The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา ตอนที่99 การท้าทายของเซี่ยงอวี้
“ใช้น้ำควบคุมกระบี่ เป็นรูปแบบการโจมตีแบบกระจาย…”หลินมู่อวี่รีบหยุดมือลงอย่างรวดเร็ว เพราะใช้ปราณเยอะเกินไปทำให้เลือดลมปั่นป่วน จึงยิ้มพูด “เสี่ยวซี กระบวนท่านี้เป็นอย่างไรบ้าง งดงามพอไหม”ถังเสี่ยวซีตัวแข็งเป็นหินไปแล้ว ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้กะพริบตาแล้วเอ่ยขึ้น “ยะ…ยอดเยี่ยมมาก…”ประโยคนี้ทำให้ความมั่นใจของหลินมู่อวี่แทบจะเอ่อล้นออกมา เขาหัวเราะ “นั่นมันแน่นอน ท่านี้ตั้งชื่อว่าอะไรดีล่ะ”ถังเสี่ยวซีตอบ “ข้าเคยเห็นยอดฝีมือด้านควบคุมกระบี่ใช้เคล็ดหมื่นกระบี่ คล้ายกันแบบนี้แหละ แต่กระบวนท่าของเจ้าใช้น้ำเป็นสื่อ ถ้ายังไง…ตั้งชื่อว่าหมื่นกระบี่น้ำแข็งดีไหม”“อืม ตกลง!”“ยังมีอีกไหม” ถังเสี่ยวซีถามเสียงแผ่ว“ยังมีท่าสุดท้าย เป็นท่าที่มีแรงระเบิดรุนแรงที่สุด”“อืม แสดงให้ข้าดูหน่อยสิ!”“ได้สิ!”……หลินมู่อวี่พึมพำ ทันใดนั้นกระบี่เหลียวหยวนก็ลอยตั้งขึ้นมาอยู่ตรงหน้า สองมือเขากางออก แก่นเพลิงมังกรแผ่คลุมอยู่ตามนิ้วมือ และค่อยๆ กลายเป็นโซ่อัคคีเชื่อมฝ่ามือกับกระบี่เข้าด้วยกัน หลังจากแรงหมุนเกลียวทำงาน กระบี่เหลียวหยวนเริ่มหมุนอย่างช้าๆ แก่นเพลิงมังกรกลางฝ่ามือเลื้อยพันกระบี่ขึ้นไปเป็นเกลียวราวกับมังกรตัวยาว พร้อมเสียงคำรามของมังกร หลินมู่อวี่ตะโกน “ไปเถอะ!”“ฟิ้ว!”กระบี่ส่งเสียงร้องแล้วบินออกไปพร้อมเกลียวอัคคีอันรุนแรง พลังงานความร้อนแผ่กระจาย สระน้ำด้านข้างส่งเสียงซี่ๆ ส่วนเป้าหมายของหลินมู่อวี่ก็คือก้อนหินยักษ์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อยห้าเมตร แถมยังเป็นหินสีดำที่มีความเเข็งมาก!“เปรี้ยง!”ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง เศษหินกระจุยกระจาย หลินมู่อวี่แบมือออก กำแพงน้ำเต้าก็ปรากฏขึ้น ปกป้องตัวเขากับถังเสี่ยวซีไว้ แต่การโจมตีนี้ทำให้เกิดคลื่นลมกวาดไปทั่วลานกว้าง จนห้องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกต้องเคาะประตูถาม “องค์หญิง ด้านในเกิดเสียงดัง ไม่เป็นอะไรใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าไม่เป็นอะไร พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามา” ถังเสี่ยวซีตอบกลับไปเสียงดัง“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง!”……“ใช้ไฟควบคุมกระบี่” หลินมู่อวี่สงบจิตใจ เอ่ยเสียงเรียบ “เปลวไฟคือต้นกำเนิดของพลัง บวกกับการเจาะของพลังเกลียว ทำให้ความแรงและพลังการแทงทะลุของท่านี้แข็งแกร่งกว่าทุกกระบวนท่าของข้า แต่มีข้อด้อยเหมือนกับทลายวายุที่ต้องใช้เวลาสะสมพลังค่อนข้างนาน ว่ากันว่าความเร็วในการเปลี่ยนปราณยุทธ์ให้เป็นพลังจะเร็วขึ้น ถ้าข้าไปถึงขอบเขตนภา บางทีอาจพัฒนากระบวนท่านี้ให้ดีขึ้นได้ เสี่ยวซี เจ้าว่าท่านี้เป็นอย่างไรบ้าง ตั้งชื่อว่าอะไรดี”ถังเสี่ยวซีรู้สึกจิตใจไม่สงบมากขึ้นกว่าเดิม แก้มถูกความร้อนแผดเผาจนแดง นางเอ่ย “เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงร้องแว่วๆ ของมังกร มู่มู่ กระบวนท่าของเจ้ามีพลังมังกรได้อย่างไร หรือว่าจะเป็น…กระดูกมังกรที่ข้าให้เจ้าไปคราวก่อน”“ใช่แล้ว เสี่ยวซีเจ้านี่ฉลาดจริงๆ!”“แบบนี้นี่เอง ชื่อเกลียวเพลิงมังกรคลั่งก็แล้วกัน กระบวนท่านี้งดงามจริงๆ!”“อื้ม”หลินมู่อวี่ยืนภูมิใจอยู่กลางลานบ้าน ผู้เฒ่ากระบี่ถ่ายทอดจิตกระบี่และการใช้จิตควบคุมกระบี่ให้เขา ถือว่าเป็นอาจารย์ผู้มีบุญคุณที่สอนทักษะกระบี่เบื้องต้นของเขา ทว่าสองสามวันนี้เขาบรรลุวิชาการใช้ธาตุทั้งสี่ควบคุมกระบี่ด้วยตนเอง ฝีมือแซงหน้าอาจารย์ บางทีอาจพูดได้ว่า เขาเหนือกว่าอาจารย์ของเขาไปแล้วถังเสี่ยวซีที่อยู่ด้านข้างกลับอารมณ์ไม่ดี“เป็นอะไรไปน่ะเสี่ยวซี” เขาถามเป็นห่วงถังเสี่ยวซีเงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกายคู่นั้นมองเขา แล้วพูด “ตอนที่อยู่เมืองหยินซาน เจ้ายังอ่อนแออยู่เลย ต้องให้ข้าคุ้มครอง แต่พอมาถึงเมืองหลันเยี่ยน มู่มู่ก็มีฝีมือเหนือกว่าข้าซะแล้ว พลังของข้าห่างชั้นจากเจ้ามากเหลือเกิน…”“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ต่อไปข้าก็สามารถปกป้องเจ้าได้ยังไงล่ะ” เขายิ้มสดใสถังเสี่ยวซีรู้สึกอบอุ่นใจ พยักหน้าอย่างเป็นสุข แต่ก็แสดงออกชัดเจนมากไม่ได้ จึงมุ่ยปากเล็กๆ ก่อนพูดว่า “มู่มู่ เจ้าใกล้จะถึงขอบเขตนภาแล้วใช่ไหม”“ตอนนี้ข้าถึงขั้นปราชญ์สงครามระดับห้าสิบเก้าแล้ว อีกแค่ก้าวเดียว แต่ก็ยังทะลวงระดับไม่เสียที” หลินมู่อวี่ส่ายศีรษะ พูด “คงจะต้องรอจังหวะ ข้าว่าจะหาเวลาไปฝึกฝนในป่าล่ามังกรเสียหน่อย เกิดโชคดีเจอสัตว์วิญญาณที่เหมาะสมขึ้นมา จะได้ช่วยให้ข้าผ่านเข้าสู่ขอบเขตนภา!”“อืม ข้าจะไปกับเจ้าด้วย! แล้วก็ เจ้าห้ามลืมนัดของเราเด็ดขาดเลยนะ อีกสามวันก็คือเทศกาลซั่งซี นี่เทียบเชิญ เจ้าต้องมาด้วยล่ะ!”“ตกลง!”ส่งถังเสี่ยวซีกลับไปแล้ว หลินมู่อวี่ก็แอบโล่งอก เสี่ยวซีเป็นคนเข้ากับคนง่ายเป็นกันเอง ฉลาดน่ารัก แน่นอนว่านางเป็นเด็กสาวที่ดีมากคนหนึ่ง เพียงแต่สถานะของตนเองกับนางต่างกันเกินไป แถมตอนนี้ยังมีสถานะเป็นนักโทษอีกด้วย เป็นความรู้สึกที่เอื้อมไม่ถึง เขาไม่ได้อยากเป็นพวกเกาะผู้หญิง ไม่ว่าตัวเขาจะมีสถานะอะไรบนโลกนี้ ก็จะต้องได้มาด้วยกำปั้นของตัวเองเท่านั้น!ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว ตอนนี้ตั้งใจหลอมกระบี่ให้เรียบร้อยดีกว่า ถือว่าจ่ายเป็นค่าเล่าเรียนให้ผู้เฒ่ากระบี่ก็แล้วกันอย่างไรเสียผู้เฒ่ากระบี่ก็เป็นคนทำการค้า เรื่องแบบนี้ไม่มีทางยอมเสียเปรียบเด็ดขาด……ตอนกลางคืน ดวงดาวเปล่งประกายค่ายทหารรักษาพระองค์แสงไฟสว่างจ้า ทหารม้าวิ่งผ่านหน้ากระโจมทัพหลวงไป หัวหน้ากองพันจำนวนสิบนายที่เข้าเวรกลางคืนต่างนำผู้ใต้บังคับบัญชาออกลาดตระเวนทั่วเมืองหลวงในกระโจมทัพหลวง เฟิงจี้สิงจุดตะเกียงน้ำมัน มือถือม้วนตำราไม้ไผ่ ตอนท้ายของม้วนตำรา มีตัวอักษรขนาดใหญ่ทรงพลังเขียนว่า “ตำราสัตตะพิชัยยุทธ์” นี่เป็นตำราพิชัยสงครามที่ตกทอดกันมาของเซี่ยงเหวินเทียน ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “เทพทหาร” เขาเป็นขุนนางยุคแรกในสมัยที่ก่อตั้งจักรวรรดิฉิน แม่ทัพแห่งจักรวรรดิทุกนายล้วนศึกษาตำราสัตตะพิชัยยุทธ์นี้ แต่ผู้ที่สามารถเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งได้จริงๆ ไม่รู้ว่ามีอยู่กี่คน“พรึ่บ…”ม่านถูกเปิดออก หัวหน้ากองพลนายหนึ่งประสานหมัดคารวะ “ผู้บัญชาการ คนจากค่ายสารวัตรทหารมาขอรับ”“ค่ายสารวัตรทหาร?” เฟิงจี้สิงเงยหน้า แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันวูบไหวเล็กน้อย ขับให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูมีมิติยิ่งขึ้นไปอีก “คนจากค่ายสารวัตรทหารมาทำอะไรที่ค่ายทหารรักษาพระองค์ ใครเป็นผู้นำมา”“ผู้บัญชาการค่ายสารวัตรทหารเซี่ยงอวี้ขอรับ”“เซี่ยงอวี้?”เฟิงจี้สิงขมวดคิ้ว ลุกขึ้นยืน สะบัดชุดเกราะและตอบ “ตามข้าออกไปต้อนรับ”“ขอรับ!”นอกกระโจม เซี่ยงอวี้นำนายทหารจากค่ายสารวัตรทหารสิบกว่านายเดินเข้ามา มือประสานคารวะมาแต่ไกล “พี่เฟิง ไม่เจอกันเสียนาน ยังหล่อเหลาเหมือนเดิมเลยนะท่าน!”ก็ได้ เฟิงจี้สิงประสานมือคารวะกลับ “ข้าน้อยเฟิงจี้สิงคารวะใต้เท้าเซี่ยงอวี้!”เซี่ยงอวี้หัวเราะ “ท่านและข้าต่างเป็นผู้บัญชาการทหารแห่งจักรวรรดิ ไม่ต้องถ่อมตนแบบนี้หรอก!”ถึงจะบอกแบบนี้ แต่เฟิงจี้สิงยังคงทำความเคารพแบบทหารอยู่ดี แม้กองกำลังของค่ายสารวัตรทหารจะมีแค่สองพันนาย แต่กลับครอบครองอำนาจสูงสุดในกองทัพของจักรวรรดิทั้งหมด ถึงแม้ตนจะมีทหารรักษาพระองค์ใต้บัญชาถึงสามหมื่นนายก็ยังต้องให้ความเคารพเซี่ยงอวี้!“ไม่ทราบว่าที่ใต้เท้าเซี่ยงอวี้มาค่ายทหารรักษาพระองค์ครั้งนี้ มีธุระอะไรหรือ” เฟิงจี้สิงเอ่ยถามเซี่ยงอวี้หัวเราะ “เรื่องเล็กน้อย เราเข้าไปคุยกันในกระโจมเถอะ!”“ขอรับ!”เข้าไปในกระโจมทัพหลวงของทหารรักษาพระองค์ เซี่ยงอวี้นั่งลงอย่างไม่เกรงใจบนที่นั่งประจำตำแหน่งผู้บัญชาการทหาร นายทหารรักษาพระองค์ระดับสูงสองสามนายจ้องด้วยความโกรธทันที ยิ่งหลัวเลี่ยนั้น มือจับด้ามกระบี่แน่นเรียบร้อยแล้ว ทว่ากลับถูกเฟิงจี้สิงใช้สายตาปราม เซี่ยงอวี้จองหองแบบนี้ย่อมต้องมีเหตุผล เขามีคุณสมบัติที่ทำเช่นนั้นได้เซี่ยงอวี้กดมือลงบนโต๊ะ มองไปที่ตำราสัตตะพิชัยยุทธ์ที่วางอยู่ข้างตะเกียงน้ำมัน อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ผู้บัญชาการเฟิงกำลังศึกษาตำราพิชัยยุทธ์ที่บรรพบุรุษข้าทิ้งไว้เช่นนั้นหรือ”“ขอรับ” เฟิงจี้สิงยิ้มตอบด้วยท่าทางนบนอบ “ได้แต่ศึกษาแค่บางส่วน ข้าน้อยโง่เขลา ไม่เข้าใจความหมายทั้งหมดหรอกครับ”“ผู้บัญชาการเฟิงถ่อมตัวไปแล้ว”เซี่ยงอวี้ยิ้มเย็นชา พูด “เรื่องที่เจ้าเมืองหยินซานฮว๋าเทียนถูกสังหาร ท่านผู้บัญชาการเฟิงคงจะได้ยินข่าวมาบ้างใช่ไหม”“ขอรับ”“เจ้าฆาตกรหลินมู่อวี่นั้นว่ากันว่าลอบเข้ามาในเมืองหลันเยี่ยนแล้ว”“โอ้ ความหมายของใต้เท้าคือ?”เซี่ยงอวี้โบกมือเบาๆ ยิ้มเอ่ย “ค่ายสารวัตรทหารของข้ากำลังคนไม่พอ ปูพรมค้นหาหลินมู่อวี่ทั้งเมืองไม่ได้ ข้าเลยมาที่ค่ายกองทหารรักษาพระองค์เพื่อขอให้ท่านผู้บัญชาการเฟิงจัดการแทน กองทหารรักษาพระองค์สามหมื่นคน มากพอที่จะพลิกเมืองหลวงจับกุมหลินมู่อวี่”เฟิงจี้สิงเย็นวาบขึ้นในใจ ประสานมือคำนับก่อนตอบ “ใต้เท้า โปรดอภัยที่ข้าน้อยไร้ความสามารถ”“เพราะเหตุใด”“เมืองหลันเยี่ยนเป็นเมืองหลวง เมืองแห่งมังกร หากต้องการปูพรมค้นหาตัวหลินมู่อวี่ ต้องมีราชโองการของฝ่าบาท มิเช่นนั้นข้าน้อยก็ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านไม่ได้ หน้าที่ของกองทหารรักษาพระองค์คือรักษาความสงบในเมืองหลวง มิใช่จับกุมนักโทษอุกฉกรรจ์”เฟิงจี้สิงยอมหักไม่ยอมงอ ไม่มีอ่อนข้อให้เเม้แต่น้อยเซี่ยงอวี้ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองเฟิงจี้สิงด้วยสายตาเย็นเฉียบ “ผู้บัญชาการเฟิง เตือนสติข้าพอดี ข้าต้องไปตำหนักเจ๋อเทียนเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อนถึงจะสามารถจับกุมผู้ร้ายได้สินะ!”เฟิงจี้สิงหัวเราะเบาๆ “ขอรับ ใต้เท้า ท่านมาเสียเวลาแล้ว”เซี่ยงอวี้หน้าตาดุดัน เดินลงมาจากที่นั่งของผู้บัญชาการ เหยียบพรมสีน้ำเงินเข้มในกระโจมทัพหลวง มองเฟิงจี้สิงด้วยสายตาเย็นชา ยิ้มพูด “ข้ามาครั้งนี้จะเสียเปล่าได้อย่างไร ข้าได้ยินว่าท่านผู้บัญชาการเฟิงศึกษาเพลงดาบเฟิงสิงของบรรพบุรุษข้าเซี่ยงเหวินเทียนมาหลายปี จนได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ใช้เพลงดาบเฟิงสิงที่เเข็งเเกร่งที่สุดในจักรวรรดิ วันนี้ข้ามีเวลาพอดี ไม่ทราบว่าท่านพอจะชี้แนะได้หรือไม่”เฟิงจี้สิงชะงัก “ข้าน้อยมิกล้าลงมือกับใต้เท้าหรอกขอรับ”“ไม่เป็นไร แค่ประลองเท่านั้นเอง!”เซี่ยงอวี้ยกมือ ดึงดาบศึกที่เอวของผู้ใต้บังคับบัญชาออกมา แล้วยิ้มพูด “เซี่ยงอวี้ไม่ถนัดใช้ดาบ จึงไม่มีดาบศึกประจำตัว ข้ายืมดาบของลูกน้อง ผู้บัญชาการเฟิงคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม”เฟิงจี้สิงหวาดหวั่น รับดาบสงครามที่ผู้ใต้บังคับบัญชาส่งมาให้ ประสานมือตอบ “ใต้เท้า พวกเราประลองแค่เบาๆ ก็พอเถอะ!”“ตกลง!”……ปราณยุทธ์ค่อยๆ ปรากฏออกมา ชุดทหารด้านหลังเซี่ยงอวี้สะบัด ดาบศึกส่องประกายขึ้นทันที เขาเป็นยอดฝีมือขอบเขตนภาชั้นที่สอง เป็นธรรมดาที่จะแข็งแกร่งกว่าเฟิงจี้สิงที่อยู่ขอบเขตนภาชั้นที่หนึ่งอยู่ไม่น้อย ดาบศึกขยับเบาๆ เริ่มชิงโจมตีก่อน คมดาบตัดอากาศอย่างรวดเร็วเเละดุดัน ฟันออกไปติดต่อกันห้าครั้ง เปลวเพลิงลุกท่วมร่าง ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ชั้นยอดพยัคฆ์ย่ำอัคคีออกมา นี่เป็นวิญญาณยุทธ์ในตำนานที่เซี่ยงเหวินเทียนเคยครอบครอง ปราณยุทธ์มหาศาลแผ่ออกมา!“เคร้งๆ ๆ…”เปลวไฟสาดกระจาย เฟิงจี้สิงตั้งรับติดต่อกันหลายครั้ง กดเท้าลงพร้อมวาดออกเซี่ยงอวี้กระโดดหลบ ตัวลอยอยู่กลางอากาศ กรงเล็บของวิญญาณยุทธ์พยัคฆ์ย่ำอัคคีรวมเป็นหนึ่งกับดาบศึก ฟันไปที่ลำคอของเฟิงจี้สิงเต็มแรงเฟิงจี้สิงฝีมือยอดเยี่ยม ด้ามของดาบกระแทกพื้น อาศัยแรงของมันไถลตัวหลบออกไปครึ่งเมตร ปราณยุทธ์เป็นประกายอยู่ที่รองเท้าและพุ่งทะยานขึ้นฟ้า!“ปัง!”เสียงดังสนั่น หมัดของเซี่ยงอวี้โดนรองเท้าของเฟิงจี้สิง ปราณยุทธ์สั่นสะเทือน กระแสลมเปลี่ยนเป็นคลื่นทำลายล้าง ทำให้กลุ่มทหารรอบๆ ถอยร่นไปหลายก้าวเฟิงจี้สิงเงยหน้ามองท้องฟ้า ปราณยุทธ์สีม่วงปกคลุมทั่วร่าง หมาป่าเปลวอัสนีม่วงซึ่งเป็นวิญญาณยุทธ์อันดับสองปรากฏขึ้น แววตาไม่ยอมแพ้“เอาใหม่!”เซี่ยงอวี้ลอยอยู่ในอากาศเป็นเวลาหลายวินาที ฉับพลันก็สะบัดดาบฟันลงมาอีกครั้ง ด้วยท่าเดียวกัน นั่นคือเพลงดาบเฟิงสิง“เคร้งๆๆ…”เข้าปะทะติดต่อกันหลายครั้ง เฟิงจี้สิงถูกกระแทกใส่จนต้องถอยหลังไปเรื่อยๆ ชั่วพริบตาความเย็นเฉียบจ่ออยู่ที่ลำคอ ด้านหลังเป็นเสากระโจม หมดทางถอยแล้วดาบศึกในมือเซี่ยงอวี้จิ้มอยู่ที่คอเฟิงจี้สิง หน้าตากระหยิ่มยิ้มย่อง “ดูท่าเพลงกระบี่เฟิงสิงของผู้บัญชาการเฟิงจะยังฝึกได้ไม่ชำนาญเท่าไรนะ!”ขณะพูดเขาก็เก็บดาบกลับ “ในเมื่อทหารรักษาพระองค์ไม่เต็มใจเคลื่อนกำลังพลจับกุมหลินมู่อวี่ เช่นนั้นก็สารวัตรทหารคงต้องออกโรงเอง”……มองตามหลังเซี่ยงอวี้ที่เดินไกลออกไป เฟิงจี้สิงก็ถอนหายใจโล่งอกด้านข้าง หลัวเลี่ยเอ่ยขึ้น “ท่านผู้บัญชาการ เพลงดาบของท่าน ไม่น่าจะถูกกระบวนท่าห่วยๆ ของเซี่ยงอวี้จัดการได้นี่นา!”เฟิงจี้สิงมีสีหน้าซับซ้อน ส่ายหน้าช้าๆ ก่อนเอ่ยขึ้น “แพ้ก็คือแพ้ ไม่ต้องพูดให้มากความ เซี่ยงอวี้…เป็นคนที่พวกเราจะล่วงเกินไม่ได้ ตอนนี้แม้แต่เซี่ยงอวี้ก็เริ่มเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ นับวันอาอวี่ยิ่งตกอยู่ในอันตราย เจ้ารีบส่งหนังสือไปเมืองหยินซานเดี๋ยวนี้ ให้ทางนั้นหาหลักฐานให้ได้โดยเร็ว มิเช่นนั้นก็จะพิสูจน์ความบริสุทธ์ให้อาอวี่ไม่ได้”“ขอรับ!”
คอมเม้นต์