The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา ตอนที่48 เจ้าเมืองน้อยแสดงอำนาจ 2
EP.48 เจ้าเมืองน้อยแสดงอำนาจ 2
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉู่เหยามาเคาะประตูแต่เช้าตรู่ หลังจากกินข้าวเสร็จ ลูกศิษย์ร้านโอสถไป่หลิงทุกคนไปงานประลองชิงป้ายอาญาสิทธิ์ ฉู่เฟิงก็ตามไปด้วย ตั้งแต่ฉู่เหยาผ่านขอบเขตมนุษย์ชั้นที่สองแล้วนั้น เขาก็ฝากความหวังกับหลานสาวคนนี้มาก บางทีฉู่เหยาอาจจะชนะการประลองครั้งนี้ขึ้นมาก็ได้
เมืองหยินซานถูกขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงแห่งการปรุงโอสถของจักรวรรดิ เมืองนี้เคยปรากฏเทพโอสถมาแล้วถึงสองคน แต่นั่นก็เป็นเรื่องเมื่อหลายพันปีก่อน แต่ถึงจะเป็นแบบนี้ ชาวเมืองหยินซานยังคงไล่ตามทักษะปรุงโอสถกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พวกคนหนุ่มสาวต่างฝึกการปรุงโอสถอย่างไม่ย่อท้อ แสวงหาความรุ่งเรืองของบรรพบุรุษในอดีตกาลกลับมา
สถานที่ประลองจัดที่ลานประลองของจวนเจ้าเมือง จักรวรรดิมีกฎหมายกำหนดว่า เจ้าเมืองทุกคนมีสิทธิ์ฝึกทหารประจำจวนตามจำนวนที่กำหนดไว้ ยามไม่มีสงครามเหล่าทหารประจำจวนก็ไปจับโจรผู้ร้าย ยามศึกสงครามก็ต้องไปออกรบร่วมกับกองทัพจักรวรรดิ ฮว๋าเทียนเจ้าเมืองเมืองหยินซานฝึกทหารไว้เกือบสองพันนาย ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดที่ฝึกได้ของเมืองเล็กๆ ที่มีประชากรห้าหมื่นคนแล้ว
สนามประลองไม่ได้ใหญ่มาก ขณะนี้คนก็แน่นจนแออัดแล้ว เต็มไปด้วยชาวบ้านที่มาชมการประลอง ส่วนพวกตระกูลสูงศักดิ์ในเมือง ต่างถูกจัดให้นั่งอยู่บนอัฒจันทร์
หลินมู่อวี่มองไกลออกไป ถังเสี่ยวซี ชวีฉู่ต่างก็นั่งอยู่ที่ตำแหน่งเจ้าภาพกับฮว๋าเทียน
รูปแบบการประลองยุทธ์นั้นง่ายมาก นั่นคือการท้าประลอง!
และจะมีเพียงร้านโอสถสิบอันดับแรกเท่านั้นที่มีสิทธิ์ส่งผู้ท้าประลอง ท่านเจ้าเมืองน้อยฮว๋าหวันยกกระบี่เล่มบางขึ้นมา สวมชุดสีขาวยืนอยู่บนเวทีประลอง เขาคือผู้ชนะได้รับป้ายอาญาสิทธิ์เมื่อปีที่แล้ว เป็นตัวเก็งในการประลองครั้งนี้ หน้าตาเขายโสโอหัง มองคนที่อยู่ด้านล่างเวที ฮว๋าหวันยกมุมปากขึ้นแล้วกล่าว “ผู้น้อยฮว๋าหวัน โชคดีที่ได้เป็นผู้ครอบครองป้ายอาญาสิทธิ์สมัยที่แล้ว ข้ายินดีรับคำท้าของนักปรุงโอสถรุ่นเยาว์ทุกท่าน ผู้ที่ชนะข้าได้ ก็จะได้ป้ายอาญาสิทธิ์ในมือข้าไปครอง มีใครต้องการท้าประลองหรือไม่”
พอกล่าวจบ เด็กหนุ่มในชุดเขียวคนหนี่งถือกระบี่เหล็กกระโดดขึ้นมาบนเวที เคลื่อนที่พลิ้วไหว ดูแล้วระดับพลังยุทธ์คงไม่น้อย เขาประสานมือคำนับแล้วยิ้มพูด “คุณชายฮว๋า ผู้น้อยต่งหลุนจากร้านโอสถเทียนชิง ขอคุณชายโปรดชี้แนะ!”
ฮว๋าหวั่นยิ้มบางๆ “ที่แท้ก็ต่งหลุนนี่เอง เข้ามาเลย!”
เขาประสานมือไว้ที่ด้านหลัง นึกไม่ถึงเลยว่าจะนำกระบี่ไปเก็บไว้ที่ด้านหลัง โบกมือซ้ายเบาๆ พลังปราณแผ่ออกมา โล่ปราณสีเงินอยู่ที่ในมือพลิ้วไหวเบาๆ คาดไม่ถึงเลยว่าเขากล้าที่จะไม่ใช้ศาตราวุธรับมือกับคู่ต่อสู้
หลัวไคตกตะลึง “เจ้าเมืองน้อยผู้นี้บ้าไปแล้วรึ คู่ต่อสู้คือต่งหลุน ข้าได้ยินมาว่าต่งหลุนอยู่ในขั้นวิญญาณสงครามระดับยี่สิบสี่แล้ว”
หวังหยิ่งยิ้มเยาะ “เจ้าไม่เห็นโล่ปราณที่มือซ้ายของฮว๋าหวันหรือ เขาสร้างโล่ปราณได้ ซึ่งหมายความว่าเขาทะลวงระดับยี่สิบเก้า เข้าสู่ขอบเขตปฐพีชั้นที่หนึ่งแล้ว ”
“อะไรนะ”
หลัวไคไม่หยุดพูด “ฮว๋าหวันน่ากลัวชะมัด ในเมืองหยินซานนี้ยังจะมีใครเป็นคู่ต่อสู้เขาได้อีก”
บนเวที ต่งหลุนลงมือแล้ว เสียงตะโกนดัง ปรากฏลูกธนูสีทองลอยขึ้นมาบนกระบี่ แล้วพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วตามคำสั่ง หวังหยิ่งร้องขึ้นด้วยความตกใจ “วิญญาณยุทธ์อันดับแปดธนูทะลุเมฆา!”
ความเร็วของธนูทะลุเมฆานั้นเร็วมาก แต่ก็ยังไม่เร็วเท่าความเร็วของฮว๋าหวัน ทันใดนั้นโล่ปราณที่มือซ้ายก็ยื่นออกไปรับลูกธนู กระแทกใส่ธนูทะลุเมฆาจนลูกธนูแตกเป็นผุยผง ฝ่ามือของฮว๋าหวันฝึกจนถึงขั้นที่ศาตราวุธทำอะไรไม่ได้แล้ว เขารับกระบี่เหล็กของคู่ต่อสู้ด้วยมือเปล่า เสียง “เคร้ง” ดังขึ้น เกิดเป็นประกายไฟ เขาใช้มือข้างเดียวที่ยื่นออกไป นิ้วชี้และนิ้วกลางหนีบกระบี่ของต่งหลุนไว้ และหักกระบี่ออกเป็นสองท่อนทันที
“อ๊าก”
หลังจากปะทะกัน พลังของต่งหลุนสู้อีกฝ่ายไม่ได้ เขาถอยกรูด แต่ฮว๋าหวันกลับไม่ยอมหยุดนำกระบี่ที่หักนั้นแทงเข้าที่ไหลของต่งหลุน
เลือดสาดกระเซ็น ต่งหลุนถอยไปหลายสิบก้าว คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น หอบหายใจ “ข้า…ข้ายอมแพ้!”
เพียงการปะทะเพียงครั้งเดียว ต่งหลุนก็พ่ายแพ้แล้ว!
ความแข็งแกร่งของฮว๋าหวันทุกคนได้ประจักษ์แล้ว ขนาดหวังหยิ่ง หลัวไคและศิษย์คนอื่นๆ ของร้านโอสถไป่หลิงต่างพากันตกตะลึง สำหรับพวกเขาแล้ว ฮว๋าหวันคือยอดฝีมือที่ไม่สามารถท้าทายได้ ห้ามไปสบตาเขาเลยด้วยซ้ำ
ฉู่เหยากัดริมฝีปาก ไหล่สั่นน้อยๆ อาจเป็นเพราะความแข็งแกร่งของฮว๋าหวันหรือไม่ก็เพราะฮว๋าหวันอำมหิตเกินไป
“พี่ฉู่เหยา ไม่เป็นไรใช่ไหม” หลินมู่อวี่ถามเป็นห่วง
“ข้าไม่เป็นไร ฮว๋าหวันลงมือได้โหดเหี้ยมยิ่งนัก”
“อืม จริงด้วย…”
ผลที่ออกมาคือ ผู้ที่ขึ้นเวทีประลองท้าทายฮว๋าหวันคนต่อๆ ไปพ่ายแพ้หมดทุกคน หนึ่งในนั้นถูกดาบแทงทะลุหัวไหล่ มีคนหนึ่งถูกวิญญาณยุทธ์ค้อนอัสนีของฮว๋าหวันทุบจนขาหัก อย่างไรก็ตามคนที่แพ้ไม่มีใครมีร่างกายครบสามสิบสองลงจากเวทีสักคน เรื่องพวกนี้ทำให้ฮว๋าหวันที่อยู่บนเวทีกระหยิ่มยิ้มย่อง เขาเห็นการประลองชิงป้ายอาญาสิทธิ์เป็นความสุขอย่างหนึ่งของเขาไปแล้ว
ด้านข้าง ทหารรับจ้างที่สวมชุดเกราะขาดกะรุ่งกะริ่งพูดเสียงเย้ยหยันขึ้น “ได้ยินมาว่าสองวันก่อนท่านเจ้าเมืองฮว๋าเทียนจ่ายเงินราคาสูงให้แก่พ่อค้าพเนจรเพื่อซื้อศิลาวิญญาณของสัตว์วิญญาณหมวดสายฟ้าอายุสามพันปีมา ดูท่าท่านเจ้าเมืองน้อยผู้นี้คงจะกลั่นพลังจากศิลาวิญญาณแล้ว ไม่เช่นนั้นจะผ่านขึ้นไปถึงขอบเขตปฐพีชั้นหนึ่งระดับสามสิบสามเร็วแบบนี้ได้อย่างไรกันล่ะ”
ตอนที่เขาพูดออกมาว่าระดับสามสิบสาม หลินมู่อวี่เห็นสีหน้าที่ตกใจของฉู่เหยาชัดเจน
ระดับห่างเกินไป ฉู่เหยาระดับยี่สิบเอ็ด แต่ฮว๋าหวันระดับสามสิบสามแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉู่เหยามาเคาะประตูแต่เช้าตรู่ หลังจากกินข้าวเสร็จ ลูกศิษย์ร้านโอสถไป่หลิงทุกคนไปงานประลองชิงป้ายอาญาสิทธิ์ ฉู่เฟิงก็ตามไปด้วย ตั้งแต่ฉู่เหยาผ่านขอบเขตมนุษย์ชั้นที่สองแล้วนั้น เขาก็ฝากความหวังกับหลานสาวคนนี้มาก บางทีฉู่เหยาอาจจะชนะการประลองครั้งนี้ขึ้นมาก็ได้ เมืองหยินซานถูกขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงแห่งการปรุงโอสถของจักรวรรดิ เมืองนี้เคยปรากฏเทพโอสถมาแล้วถึงสองคน แต่นั่นก็เป็นเรื่องเมื่อหลายพันปีก่อน แต่ถึงจะเป็นแบบนี้ ชาวเมืองหยินซานยังคงไล่ตามทักษะปรุงโอสถกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พวกคนหนุ่มสาวต่างฝึกการปรุงโอสถอย่างไม่ย่อท้อ แสวงหาความรุ่งเรืองของบรรพบุรุษในอดีตกาลกลับมา สถานที่ประลองจัดที่ลานประลองของจวนเจ้าเมือง จักรวรรดิมีกฎหมายกำหนดว่า เจ้าเมืองทุกคนมีสิทธิ์ฝึกทหารประจำจวนตามจำนวนที่กำหนดไว้ ยามไม่มีสงครามเหล่าทหารประจำจวนก็ไปจับโจรผู้ร้าย ยามศึกสงครามก็ต้องไปออกรบร่วมกับกองทัพจักรวรรดิ ฮว๋าเทียนเจ้าเมืองเมืองหยินซานฝึกทหารไว้เกือบสองพันนาย ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดที่ฝึกได้ของเมืองเล็กๆ ที่มีประชากรห้าหมื่นคนแล้ว สนามประลองไม่ได้ใหญ่มาก ขณะนี้คนก็แน่นจนแออัดแล้ว เต็มไปด้วยชาวบ้านที่มาชมการประลอง ส่วนพวกตระกูลสูงศักดิ์ในเมือง ต่างถูกจัดให้นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ หลินมู่อวี่มองไกลออกไป ถังเสี่ยวซี ชวีฉู่ต่างก็นั่งอยู่ที่ตำแหน่งเจ้าภาพกับฮว๋าเทียน รูปแบบการประลองยุทธ์นั้นง่ายมาก นั่นคือการท้าประลอง! และจะมีเพียงร้านโอสถสิบอันดับแรกเท่านั้นที่มีสิทธิ์ส่งผู้ท้าประลอง ท่านเจ้าเมืองน้อยฮว๋าหวันยกกระบี่เล่มบางขึ้นมา สวมชุดสีขาวยืนอยู่บนเวทีประลอง เขาคือผู้ชนะได้รับป้ายอาญาสิทธิ์เมื่อปีที่แล้ว เป็นตัวเก็งในการประลองครั้งนี้ หน้าตาเขายโสโอหัง มองคนที่อยู่ด้านล่างเวที ฮว๋าหวันยกมุมปากขึ้นแล้วกล่าว “ผู้น้อยฮว๋าหวัน โชคดีที่ได้เป็นผู้ครอบครองป้ายอาญาสิทธิ์สมัยที่แล้ว ข้ายินดีรับคำท้าของนักปรุงโอสถรุ่นเยาว์ทุกท่าน ผู้ที่ชนะข้าได้ ก็จะได้ป้ายอาญาสิทธิ์ในมือข้าไปครอง มีใครต้องการท้าประลองหรือไม่” พอกล่าวจบ เด็กหนุ่มในชุดเขียวคนหนี่งถือกระบี่เหล็กกระโดดขึ้นมาบนเวที เคลื่อนที่พลิ้วไหว ดูแล้วระดับพลังยุทธ์คงไม่น้อย เขาประสานมือคำนับแล้วยิ้มพูด “คุณชายฮว๋า ผู้น้อยต่งหลุนจากร้านโอสถเทียนชิง ขอคุณชายโปรดชี้แนะ!” ฮว๋าหวั่นยิ้มบางๆ “ที่แท้ก็ต่งหลุนนี่เอง เข้ามาเลย!” เขาประสานมือไว้ที่ด้านหลัง นึกไม่ถึงเลยว่าจะนำกระบี่ไปเก็บไว้ที่ด้านหลัง โบกมือซ้ายเบาๆ พลังปราณแผ่ออกมา โล่ปราณสีเงินอยู่ที่ในมือพลิ้วไหวเบาๆ คาดไม่ถึงเลยว่าเขากล้าที่จะไม่ใช้ศาตราวุธรับมือกับคู่ต่อสู้ หลัวไคตกตะลึง “เจ้าเมืองน้อยผู้นี้บ้าไปแล้วรึ คู่ต่อสู้คือต่งหลุน ข้าได้ยินมาว่าต่งหลุนอยู่ในขั้นวิญญาณสงครามระดับยี่สิบสี่แล้ว” หวังหยิ่งยิ้มเยาะ “เจ้าไม่เห็นโล่ปราณที่มือซ้ายของฮว๋าหวันหรือ เขาสร้างโล่ปราณได้ ซึ่งหมายความว่าเขาทะลวงระดับยี่สิบเก้า เข้าสู่ขอบเขตปฐพีชั้นที่หนึ่งแล้ว ” “อะไรนะ” หลัวไคไม่หยุดพูด “ฮว๋าหวันน่ากลัวชะมัด ในเมืองหยินซานนี้ยังจะมีใครเป็นคู่ต่อสู้เขาได้อีก” บนเวที ต่งหลุนลงมือแล้ว เสียงตะโกนดัง ปรากฏลูกธนูสีทองลอยขึ้นมาบนกระบี่ แล้วพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วตามคำสั่ง หวังหยิ่งร้องขึ้นด้วยความตกใจ “วิญญาณยุทธ์อันดับแปดธนูทะลุเมฆา!” ความเร็วของธนูทะลุเมฆานั้นเร็วมาก แต่ก็ยังไม่เร็วเท่าความเร็วของฮว๋าหวัน ทันใดนั้นโล่ปราณที่มือซ้ายก็ยื่นออกไปรับลูกธนู กระแทกใส่ธนูทะลุเมฆาจนลูกธนูแตกเป็นผุยผง ฝ่ามือของฮว๋าหวันฝึกจนถึงขั้นที่ศาตราวุธทำอะไรไม่ได้แล้ว เขารับกระบี่เหล็กของคู่ต่อสู้ด้วยมือเปล่า เสียง “เคร้ง” ดังขึ้น เกิดเป็นประกายไฟ เขาใช้มือข้างเดียวที่ยื่นออกไป นิ้วชี้และนิ้วกลางหนีบกระบี่ของต่งหลุนไว้ และหักกระบี่ออกเป็นสองท่อนทันที “อ๊าก” หลังจากปะทะกัน พลังของต่งหลุนสู้อีกฝ่ายไม่ได้ เขาถอยกรูด แต่ฮว๋าหวันกลับไม่ยอมหยุดนำกระบี่ที่หักนั้นแทงเข้าที่ไหลของต่งหลุน เลือดสาดกระเซ็น ต่งหลุนถอยไปหลายสิบก้าว คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น หอบหายใจ “ข้า…ข้ายอมแพ้!” เพียงการปะทะเพียงครั้งเดียว ต่งหลุนก็พ่ายแพ้แล้ว! ความแข็งแกร่งของฮว๋าหวันทุกคนได้ประจักษ์แล้ว ขนาดหวังหยิ่ง หลัวไคและศิษย์คนอื่นๆ ของร้านโอสถไป่หลิงต่างพากันตกตะลึง สำหรับพวกเขาแล้ว ฮว๋าหวันคือยอดฝีมือที่ไม่สามารถท้าทายได้ ห้ามไปสบตาเขาเลยด้วยซ้ำ ฉู่เหยากัดริมฝีปาก ไหล่สั่นน้อยๆ อาจเป็นเพราะความแข็งแกร่งของฮว๋าหวันหรือไม่ก็เพราะฮว๋าหวันอำมหิตเกินไป “พี่ฉู่เหยา ไม่เป็นไรใช่ไหม” หลินมู่อวี่ถามเป็นห่วง “ข้าไม่เป็นไร ฮว๋าหวันลงมือได้โหดเหี้ยมยิ่งนัก” “อืม จริงด้วย…” ผลที่ออกมาคือ ผู้ที่ขึ้นเวทีประลองท้าทายฮว๋าหวันคนต่อๆ ไปพ่ายแพ้หมดทุกคน หนึ่งในนั้นถูกดาบแทงทะลุหัวไหล่ มีคนหนึ่งถูกวิญญาณยุทธ์ค้อนอัสนีของฮว๋าหวันทุบจนขาหัก อย่างไรก็ตามคนที่แพ้ไม่มีใครมีร่างกายครบสามสิบสองลงจากเวทีสักคน เรื่องพวกนี้ทำให้ฮว๋าหวันที่อยู่บนเวทีกระหยิ่มยิ้มย่อง เขาเห็นการประลองชิงป้ายอาญาสิทธิ์เป็นความสุขอย่างหนึ่งของเขาไปแล้ว ด้านข้าง ทหารรับจ้างที่สวมชุดเกราะขาดกะรุ่งกะริ่งพูดเสียงเย้ยหยันขึ้น “ได้ยินมาว่าสองวันก่อนท่านเจ้าเมืองฮว๋าเทียนจ่ายเงินราคาสูงให้แก่พ่อค้าพเนจรเพื่อซื้อศิลาวิญญาณของสัตว์วิญญาณหมวดสายฟ้าอายุสามพันปีมา ดูท่าท่านเจ้าเมืองน้อยผู้นี้คงจะกลั่นพลังจากศิลาวิญญาณแล้ว ไม่เช่นนั้นจะผ่านขึ้นไปถึงขอบเขตปฐพีชั้นหนึ่งระดับสามสิบสามเร็วแบบนี้ได้อย่างไรกันล่ะ” ตอนที่เขาพูดออกมาว่าระดับสามสิบสาม หลินมู่อวี่เห็นสีหน้าที่ตกใจของฉู่เหยาชัดเจน ระดับห่างเกินไป ฉู่เหยาระดับยี่สิบเอ็ด แต่ฮว๋าหวันระดับสามสิบสามแล้ว
คอมเม้นต์