู่คนที่เคลื่อนไหวไปมา คุณหนูจวินมองลู่อวิ๋นฉีลู่อวิ๋นฉียังคงหน้าไร้อารมณ์ไม่มีทีท่าจะเอ่ยวาจา มองจูจั้นทีหนึ่งก็เพียงโคลงศีรษะไปมาเล็กน้อยเขาโคลงศีรษะนิดหนึ่งบรรยากาศฉับพลันชะงักนิ่ง บรรดาองครักษ์เสื้อแพรยกดาบพุ่งเข้าใส่จูจั้นพร้อมเพรียง ในดวงตาของพวกเขามีเพียงจูจั้น ทหารที่ขวางอยู่ด้านหน้าตัวจูจั้นเหล่านั้นมองดั่งไม่เห็นพวกเขาขอเพียงจับคนผู้นี้ได้ คนผู้อื่นในสายตาพวกเขาล้วนไม่ใช่คน ก็แค่ของชิ้นหนึ่ง ขวางทางอยู่ถีบล้มฟันล้มก็พอใต้เท้าอู่ที่นำบรรดาทหารอยู่สีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ท่าทางตัดสินใจแน่วแน่อยู่บ้างไม่คิดว่าสองฝ่ายเพิ่งพบหน้ากันสักประโยคยังไม่ทันเอ่ยก็จะสู้กันขึ้นมาแล้ว หัวหน้ากองพันลู่ทำสิ่งใดเด็ดขาดตามอำเภอใจจริงๆ บรรดาชาวบ้านฮือฮาทีหนึ่งหนีกระจัดกระจายคุณหนูจวินถูกฝูงชนพุ่งชนเอนซ้ายเอียงขวาถอยไปที่มุมกำแพง ยังคงมองด้านนั้นท่ามกลางความวุ่นวายพลันมีเสียงกีบเท้าดังขึ้นมา พร้อมกับเสียงตวาด“หยุดมือ!”คุณหนูจวินมองไป เห็นคนขี่ม้าขบวนหนึ่งมาอีก“คนของกรมทหารม้าห้าเมืองก็มาแล้ว!”“ครั้งนี้สู้กันยิ่งสนุกแล้ว”“พวกเขาช่วยใคร?”บรรดาชาวบ้านที่หลบอยู่มุมกำแพงถกกันเสียงเบาแต่ที่ทำให้พวกเขาเสียดายก็คือ คนของกรมทหารม้าห้าเมืองไม่ได้มาช่วย แต่คุ้มครองขันทีชุดแดงอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งมา“หยุดมือ หยุดมือ! นี่ทำอะไรกันเนี่ย!” เขาตะโกนเสียงแหลม สีหน้าทั้งโกรธทั้งหวาดกลัวเสียงของเขายังไม่ทันจบลงก็มีคนร้องตะโกนขึ้นมาด้วย“กงกง กงกง! ช่วยด้วย! ใต้เท้าลู่จะฆ่าข้าแล้ว!”นอกจากจูจั้นยังเป็นใครได้ตัวเขาก็วิ่งมาถึงตรงหน้าขันทีผู้นี้ จับแขนเสื้อของขันทีไว้เหมือนกับเด็กน้อยที่หาเรื่องแล้วถูกไล่ตีภาพเช่นนี้ท่านขันทียังคงจำได้อยู่บ้าง หลายปีก่อนหน้านี้ก็เหมือนจะมีภาพเช่นนี้เด็กน้อยกำลังโตคนหนึ่งล้มลุกคลุกคลานมากอดขาเขาไว้“ช่วยด้วย กงกง ข้าจะถูกคนที่แสร้งเรียกตนเป็นองค์ชายคนนั้นตีตายแล้ว” เขาร้องเสียงสลด แทบจะทำคนตกใจยืนไม่อยู่แต่คนที่ปากเขาว่าจะตีเขาตายกลับนอนอยู่บนดินกุมหน้าเลือดเต็มพื้นท่านขันทีคิดถึงเรื่องครั้งนั้นก็อดไม่ได้หนังหัวชาขึ้นมา ‘เฮ้อ ท่านบรรพบุรุษ! ทำไมอายุยี่สิบสองยังเหมือนกับอายุสิบสองอีกเล่า’“ท่านชาย ท่านตอนนี้ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว อย่าก่อเรื่องเช่นนี้” เขาถอนหายใจเอ่ยขึ้นจูจั้นมองเขา ร้องเอ๋ขึ้นมา“ตู้กงกง ท่านเองหรือ” เขาเอ่ยขึ้น สีหน้าดีใจทั้งยังซาบซึ้ง “เป็นท่านช่วยข้าอีกแล้ว”ท่าทางเขายังอยากเข้ามากอดเขา ตู้กงกงอดไม่ได้ตัวสั่นเขาเป็นขันที คนมากมายล้วนหลบหลีกเขาแทบไม่ทัน ต่อให้ประจบในใจก็ยังรังเกียจ ยิ่งไม่ยินดีสัมผัสบนร่างกายของพวกเขาจูจั้นคนนี้กลับไม่สนใจสักนิดตู้กงกงในใจรู้สึกอบอุ่นอย่างไม่มีสาเหตุทั้งยังไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง ถอยหลังหลบพ้นจูจั้น สีหน้าอ่อนโยนขึ้นมา“ท่านชายจู ท่านไม่ต้องก่อเรื่องแล้ว ใต้เท้าลู่ทำไมต้องจับท่าน ตัวท่านเองรู้อยู่แก่ใจ” เขาเอ่ย“ข้ารู้สิ” จูจั้นว่า สีหน้าตั้งใจไม่มีล้อเล่นสักนิด “ดังนั้นข้าจะไปอธิบายกับฝ่าบาทขออภัยโทษ ท่านรีบพาข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทที”เขาว่ามองลู่อวิ๋นฉีด้านนั้นทีหนึ่งลู่อวิ๋นฉียังคงสีหน้าไร้อารมณ์มองเขา“ท่านดูสิ เขาน่ากลัวเพียงใด ข้าไม่อยากถูกเขาพาไปหรอก” จูจั้นเอ่ยขึ้นลู่อวิ๋นฉีน่ากลัวมากแต่เขาทำเจ้ากลัวได้รึ ในใจท่านขันทีถอนหายใจ ท่านแม้กระทั่งองค์ชายบอกจะต่อยยังต่อยมาแล้ว ต่อยเสร็จยังทำท่าบริสุทธ์ได้อีก ใครยังจะสู้ท่านได้ท่านช่างมีบิดาดีคนหนึ่งจริงๆ นะ“ใต้เท้าลู่” ท่านขันทีมองไปทางลู่อวิ๋นฉี ยกมือคำนับ “ฝ่าบาทมีรับสั่ง เรียกท่านชายจูเข้าวัง”ลู่อวิ๋นฉียื่นมือออกมาท่านขันทีรับรู้ทันทีหยิบหนังสือรับสั่งออกมา องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งก้าวเข้ามาข้างหน้าอ่านตรวจอย่างละเอียด หันกายไปพยักหน้ากับลู่อวิ๋นฉีลู่อวิ๋นฉีโบกมือ บรรดาองครักษ์เสื้อแพรเก็บดาบเข้าฝักพรึบพรับพร้อมเพรียง หลีกทางออก“ท่านชาย เชิญ” ท่านขันทีเอ่ยขึ้นจูจั้นรับคำ“ตู้กงกง เชิญ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างมีสัมมาคารวะ ไหนเลยยังเผยท่าทางอันธพาลอย่างเมื่อครู่สักนิดอีกสองคนเดินมุ่งหน้าไปยังวังหลวงท่ามกลางวงล้อมของกรมทหารม้าห้าเมือง“ตู้กงกง พวกเราไม่พบหน้ากันหลายปีแล้ว ท่านไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด มีกำลังวังชาเสียยิ่งกว่าเจ็ดแปดปีก่อน”“ตู้กงกง ป้ายห้อยเอวนี่ของท่าน เลื่อนมาถึงขั้นนี้แล้วหรือ ร้ายกาจเหลือเกินจริงๆ”“ตู้กงกง ท่านชอบดื่มชาอะไร? ท่านดูสิข้ามารีบร้อน อะไรก็ไม่ได้พกมา…”เสียงพร่ำพูดตั้งแต่พวกเขายกเท้าก้าวเดินไม่เคยหยุดลง ท่านขันทีโดนพูดใส่จนอดยิ้มไม่ได้ รีบตีหน้าขรึมอีกครั้ง“ท่านชาย กฎระเบียบยามออกมาปฏิบัติงานของพวกเรา พูดคุยไม่ได้นะ” เขาว่าจูจั้นทำสีหน้าสำนึกผิด ประสานมือให้เขา สีหน้าจริงจัง น่าเอ็นดูสักคำก็ไม่พูดอีกน่าเอ็นดูแสร้งน่าเอ็นดูเสียมากกว่าตู้กงกงในใจย่อมไม่กล้ามองเขาเป็นคนน่าเอ็นดูเข้าจริงๆ พ่อเจ้าประคุณไม่แน่ว่าที่ไหนสักที่วางกับดักเจ้าอยู่มองพวกเขาจากไปไกลบนถนนใหญ่ ใต้เท้าอู่ก็โบกมือ“ไปไป ไปเฝ้าประตูเมือง” เขาเอ่ยขึ้น เหมือนกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น มองก็ไม่มองเหล่าองครักษ์เสื้อแพรด้านนั้น พวกทหารก็วิ่งเร็วรี่ไปแล้วบนถนนใหญ่เหลือเพียงพวกลู่อวิ๋นฉี ชาวบ้านที่สลายตัวไปล้วนลอบมองอย่างระมัดระวังจากรอบด้านองครักษ์เสื้อแพรต้องการจับคน แรกเริ่มถูกทหารกลุ่มหนึ่งขัดขวาง ต่อมาคนที่ถูกจับก็ร้องว่าต้องการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็ส่งคนมารับเขาจริงๆนานปีขนาดนี้ ยังเพิ่งเคยเห็นพวกองครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้เสียหน้าเป็นครั้งแรกสายตาของบรรดาชาวบ้านประหลาดใจทั้งยังแฝงความตื่นเต้นอยู่บ้าง“ใต้เท้า จะให้จบเช่นนี้หรือขอรับ?” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ยขึ้นเสียงเบาลู่อวิ๋นฉีมองเขาทีหนึ่ง“ธุระของพวกเราทำเสร็จแล้ว” เขาว่า “แน่นอนย่อมจบแล้ว”ธุระของพวกเขาทำเสร็จแล้ว?จูจั้นยังจับไม่ได้ หากไปถึงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ขุนนางที่จะพูดให้ย่อมมีโขยงใหญ่ ถ้าอย่างนั้นพวกเขาองครักษ์เสื้อแพรอยากสอบสวนจูจั้นก็ยิ่งยากแล้วหัวหน้ากองร้อยเจียงขมวดคิ้วลู่อวิ๋นฉีขึ้นม้าหัน หัวม้าไปแล้ว“ฝ่าบาทให้พวกเราคุมจูจั้นเข้าเมืองหลวง จูจั้นตอนนี้ไม่ใช่กลับมาแล้วหรือ” เขาว่าแบบนี้ก็ได้หรือหัวหน้ากองร้อยเจียงรีบขึ้นม้าตาม ลู่อวิ๋นฉีมองเขาทีหนึ่ง“พวกเราฟังคำฝ่าบาท” เขาว่าคำพูดของเขาน้อยนัก ยังดีลูกน้องล้วนคุ้นเคยเสียแล้วพวกเราฟังคำฝ่าบาทฝ่าบาทให้ทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น ให้ทำก็ทำ ให้หยุดก็หยุดส่วนความคิดของผู้อื่น ผายลมก็ไม่ใช่หัวหน้ากองร้อยเจียงยิ้มขานรับ ส่งสัญญาณให้ผู้คนขึ้นม้า“กลับกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ” เขาเอ่ยมองเหล่าองครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้จากไปบนถนนใหญ่ บรรดาชาวบ้านล้วนเดินออกมาจากที่ซ่อนตัว ถกเถียงชี้นิ้ว ฉับพลันขบวนด้านหน้าก็หยุดลง ลู่อวิ๋นฉีที่อยู่ตรงกลางหันหน้ากลับมาฝุงชนวุ่นวายราวกับพริบตาถูกแช่แข็ง เงียบกริบสายตาของลู่อวิ๋นฉีกวาดผ่านชาวบ้านรอบด้านข้างหลังร่าง ชายหญิงผู้เฒ่าเด็กน้อยยากจนร่ำรวย บ้างตระหนกลนลานบ้างหลบบ้างประจบบ้างสีหน้าไร้อารมณ์“ใต้เท้าทำไมหรือขอรับ?” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ยถาม มองไปข้างหลังทีหนึ่งบ้าง “มีสิ่งใดไม่ถูกต้องหรือขอรับ?”ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้เอ่ยวาจาใต้เท้าเดิมทีก็ไม่ชอบพูดอยู่แล้ว หัวหน้ากองร้อยเจียงไม่ถามต่อแต่ลู่อวิ๋นฉีกลับเอ่ยปาก“ข้ารู้สึก…” เขาพลันเอ่ยขึ้นอยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกว่ามีคนมองเขาอยู่……………………………………….
คอมเม้นต์