Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 103
บรรดาชาวบ้านคิดมากเกินไปฟังจนสับสน แต่แม่ทัพใหญ่เถียนที่ความคิดเรียบง่ายกลับเข้าใจอย่างยิ่งเพราะเขารู้ว่าตนเองต้องฟังอะไร ดังนั้นบนใบหน้าจึงเต็มไปด้วยความเสียดายต้องเสียไปเช่นนี้แล้วหรือ?“ใต้เท้าเถียนไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือเสียดาย” เหลยจงเหลียนเอ่ยขึ้น บนใบหน้าที่นิ่งสนิทมาเสมอปรากฏรอยยิ้ม “ข้าทำความปรารถนาในใจสำเร็จแล้ว นี่เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก แม้ต้องจ่ายราคาก็คุ้มค่าแล้ว”นั่นก็ใช่ ในสนามรบสังหารศัตรูได้คนหนึ่ง ก็นับว่าตายไม่เสียดายแล้วแม่ทัพใหญ่เถียนยิ้มสบายอารมณ์แล้ว“แต่อาจารย์เหลยแม้ท่านไม่อาจเข้าสนามรบด้วยตนเองได้ แต่ก็สั่งสอนบรรดาทหารได้นะ” เขาเอ่ยขึ้น “ท่านเป็นผู้ฝึกสอนคนหนึ่งได้นิ”เหลยจงเหลียนพยักหน้า“ใช่ข้าก็คิดไว้เช่นนี้เหมือนกัน แม้มือของข้าพิการแล้ว ไม่อาจควงหอกคู่เผชิญศัตรูได้แล้ว แต่ตัวข้ายังไม่พิการ ใจก็ยังไม่พิการ ข้ายังสั่งสอนศิษย์ได้ ถ่ายทอดหอกคู่ต่อไป” เขาเอ่ยขึ้นก่อนหน้านี้แขนของเขาเสีย คนทั้งคนก็เสียตามไปด้วย แต่ตอนนี้มือเสียไปจริงๆ แล้ว คนกลับยิ่งมีชีวิตชีวาแม่ทัพใหญ่เถียนยินดียิ่ง“ถ้าเช่นนั้นอาจารย์เหลยรีบไปกับพวกข้าเถอะ” เขาเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าของพวกเราขอหนังสือรับตำแหน่งจากเบื้องบนมาแล้ว อาจารย์ท่านมาก็จะได้รับตำแหน่งขุนนางครึ่งขั้นเก้าได้ทันที”แม้เป็นขุนนางทหารครึ่งขั้นเก้าคนหนึ่ง แต่นั่นก็ยังเป็นขุนนาง คนมากน้อยเท่าไรทั้งชีวิตเป็นทหารก็ ไม่อาจได้มาเหลยจงเหลียนผู้นี้ถึงกับได้คำมั่นเช่นนี้ จากประชาชนรากหญ้ากระโดดทีหนึ่งเป็นขุนนางดวงตาของชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่เบิกกว้างแล้วนี่เป็นเรื่องดีงามขนมสอดไส้ร่วงลงมาจากฟ้าชัดๆ คนโง่ยังรู้จักรับไว้เหลยจงเหลียนไม่ใช่คนโง่ แต่ยังคงไม่รับไว้ เขาคำนับเอ่ยขอบคุณ“ขอบพระคุณใต้เท้าส่งเสริม ผู้แซ่เหลยยังคงไม่อาจรับคำสั่งได้” เขาเอ่ยขึ้นแม่ทัพใหญ่เถียนผู้ตรงไปตรงมาทนไม่ไหวโมโหหงุดหงิดแล้ว“ท่านก็เป็นคนฝึกยุทธ์ ลูกผู้ชายในยุทธภพคนหนึ่ง ทำไมปฏิเสธแล้วปฏิเสธเล่าพูดพร่ำต่อรองราคาเหมือนเช่นบัณฑิตพวกนั้นเล่า” เขาเอ่ยขึ้น “ก็ไม่กลัวบอกแก่เจ้า ขุนนางครึ่งขั้นเก้านี่เป็นขีดสุดที่ใต้เท้าของพวกข้าทำได้แล้ว ให้หนทางก้าวหน้าใหญ่กว่านี้ให้เจ้าไม่ได้แล้ว”เหลยจงเหลียนไม่ได้โกรธ“ใต้เท้าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าไม่อาจรับคำสั่ง ประการที่หนึ่งหอกคู่ของข้าเหมาะกับการท่องยุทธภพต่อสู้ตัวต่อตัว ไม่เหมาะกับบรรดาทหารร่ำเรียน บรรดาทหารยังคงร่ำเรียนวิชาหอกที่เรียบง่ายหน่อยแต่ได้ผลจำนวนหนึ่งแล้วพิถีพิถันกับกระบวนทัพและการร่วมมือกันในสนามรบจะดีกว่า เช่นนี้เทียบกับหอกคู่ของข้ากลับร้ายกาจยิ่งกว่า” เขาเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจแม่ทัพใหญ่เถียนสีหน้าผ่อนคลายลง“ท่านพูดก็ถูก” เขาเอ่ยขึ้น “ร่ำเรียนวิชาหอกของท่านต้องทุ่มเวลาและความตั้งใจมากยิ่งนัก ทหารเหล่านี้ของพวกเราไม่มีเวลาเช่นนี้จริงๆ แต่ท่านก็ทำให้วิชาหอกของท่านง่ายลงได้นี่ เช่นนี้ใช้กับกระบวนทัพการต่อสู้เป็นหมู่ต้องมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นแน่”เหลยจงเหลียนขอบคุณอีกครั้ง“ขอบพระคุณความเมตตาของใต้เท้า” เขาเงยหน้าขึ้น “นอกจากประการแรกแล้ว ยังมีที่สำคัญยิ่งกว่าอีกหนึ่งประการก็คือข้าต้องการทำอี้โหย่วสิงขึ้นมาอีกครั้ง จะได้ไม่ผิดต่ออาจารย์และเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เสียไป”พูดถึงตรงนี้เสียงก็ขมขื่นไปบ้าง“ข้าให้พวกเขารอมาสิบสี่ปีแล้ว ไม่อาจรอต่อไปได้อีกแล้ว”จงรักภักดีกตัญญูยึดถือธรรมเนียมคุณธรรม นี่เป็นความเชื่อที่แม่ทัพใหญ่เถียนเคารพเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่บีบบังคับคนให้ฝืนความเชื่อนี้ เอ่ยประโยคเคารพเหลยจงเหลียนอีกหลายประโยคก็ขึ้นม้าพาทหารเร่งรีบจากไปอย่างฉับไวชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่หน้าประตูรุมเข้ามา“ตาเฒ่าเหลย จะเชิญเจ้าไปเป็นขุนนางจริงหรือ?”“นี่เรื่องอะไรกัน? มือของเจ้าพิการจริงๆ แล้วหรือ?”“เจ้าคือหอกคู่ดอกบัว? เจ้าเป็นหอกคู่ดอกบัวจริงๆ?”คำถามนับไม่ถ้วนโถมเข้าใส่เหลยจงเหลียน เหลยจงเหลียนไม่ได้ตระหนกทำอะไรไม่ถูก แต่แปะประกาศรับสมัครลูกศิษย์ใบหนึ่งไว้นอกประตู หลังจากนั้นก็ปิดประตูดังปังถึงกับไม่มีเจตนาจะคุยสักนิด“เหลยจงเหลียนคนนี้ก็เป็นเช่นนี้” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยกับฟางอวี้ซิ่ว “คนแข็งทื่อยิ่งนัก ให้เขาทำอะไรเขาก็ทำอันนั้น ประโยคหนึ่งไม่ได้พูดถึงเขาก็จะไม่พูดเพิ่มสักประโยคไม่ทำเพิ่มสักก้าว”“ให้เงินก็ไม่ได้?” ฟางอวี้ซิ่วตั้งใจเอ่ยถามฟางเฉิงอวี่พยักหน้า“ให้เงินก็ไม่ได้” เขาตอบอย่างตั้งใจฟางอวี้ซิ่วเม้มปากยิ้ม“คุณหนูจิ่วหลิงร้ายกาจจริงๆ นะ” นางถอนหายใจพูดออกมาอีกครั้ง“ใช่ นางร้ายกาจมาก” ฟางเฉิงอวี่ก็ถอนหายใจตาม ดูชาวบ้านที่รวมตัวถกเถียงกันครึกครื้น บนหน้ารอยยิ้มยิ่งกดลึก “ทุกคนควรรู้ความร้ายกาจของนาง”แม้เหลยจงเหลียนไม่ได้พูดเรื่องเกี่ยวกับเขาอย่างละเอียด แต่นี่ไม่ได้ขัดขวางเรื่องไม่ให้แพร่ออกไป อย่างไรนอกจากเหลยจงเหลียน ตระกูลฟางก็ยังมีผู้คุ้มกันคนอื่นเข้าร่วมด้วยนักเล่านิทานหยางเฉิงดีใจอีกครั้งในทันที เสียเงินทองร่อนได้รายละเอียดของเหตุการณ์ตอนเผชิญการดักซุ่ม ฝ่ากับดับ โซเซผ่านสนามรบ โครงเรื่องของช่วงเวลาอันตรายแสดงพลังเช่นนี้ยิ่งดึงดูดคน พัดตลบไปทั้งเมืองทันที แย่งพื้นที่ซึ่งถูกคนหรู่หนานยึดครองไปคืนมาได้ใหม่อีกครั้งแม้นิทานเรื่องนี้ตัวเอกคือเหลยจงเหลียน แต่ภาพลักษณ์ของคุณหนูจวินกลับถูกเสริมให้เพิ่มความลึกลับและร้ายกาจคนมากมายรู้สึกว่าคุณหนูจวินที่ตนเองรู้จักคุ้นเคยที่แท้ไม่ใช่เช่นนี้ รอคอยยิ่ง อยากเห็นคุณหนูจวินตอนนี้นัก ทว่าน่าเสียดายที่คุณหนูจวินออกจากบ้านไปแล้วนี่ยิ่งยืนยันว่าการแต่งงานของคุณหนูจวินเป็นเรื่องหลอกไม่เช่นนั้นจะวิ่งวุ่นทุกแห่งตามใจเช่นนี้ได้อย่างไร นี่มีแต่ญาติที่มาเป็นแขกถึงจะเป็นเช่นนี้ได้ เป็นสะใภ้ของผู้อื่นย่อมไม่อิสระเช่นนี้“คุณหนูจวินมีธุระสำคัญต้องทำ”“ได้ยินมาว่าถูกเชิญไปรักษาโรค”“ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน พวกเราช้าไปก้าวหนึ่งไม่ทันให้คุณหนูจวินตรวจโรคสั่งยาให้”“คุณหนูจวินต้องกลับมาสิ รอคุณหนูจวินกลับมาพวกเราก็ไปลองดู”“แต่คุณหนูจวินกลับมาเมื่อไรเล่า”นายหญิงน้อยฟางคำเรียกนี้ค่อยๆ ไม่มีใครพูดถึง คนหยางเฉิงก็เริ่มเรียกขานว่าคุณหนูจวินหรือคุณหนูจิ่วหลิงตามความคุ้นชินของชาวหรู่หนาน นอกจากนี้ยังรอคอยการกลับมาของคุณหนูจวินอย่างกระตือรือร้นอีกด้วยเทียบกับคนหยางเฉิงที่รอคอยคุณหนูจวินกลับมาด้วยความอยากรู้ คนตระกูลฟางกลับเป็นห่วงยิ่งกว่าว่าคุณหนูจวินไปถึงที่ใดแล้ว“วันนี้ควรถึงที่ใดแล้ว…” ฟางเฉิงอวี่กางแผนที่มองด้านบนอย่างละเอียดหลายรอบ ถึงชี้จุดหนึ่งเอ่ยขึ้นฟางอวี้ซิ่วและฟางอวิ๋นซิ่วยังไม่ทันก้าวเข้ามาดูให้ละเอียด ฟางเฉิงอวี่ก็ส่ายศีรษะอีกครั้ง“ไม่ถูก” เขาเอ่ย มือไหลเลื่อนไปบนแผนที่ “ควรเป็นที่นี่ จิ่วหลิงคุ้นเคยกับการเดินทางข้างนอก ครั้งนี้ไม่พาข้าตัวถ่วงคนนี้ไปด้วย นางต้องยิ่งเดินทางเร็วแน่นอน”ฟางอวิ๋นซิ่วอดไม่ไหวหัวเราะขึ้น“นางร้ายกาจขนาดนี้จริงหรือ อะไรก็รู้?” นางเอ่ยถาม“แน่นอน…” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยตอบไม่ลังเลสักนิด “นางร้ายกาจมาก”ฟางอวี้ซิ่วสะบัดพัดกลับไปนั่ง“จำได้ว่าไม่นานก่อนหน้านี้น้องเล็กยังสาบานจากใจอยู่เลยว่าพี่สาวสองคนเป็นคนร้ายกาจที่สุด” นางเอ่ย “นี่เพิ่งนานเท่าไรกันหืม คนใหม่ก็เปลี่ยนคนเก่าแล้ว”ฟางอวิ๋นซิ่วเม้มปากยิ้ม ฟางเฉิงอวี่มองข้ามไป“พี่รอง คำพูดนี้ท่านไม่มีเหตุผล” เขาประหลาดใจและตั้งใจเอ่ยขึ้น “ใครบอกว่าผู้อื่นร้ายกาจแล้ว พวกท่านจะไม่ร้ายกาจแล้วเล่า?”ฟางอวี้ซิ่วตะลึง ส่ายพัดยิ้มแล้ว“มีเหตุผล…” นางเอ่ยขึ้น “ข้าผิดจริงๆ”กำลังคุยเล่นกันอยู่ นายหญิงใหญ่ฟางเดินเข้ามา“มีความสุขขนาดนี้?” นางหัวเราะเอ่ยขึ้นวันนี้ในบ้านทุกที่ล้วนเป็นเสียงหัวเราะ บรรยากาศทั้งหมดล้วนเปลี่ยนเป็นความสุข“กำลังดูว่าน้องสาวเดินทางไปถึงที่ไหนเจ้าค่ะ…” ฟางอวิ๋นซิ่วยิ้มตอบ“เด็กคนนี้ตัวคนเดียวพาสาวใช้คนนั้นไปคนเดียว ช่างทำให้คนเป็นห่วงเหลือเกินจริงๆ…” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยขึ้น“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล น้องสาวแจ้งผ่านร้านแลกเงินกลับมาว่าเรียบร้อยดีทันท่วงทีเสมอ เห็นได้ว่ารู้สมควรอยู่มาก…” ฟางอวิ๋นซิ่วยิ้มเอ่ยนายหญิงใหญ่ฟางดวงตามีรอยยิ้ม“ใช่ รู้ความกว่าก่อนหน้านี้มากแล้วจริงๆ…” นางยิ้มเอ่ยขึ้นฟางอวิ๋นซิ่วยังต้องการพูดอะไร ฟางอวี้ซิ่วก็เอ่ยปากก่อนก้าวหนึ่ง“ท่านแม่พวกเราควรไปตรวจบัญชีแล้ว ทุกวันนี้แม้มีเฉิงอวี่ทำงาน แต่พวกเราร่ำเรียนมานานปีขนาดนี้ก็ไม่อาจเสียเปล่าได้นะเจ้าคะ…” นางยิ้มเอ่ยขึ้นนายหญิงใหญ่ฟางพยักหน้า“แน่นอนว่าไม่ได้ พวกเจ้าพี่น้องคนน้อย ย่อมต้องประคับประคองกันและกัน…” นางเอ่ยฟางอวี้ซิ่วกับฟางอวิ๋นซิ่วคำนับขอตัว“เป็นอะไร?” ฟางอวิ๋นซิ่วเดินออกมาก็เอ่ยถามแม้ความคิดในใจนางไม่มาก แต่ก็ไม่ใช่สังเกตสีหน้าไม่เป็น เห็นได้ชัดว่าฟางอวี้ซิ่วจงใจขอตัวออกมา“ท่านแม่มีธุระจะพูดกับเฉิงอวี่…” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยขึ้น มองสาวใช้สองคนที่เดินออกมาด้านนอกประตูบานหนึ่ง “พวกเราไม่เหมาะอยู่”มีเรื่องอะไรพวกนางไม่เหมาะจะอยู่? ฟางอวิ๋นซิ่วไม่เข้าใจอยู่บ้าง มองตามสายตาของฟางอวี้ซิ่วไป สีหน้าฉับพลันเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิงด้วยทันทีสาวใช้คนหนึ่งกำลังนำสาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา สาวใช้ที่เดินอยู่ด้านหลังก้มศีรษะขลาดกลัว หลิงจือที่ไม่ได้เห็นมานานนั่นเอง……………………………………….
คอมเม้นต์