Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 92
คุณหนูจวินยิ้มแล้วเป็นเด็กที่เฉียบแหลมคนหนึ่งจริงๆเขาเห็นนางเดินช้ามาก มองเห็นเมื่อครู่นางทนไม่ไหวแล้วนั่งลงพูดจา“เรียกเกี้ยวนุ่มมาก็แลดูเกินไปอยู่นิดๆ เลี่ยงถูกคนคิดไม่ดีเดาสุ่ม” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น “ไม่สู้ให้ข้าแบกเจ้ากลับไปเถอะ พวกเราเป็นสามีภรรยานี่ แม้เกินไปอยู่บ้าง แต่ก็เป็นรสนิยม”คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว ยื่นมือโอบลำคอของเขาเอนกายไปบนแผ่นหลังของเขา“เจ้าแบกข้าไหวหรือ?” นางหัวเราะเอ่ยขึ้น บีบหัวไหล่ที่ผอมบางอยู่บ้างของเขาฟางเฉิงอวี่แบกนางขึ้นหลังอย่างมั่นคง“พี่สาว ข้ายังไงก็เป็นลูกผู้ชายนะ” เขาเอ่ยโต้แย้งเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมนิดๆ “ท่านอย่าดูถูกข้า”คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้งฟางเฉิงอวี่แบกนางก้าวออกจากประตู เดินไปตามทาง ภาพนี้ชักพาให้หญิงรับใช้สาวใช้ในบ้านจ้องมองอย่างที่คิด จากนั้นก็เขินอายหลบไปหัวเราะคิกคักกับสายตาเหล่านี้ฟางเฉิงอวี่ทำเป็นมองไม่เห็นทั้งสิ้น ยิ่งเดินยิ่งคึก เพียงแต่ก้าวเท้าไม่เร็ว“ไหวไม่ไหวหืม? ยังมีแรงอยู่ไหม?” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้นฟางเฉิงอวี่ไม่ได้คุยเล่นอย่างก่อนหน้านี้ แต่ก้มหน้าเงียบ“เดินไม่ไหวก็ไม่น่าอายหรอก ให้ข้าลงเดินเองเถอะ” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยขึ้น กดหัวไหล่ของเขา “ยังไงร่างกายของเจ้าก็เพิ่งหายดี”ฟางเฉิงอวี่ไม่ได้วางนางลง แต่เบี่ยงศีรษะมองนาง“จิ่วหลิง เมื่อครู่เจ้าบอกว่าตอนนี้ที่พวกเราต้องทำคือขจัดความยุ่งยากของราชโองการรวมถึงอาศัยโอกาสนี้หยุดพักรักษาตัว” เขาว่าคุณหนูจวินพยักหน้า“ใช่แล้ว ตอนนี้พวกเจ้าที่สำคัญที่สุดก็คือทำเรื่องนี้” นางว่าเด็กคนนี้จะไม่รู้ว่าหยิบราชโองการออกมาจะมีปัญหายุ่งยากเชียวหรือ?ฟางเฉิงอวี่หยุดฝีเท้ามองนาง“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะทำอะไร?” เขาเอ่ยถามก่อนหน้านี้คุณหนูจวินพูดตลอดว่าพวกเรา พวกเรา มีเพียงตอนพูดประโยคนี้อยู่ดีๆ ที่พูดก็คือพวกเจ้าต้องทำถ้าอย่างนั้นนางเล่า?คุณหนูจวินยิ้ม ช่างเป็นเด็กที่เฉียบแหลมคนหนึ่งจริงๆ นางตบไหล่เขา มองไปทางท้องฟ้าทิศใต้“ข้าหรือ ต้องทำอีกเรื่องหนึ่ง” นางว่า “เรื่องส่วนตัว”“เจ้าต้องออกจากบ้านหรือ” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น “ไปเมืองหลวงสินะ”ไม่ใช่คำถามเป็นประโยคบอกเล่าคุณหนูจวินคิดไม่ถึงอยู่บ้าง“เจ้าพูดถึงเมืองหลวงอยู่หลายครั้งนี่” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ยขึ้นหลายครั้ง? ไม่มั้ง อย่างมากที่สุดก็ในบ้านเคยถามผู้ดูแลเกาว่าเมืองหลวงมีเรื่องน่าสนุกอะไร แต่เพื่อหลีกเลี่ยงทำให้คนตระกูลฟางคิดวุ่นวาย นางจึงไม่เคยเอ่ยขึ้นอีกเด็กคนนี้ทั้งฉลาดทั้งใส่ใจคุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า“ใช่” นางว่า “ข้าไปเมืองหลวงเป็นเรื่องส่วนตัว”ไปเมืองหลวงเป็นเรื่องส่วนตัวจริงๆ เพื่อดูพี่หญิงกับจิ่วหรง แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นความลับที่ไม่อาจพูดได้เหตุผลที่นางคิดไว้แล้วคือตอนนั้นยามบิดาจากโลกไปมอบหมายธุระเรื่องหนึ่งให้นางไปทำเพราะมีโอกาสก่อนหน้านี้ในเหตุการณ์ที่หอจิ้นอวิ๋นกับอาลักษณ์หลิน นายหญิงผู้เฒ่าฟางมีความหวั่นเกรงจวินอิ้งเหวินอยู่บ้าง รู้สึกว่าเส้นสายของจวินอิ้งเหวินลึกลับมากเช่นกันนางจะคิดว่าเรื่องที่คุณหนูจวินบอกจะไปทำที่เมืองหลวงเกี่ยวเนื่องกับคนที่ทำให้อาลักษณ์หลินตกใจกลัวถอยไปที่หอจิ้นอวิ๋นแต่มองดวงตาทั้งสองข้างที่ตั้งใจและใสกระจ่างของฟางเฉิงอวี่ คุณหนูจวินไม่อยากเอ่ยข้ออ้างนี้อยู่บ้าง นางลังเลนิดหน่อย หรือจะอ้างเรื่องผู้ติดตามขันทีต่อ? พูดหยวนเป่าชื่อนี้ออกมา? รวมถึงตัวตนของหยวนเป่า?นอกจากนี้ตนเองเข้าเมืองหลวงก็จะถือโอกาสดูว่าหยวนเป่าคนนี้ปรากฏตัวที่เมืองหลวงมาก่อนด้วยหรือไม่ที่จริงนางไม่ชอบโกหกเลยจริงๆ เพราะพูดโกหกเรื่องหนึ่งก็ต้องมีคำโกหกนับไม่ถ้วนมาประกอบ ยุ่งยากเกินไป สิ้นเปลืองเวลาเกินไป องค์หญิงจิ่วหลิงไหนเลยจะทำเช่นนี้เพียงแต่จวินจิ่วหลิงได้แต่ทำเช่นนี้นางกำลังจะเอ่ยปากพูด ฟางเฉิงอวี่ก็ชิงเอ่ยปากก่อน“เจ้าไปคนเดียว ต้องระวัง ดูแลตนเองให้ดี” เขาว่าคุณหนูจวินยิ้ม“ไม่ใช่คนเดียวนะ ข้าพาหลิ่วเอ๋อร์ไปด้วย”นางว่าฟางเฉิงอวี่ร้องอ้อทีหนึ่ง“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องดูแลหลิ่วเอ๋อร์ด้วย ยิ่งต้องดูแลตนเองให้ดีล่ะ” เขาเอ่ยขึ้นคุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว“มีสิ่งใดต้องการก็ตามหาร้านแลกเงินก็พอ ข้าจะจัดการให้เรียบร้อย” ฟางเฉิงอวี่ไม่ได้หัวเราะ เอ่ยต่อเขาไม่ได้ต้องการรู้ว่านางไปเมืองหลวงทำไม ไปเมืองหลวงทำอะไรคุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า“ได้” นางบอกฟางเฉิงอวี่ก้มศีรษะไม่พูดจาก้าวเดินต่อเห็นท่าทางนี้ของเขา คุณหนูจวินคิดนิดหนึ่ง“เจ้ามีสิ่งใดอยากถามขอแค่ถามออกมาก็พอ” นางว่าคนหากคลี่คลายความสงสัยในใจได้ ก็ไม่มีสิ่งใดพะวงแล้วฟางเฉิงอวี่ก้มศีรษะ“หากข้าไม่ถาม เจ้าจะไม่บอกข้าสักคำก็ไปเลยหรือไม่” เขาเอ่ยขึ้น เสียงเศร้าสร้อยอยู่บ้างคุณหนูจวินหลุดยิ้ม“ได้อย่างไร ข้าคิดว่ากลับถึงห้องก็จะบอกกับเจ้า” นางว่า “หลังจากนั้นค่อยบอกท่านย่ากับท่านป้า”ฟางเฉิงอวี่เงยหน้าขึ้นยิ้ม ความเศร้าสร้อยเต็มหน้าถอยหายไป ราวกับฟ้ากระจ่างหลังสายฝน“ยังมีอีกไหม?” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยถามฟางเฉิงอวี่ส่ายศีรษะไม่มีแล้ว? ดังนั้นมีแต่บอกลาปัญหานี้?“ยังมีอีกอย่าง” เขาคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นอีก พูดไปก็ยิ้ม “แม้ข้ารู้สึกว่าปัญหานี้ไม่ควรถาม แต่ข้ายังคงอยากเอ่ยถาม”“ไม่มีคำถามอะไรควรไม่ควรถาม มีเพียงควรหรือไม่ควรตอบ” คุณหนูจวินยิ้มบอก “ดังนั้นนี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรวิตก เป็นเรื่องที่ควรให้ข้าวิตก”ฟางเฉิงอวี่ยิ้ม“เจ้าจะยังกลับมาไหม?” เขาเอ่ยถามคุณหนูจวินตะลึงไปนิดหนึ่งเขาไม่ได้ถามว่าเจ้าจะไปไหม? ไม่ได้ถามว่าทำไมเจ้าจะไป เพียงแค่ถามว่าจะบอกลาเขาไหมรวมถึงจะกลับมาหรือไม่เขาไม่ถามจากลา เพียงถามเวลากลับ“คำถามนี้ทำให้เจ้ากลุ้มหรือไม่?” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้นวิตกนิดหน่อยคุณหนูจวินยิ้มคำถามนี้แต่ไหนแต่ไรไม่เคยทำให้นางกลุ้มคำถามนี้เป็นคำถามที่ง่ายดายที่สุด กลับหรือว่าไม่กลับ“ไม่” นางเอ่ยขึ้น “ข้าย่อมต้องกลับ”คำตอบของนางเหมือนกับตอนแรกที่ตัดสินใจเด็ดขาดฉับไวว่าไม่กลับตอนนั้นที่นางคิดไว้ก็คือตนเองทำเรื่องที่สัญญาไว้ได้ หรือก็คือรักษาฟางเฉิงอวี่หายดีแล้ว หลังจากนั้นให้นายหญิงใหญ่ฟางรักษาสัญญา อย่างน้อยก็แบ่งความมั่งครั่งครึ่งหนึ่งของเต๋อเซิ่งชางให้แก่นาง ส่วนศัตรูของตระกูลฟางกวาดหมดหรือไม่ นางกลับไม่ได้คิดจะสนใจอีก นางเอาเงินแล้วคนก็จะไปเพียงแต่แผนการไม่ทันความเปลี่ยนแปลง คิดไม่ถึงตระกูลฟางถึงกับเกี่ยวข้องกับพระอัยยิกา ยิ่งคิดไม่ถึงว่าคนตระกูลฟางจะปฏิบัติกับนางเช่นนี้พวกเขานับนางเป็นครอบครัวเป็นคนสำคัญ ถ้าอย่างนั้นนางย่อมต้องนับพวกเขาเป็นครอบครัวเป็นคนสำคัญเช่นกัน นี่คือความยุติธรรม“ที่นี่คือบ้านของข้านี่” นางเอ่ยต่อใบหน้าของฟางเฉิงอวี่แย้มยิ้ม…เสียงครืนครางของสายฟ้าลอยมา เม็ดฝนที่ใหญ่เท่าถั่วเหลืองตกลงมา บนถนนใหญ่วุ่นวายไปหมดทันทีแต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ขับไล่ชาวบ้านที่รวมตัวกันอยู่บนถนนไม่ได้เรื่องตระกูลฟางหยิบราชโองการออกมาค้นเมืองผ่านไปสองวันแล้ว จวนขุนนางแสร้งทำหูหนวก ตระกูลฟางแสร้งเป็นใบ้ จนวันนี้ยังไม่มีใครออกมาอธิบายชาวบ้านเพียงแต่คาดเดาและสืบถามกันเอง ข่าวนานาชนิดปรากฏออกมาไม่สิ้นสุดว่อนเต็มท้องฟ้าเพราะสายฝนกระหน่ำ หลายวันนี้ด้านในโรงน้ำชาที่เดิมทีกิจการดีอยู่แล้วจึงยิ่งเบียดเสียด นอกจากคนที่ดื่มชา ยังมีคนหลบฝนเบียดเข้ามามากมาย ทุกหนทุกแห่งล้วนพูดคุยกันเสียงดัง เสียงโหวกเหวกกลบเสียงสายฝนด้านนอกที่พูดกันแน่นอนย่อมเป็นเรื่องของตระกูลฟางแห่งเต๋อเซิ่งชาง“….ราชโองการนั่นเป็นของปลอม…”“…เจ้าเลิกพูดเถอะ ถ้าเป็นของปลอมเจ้าเมืองหม่าใยไม่จับพวกนาง…”“…ที่จริงนี่ล้วนเป็นแผนของจวนขุนนาง…นอกจากนายอำเภอหลี่ ยังมีสายลับชาวจินอีก ดังนั้นจึงต้องค้นเมือง…”“…นายอำเภอหลี่คนนั้นไม่ใช่ศัตรูของตระกูลฟางหรือ?”กลุ่มคนสามคนห้าคนพูดถกกัน ถึงขนาดที่มีคนโต้เถียงจนหน้าแดงหูแดง หวิดม้วนแขนเสื้อต่อยตีกันขึ้นมา ท่ามกลางความวุ่นวายนี้มีคนเข้ามาสบทบ“ที่พวกเจ้าพูดล้วนไม่ถูก เรื่องนี้ที่จริงง่ายดายยิ่งนัก”ไม่ถูก? ง่ายดาย? ไม่กี่คำนี้ทำให้ผู้คนที่โต้เถียงกันอยู่มีศัตรูร่วมกันทันที หมุนไปหาคนที่เอ่ยวาจา“เจ้ารู้อะไร? ที่พวกเราพูดไม่ถูกต้องอย่างไร?” พวกเขาตั้งคำถามเสียงพร้อมเพรียงผู้ที่พูดเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง หรี่ตาลูบหนวดเครา ท่าทางลึกล้ำหยั่งไม่ถึง“ข้า? ข้าย่อมรู้ เพราะข้าเป็นคนตงผิงซานตง” เขาพูดเสียงเข้ม……………………………………….
คอมเม้นต์