The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา ตอนที่100 เครื่องแบบผู้ช่วยฝึกดาวสีทอง
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสามวันแล้ว งานเลี้ยงเทศกาลซั่งซีถูกจัดขึ้นตอนกลางคืน ดังนั้นหลินมู่อวี่จึงไม่ได้รีบออกไป จึงยังฝึกวิชาควบคุมกระบี่อยู่ในลานบ้านของตนที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ประกายเพลิงของกระบี่เหลียวหยวนเดี๋ยววูบเดี๋ยวสว่าง กระบี่ตั้งตรงลอยอยู่กลางอากาศ ถูกควบคุมด้วยพลังไร้ลักษณ์หลินมู่อวี่ที่ยืนห่างจากกระบี่หลายเมตร ดวงตาทั้งสองปิดสนิท เขากางมือขวาออกช้าๆ เพื่อเหนี่ยวนำธาตุอัสนีที่อยู่ในอากาศ ธาตุอัสนีที่มีขนาดเล็กแต่ดุร้ายรวมตัวกันกลายเป็นพลังงานอัสนีประกายสีม่วงหลายสาย ไหลเวียนอยู่ตามนิ้วมืออย่างอิสระ ราวกับเด็กน้อยซุกซนที่เย้าหยอกจนหลินมู่อวี่อดยิ้มไม่ได้การผสานกันกับธาตุอัสนีของเขาสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ ธาตุทั้งสี่ที่ใช้ควบคุมกระบี่นั้น ดูเหมือนว่าเขาจะชำนาญการใช้สายฟ้าควบคุมกระบี่มากที่สุด โจมตีด้วยสายฟ้า แทบจะไม่มีใครต้านได้ เพียงแต่ตอนฝึกซ้อมในวิหารศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่เคยใช้ทักษะควบคุมกระบี่และแก่นเพลิงมังกรเลย ดั่งที่เหลยหงพูดไว้ อยู่บนโลกนี้ต้องรู้จัก “ซ่อนคม” มิเช่นนั้นอาจเป็นดั่งต้นไม้ที่สูงเกินไพร ที่มักถูกลมพัดหักโค่นก่อนแต่เพราะพลังของเขาค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละขั้นๆ แค่พลังการป้องกันของวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าก็เพียงพอที่จะทำให้คนในวิหารชื่นชม ถึงขนาดที่ไม่พ่ายแก่โอวหยางชิวครูฝึกระดับดาวสีทอง และเพราะการมีตัวตนของเขา สถานะของผู้ช่วยฝึกในวิหารจึงค่อยๆ สูงขึ้นด้วย แค่ท่าทีของคนรับใช้และทหารยามหน้าประตูที่มีต่อผู้ช่วยฝึกก็เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเพราะอย่างไรเสียก่อนหน้านี้ สถานะของผู้ช่วยฝึกในวิหารก็คือ “กระสอบทราย” ดีๆ นี่เอง ทว่าด้วยการปรากฏตัวของหลินมู่อวี่ จึงช่วยสร้างเกราะเหล็กและหนามแหลมให้ “กระสอบทราย” การปรากฏตัวของเขาทำให้เหล่าครูฝึกไม่อาจดูหมิ่นการดำรงอยู่ของผู้ช่วยฝึกได้อีกต่อไป ถึงขั้นที่กลุ่มครูฝึกที่มีจางเหว่ยเป็นตัวตั้งตัวตี ปฏิบัติต่อผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองอย่างหลินมู่อวี่ราวกับเป็นทั้งอาจารย์ผู้มีคุณและสหายรัก……“ก๊อก ก๊อก…”เสียงเคาะประตูดังจากด้านนอก คนรับใช้เอ่ยอย่างนอบน้อม “ใต้เท้าหลินจื้อ ได้เวลาแล้วขอรับ ตามคำสั่งขององค์หญิงซี ได้เวลาที่ท่านต้องออกเดินทางไปหอสดับพิรุณแล้ว คนเลี้ยงม้าเตรียมม้าพันธุ์ดีไว้ให้เรียบร้อยแล้วขอรับ”“ขอบใจมาก!”หลินมู่อวี่ลืมตา แววตาเป็นประกายคมกริบ ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มอันเป็นมิตรเขาสะพายกระบี่เหลียวหยวนขึ้นหลัง แล้วออกจากที่พัก ตามคาด ที่ลานฝึกขี่ม้าของวิหารศักดิ์สิทธิ์มีม้าพันธ์ุดีกว่าหนึ่งร้อยตัว ปกติจะใช้สำหรับให้บรรดาครูฝึกและผู้ช่วยฝึกไว้ฝึกทักษะขี่ม้าเท่านั้น ตอนนี้เนื่องจากความสัมพันธ์กับถังเสี่ยวซี ไม่นึกว่าจะนำม้ามาให้เขาใช้ด้วย หลินมู่อวี่เกิดความรู้สึกเหมือนได้เลื่อนขั้นขึ้นมาทันทีเขาขึ้นม้า แล้วทำความเคารพแบบทหารจักรวรรดิให้คนเลี้ยงม้าที่จูงม้ามาให้ ยิ้มกล่าวด้วยความนอบน้อม “ขอบใจท่านมาก ข้าจะนำม้ากลับมาคืนให้ตรงเวลา โปรดอย่าได้กังวล”คนเลี้ยงม้าได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนี้รู้สึกประหลาดใจ รีบเอ่ย “ใต้เท้าพูดอะไรขอรับ เชิญท่านใช้ได้ตามสบายเลยขอรับ ผู้ดูแลเกอหยางกำชับไว้ว่าครูฝึกและผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองสามารถเลือกม้าศึกตัวที่ชอบและนำออกไปใช้เดินทางได้ตามประสงค์ ท่านไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้หรอกขอรับ”“อืม ยังไงก็ขอบใจท่านมาก”หลินมู่อวี่ยิ้ม แล้วควบม้าศึกออกไป ส่วนคนเลี้ยงม้าผู้นั้นก็ได้แต่ยืนตะลึงงันอยู่ที่เดิม เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองของวิหารจะให้ความเคารพตนเองแบบนี้ เพราะอย่างไรเสียสถานะก็แตกต่างกันมากทว่าหลินมู่อวี่ทำแบบนี้จนชินแล้ว เขามีชาติตระกูลที่ดี เป็นถึงลูกชายของหลินซุ่นซีอีโอและผู้อำนวยการแห่งหลงซินกรุ๊ป เรียกได้ว่าเขาคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด หลินซุ่นเป็นคนอ่อนโยนและนอบน้อม จึงทำให้หลินมู่อวี่เติบโตมาด้วยความเคยชินในการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความนอบน้อม ในสายตาของผู้อื่น เขาคือทายาทเศรษฐี แต่คนที่รู้จักเขาจริงๆ ต่างรู้ว่าเด็กหนุ่มผู้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีเยี่ยม เขาถ่อมตนและสุภาพอ่อนโยน มีคำพูดโบราณกล่าวไว้ จะดูการอบรมเลี้ยงดูของคนๆ หนึ่ง ให้ดูท่าทีที่เขาปฏิบัติต่อบริกร คำพูดนี้สะท้อนตัวตนของหลินมู่อวี่ได้เป็นอย่างดีเพียงแต่คนเลี้ยงม้าเป็นคนจากอีกโลก ตั้งแต่เล็กได้รับการสั่งสอนถึงการแบ่งชนชั้น หลินมู่อวี่ในทัศนะของเขาคือผู้ช่วยฝึกระดับดาวทองที่สูงส่ง เป็น “ใต้เท้า” ตามที่ร่ำลือกัน ความถ่อนตนของเขารังแต่จะทำให้คนเลี้ยงม้ารู้สึกหวาดผวา……เมื่อขี่ม้าผ่านเรือนด้านข้าง ก็มีคนเรียกเขาไว้ “หลินจื้อ อย่าเพิ่งรีบไปสิ!”เขาหันไปมอง เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของจางเหว่ย ในมือมีชุดสีขาวของทหารเดินเข้ามา เอ่ยขึ้น “อย่างน้อยเจ้าก็เป็นถึงผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองของวิหารศักดิ์สิทธิ์ จะสวมชุดซอมซ่อเยี่ยงนั้นไปร่วมงานเลี้ยงขององค์หญิงถังเสี่ยวซีเช่นนั้นหรือ มานี่มา ท่านผู้ดูแลอาวุโสให้ข้านำชุดนี้มาให้เจ้า เหล่าครูฝึกระดับดาวสีทองของวิหารต่างใส่ชุดนี้กันยามเข้าเฝ้าจักรพรรดิ!”“หืม?”หลินมู่อวี่ตะลึง รีบลงจากม้า มองชุดที่อยู่ในมือของจางเหว่ย ความจริงแล้วมันเป็นเสื้อเกราะอ่อนที่ทอด้วยโซ่เส้นเล็กสีเงินพร้อมกับผ้าคลุมไหล่ ก้มก้มมองชุดสีครามที่ตนเองสวมใส่ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกต่ำต้อยขึ้นมา มาอยู่ที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ตั้งนาน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ให้ความสําคัญกับภาพลักษณ์ของตนเองเลยจริงๆ“เช่นนั้นก็ได้ ขอบคุณท่านจางเหว่ยมาก”“ไม่ต้องเกรงใจ รีบเปลี่ยนชุดเถอะ””“อืม”เขาเข้าไปที่เรือนด้านข้าง แล้วสวม “เครื่องแบบ” ผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่เขาเดินออกมานั้น แววตาของจางเหว่ยเป็นประกาย อดตบมือไม่ได้ “สุดยอดเลย…ท่านหลินจื้อ ในชีวิตข้าจางเหว่ยไม่เคยเห็นผู้ใดสวมใส่ชุดทหารได้เหมาะสมได้เท่าท่านมาก่อนเลย หากองค์หญิงซีได้เห็นท่านในชุดนี้ ต้องตะลึงตาค้างเป็นแน่!”หลินมู่อวี่ก้มหน้ามอง รู้สึกพอสวมชุดนี้แล้วดูมีชีวิตชีวาและหล่อเหลาผิดปกติ จากนั้นติดตราแสดงตำแหน่งผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองของวิหารศักดิ์สิทธิ์เพิ่มเข้าไปที่หน้าอก สมบูรณ์แบบสุดๆ“เช่นนั้นข้าไปงานเลี้ยงก่อนนะ แล้วเจอกันท่านจางเหว่ย”“ไปเถอะ! อย่าลืมหมวก…”……นึกไม่ถึงว่าชุดเครื่องแบบนี้จะมีหมวกเสียด้วย นั่นเป็นหมวกเหล็กสีเทาเงิน แต่หลินมู่อวี่ทำเพียงหนีบไว้ที่รักแร้ ใส่ไว้บนศีรษะออกจะดูเกินไปหน่อย อีกทั้งชุดเครื่องแบบนี้ความจริงเป็นชุดสำหรับออกศึกของสมาชิกในวิหารศักดิ์สิทธิ์ เสื้อเกราะนี้ทำเขาอึดอัดไปทั้งตัว หากใส่หมวกเพิ่มไปอีก ก็คงรู้สึกเหมือนจะไปออกรบฆ่าศัตรูชุดเกราะหนักเกือบยี่สิบจิน (สิบกิโลกรัม) โชคดีที่พลังของหลินมู่อวี่ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกว่าหนักอะไร เขาควบม้าออกจากประตูใหญ่ของวิหาร ไกลออกไป ที่หน้าประตูใหญ่ของสมาพันธ์โอสถ เขาก็เห็นองครักษ์อวี้หลินฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนในชุดเกราะกำลังจูงม้าสองตัวยืนอยู่ ชัดเจนว่าเขามารับฉู่เหยา“พี่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน!”หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปหา เขาลงจากหลังม้าพร้อมเอ่ยขึ้น “ท่านก็อยู่ด้วยเหรอ!”ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนอดหัวเราะไม่ได้ “อาอวี่ เจ้ามาแล้วหรือ รออีกสักประเดี๋ยว อาเหยากำลังจะออกมาแล้วล่ะ!”พูดจบ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนก็มองเครื่องแบบของเขา อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แล้วเอ่ยขึ้น “เสื้อเกราะระดับดาวสีทองที่วิหารศักดิ์สิทธิ์สั่งทำจากกรมโยธาดูดีทีเดียว มองร้อยครั้งก็ไม่เบื่อ ยิ่งอยู่บนตัวเจ้ายิ่งดูสง่ามากทีเดียว!”ในตอนนี้เองฉู่เหยาก็เดินออกมาในชุดเครื่องแบบของนักปรุงโอสถหญิงแห่งสมาพันธ์โอสถ งดงามหยาดเยิ้ม ตอนที่นางเห็นหลินมู่อวี่ นางเกือบจำเขาไม่ได้ จึงทำตาโตแล้วหัวเราะออกมา “อาอวี่สวมชุดแบบนี้ ข้าเกือบจำเจ้าไม่ได้ แต่ว่าดูดีมากเลยล่ะ!”“ขอบคุณพี่ฉู่เหยา พวกเราออกเดินทางกันเถอะ”“อืม!”ทั้งสามคนขึ้นหลังม้า ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนขี่ม้านำหน้า หลินมู่อวี่กับฉู่เหยาก็ค่อยๆ ตามมาด้านหลัง ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและหลินมู่อวี่ต่างสวมชุดทหาร จึงดูน่าเกรงขาม ผู้คนบนถนนทงเทียนต่างพากันหลีกทางให้ แม้พวกเขาจะขี่ม้าไม่เร็วมากก็ตามจากนั้นไม่นานพวกเขาก็มาถึงสวนที่เงียบสงบ ที่นี่คือหอสดับพิรุณ ไม่ไกลออกไปคนของหอสดับพิรุณสองสามคนเดินเข้ามา ถามด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้า ไม่ทราบว่าพวกท่านมีเทียบเชิญหรือไม่ขอรับ”“อืม” หลินมู่อวี่ล้วงเทียบเชิญที่ถังเสี่ยวซีทิ้งไว้ให้ออกมา“ที่แท้ก็เป็นแขกขององค์หญิงซีนี่เอง เชิญที่ชั้นเจ็ดได้เลยขอรับ พวกข้าน้อยจะดูแลม้าเหล่านี้เอง!”เวลานี้พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ภายในสวนของหอสดับพิรุณประดับด้วยโคมไฟสีแดง หญิงสาวหน้าตางดงามราวกับนางกำนัลในวังยกอาหารเลิศรสและถาดผลไม้เดินสวนไปมา พวกเขาตรงขึ้นไปยังชั้นเจ็ด ซึ่งเป็นห้องรับรองที่แพงที่สุดของหอสดับพิรุณ โดยเฉพาะในวันเทศกาลซั่งซี ค่าใช้จ่ายในการเหมาห้องชั้นเจ็ดจึงแพงเป็นพิเศษ“ว่ากันว่าหอสดับพิรุณชั้นเจ็ดในช่วงเทศกาลซั่งซีต้องใช้เงินถึงเจ็ดร้อยเหรียญทองเชียวนะ!” ฉู่เหยาเอ่ยขึ้นฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไรหรอก พวกเราไม่ต้องจ่ายนี่”หลินมู่อวี่สำทับ “อืม เสี่ยวซีมีเงิน ไม่สนใจเรื่องนี้หรอก”……พอทั้งสามคนขึ้นมาถึงด้านบนก็เห็นเหล่าองครักษ์อวี้หลินเฝ้าอยู่หน้าประตู ฉินเหลยผู้บัญชาการกองทหารอวี้หลินในชุดเครื่องแบบ มือกุมด้ามกระบี่เฝ้าอยู่หน้าประตู ยิ้มพูด “แขกมากันครบแล้ว…”เขาไม่รู้จักหลินมู่อวี่ จึงถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านผู้นี้คือ?”ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนตอบด้วยความนอบน้อม “เรียนท่านผู้บัญชาการ เขาก็คือหลินมู่อวี่แขกขององค์หญิงซีขอรับ!”“อ้อ เช่นนี้นี่เอง เข้าไปเถิด” ฉินเหลยยิ้มยิงฟัน และไม่ได้เอ่ยอะไรอีกพอเดินเข้าไป ก็เห็นถังเสี่ยวซีและเฟิงจี้สิงอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว ถังเสี่ยวซีพรวดพราดลุกขึ้นยืน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ในเมื่อมากันครบแล้ว เช่นนั้นก็รีบนั่งประจำที่เถอะ ข้าให้พวกเขายกอาหารออกมาเลยดีไหม”“อืม ตามพระประสงค์ขององค์หญิงเลยขอรับ!”“มู่มู่ มานั่งข้างๆ ข้าสิ” ถังเสี่ยวซียิ้มแย้มสดใสหลินมู่อวี่เกิดอาการเคอะเขิน ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้มพร้อมกับส่งสายตาให้เขา เขาเลยได้แต่เดินคอตกไปนั่งลงข้างถังเสี่ยวซีพร้อมเสียงเสื้อเกราะที่เสียดสีกันจนเกิดเสียงถังเสี่ยวซีเอียงคอมองท่าทางของหลินมู่อวี่ในตอนนี้ พร้อมหรี่ตาคู่งาม ยิ้มพูด “มู่มู่ เครื่องแบบทหารของจักรวรรดิอยู่บนตัวเจ้าเหมาะมากเลยนะ ข้าไม่เคยเห็นแม่ทัพคนไหนจะสวมเสื้อเกราะนี้ได้เหมาะเท่าเจ้าอีกแล้วล่ะ”เฟิงจี้สิงมือถูจมูก เอ่ยด้วยความปวดใจ “ฟังองค์หญิงตรัสแล้ว เหมือนกับว่าผู้บัญชาการทหารอย่างข้าและฉินเหลยสวมชุดเครื่องแบบชุดนี้แล้วดูไม่สง่างามอย่างนั้นแหละ”ฉินเหลยนั่งลง ตบมือแล้วยิ้มเอ่ย “ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์อิจฉางั้นหรือ ดูสภาพท่านสิ ยังจะเป็นผู้บัญชาการกองทหารรักษพระองค์สามหมื่นนายได้อยู่อีกรึ!”หลินมู่อวี่ยิ้มกระอักกระอ่วน “พวกท่านเลิกประชดข้าได้แล้วขอรับ ข้าเป็นแค่ผู้ช่วยฝึกของวิหารศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น มิอาจทัดเทียมกับแม่ทัพใหญ่อย่างพวกท่านที่กุมกองกำลังทหารอันเกรียงไกรหรอกขอรับ”ฉินเหลยส่ายหน้าแล้วยิ้ม “นี่ อาวี่ เจ้าไม่จำเป็นต้องถ่อมตัว เจ้าเป็นถึงผู้ช่วยฝึกที่แกร่งที่สุดของวิหารศักดิ์สิทธิ์ เรื่องนี้พวกข้าทราบดี จะว่าไป เดิมทีวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็คือสถานที่กำเนิดแม่ทัพที่มีชื่อเสียงของจักรวรรดิ บรรดาแม่ทัพที่มีชื่อเสียงมากมายต่างก็มาจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น ข้า เฟิงจี้สิงและฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนต่างก็เคยเป็นคนของวิหารมาก่อนเช่นกัน ดังนั้นเจ้าไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก”“อืม ขอบคุณท่าน…ท่านมีนามว่าอะไรหรือขอรับ”ฉินเหลยชะงัก อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “ข้ามีนามว่าฉินเหลย เป็นบุตรคนโตของอ๋องจี้หนิง ผู้บัญชาการกองทหารอวี้หลิน”หลินมู่อวี่ใจเต้นระรัว ดูท่างานเลี้ยงเทศกาลซั่งซีคืนนี้จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว ผู้ที่ถังเสี่ยวซีเชิญมานั้นล้วนไม่ธรรมดาทั้งนั้น ฉินเหลยผู้นี้ยังเป็นถึงบุตรของชินอ๋อง เป็นบุคคลสำคัญอันดับต้นๆ ของจักรวรรดิอย่างแน่นอน
คอมเม้นต์