The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา ตอนที่32 มรดกของแม่ทัพผู้เลื่องชื่อ 2
EP.32 มรดกของแม่ทัพผู้เลื่องชื่อ 2
ชวีฉู่พยักหน้าพอใจ ยิ้มกล่าว “น้ำเต้าเขียวเป็นวิญญาณยุทธ์ประเภทพืช จุดเด่นของวิญญาณยุทธ์นี้คือการรักษา พันธนาการและการป้องกัน สิ่งเหล่านี้คือทิศทางในการฝึกฝนวิญญาณยุทธ์ของเจ้า ในอนาคตเจ้าอาจจะเป็นนักรบสายสนับสนุน ตอนต่อสู้ก็อย่าออกไปแนวหน้า เข้าใจเรื่องเหล่านี้ไว้ก็เพียงพอแล้ว”
“ขอรับ!”
“พวกเราออกเดินทางต่อกันเถอะ พลังของเจ้ายังอยู่ในช่วงฮุ่นตุ้น (ช่วงแรก) ก่อนเที่ยงจักต้องล่าสัตว์วิญญาณที่มีอายุมากกว่าสองร้อยปีหนึ่งตัวให้ได้ แล้วใช้น้ำเต้าเขียวของเจ้าดูดซับวิญญาณสัตว์ ดูว่ามันจะสามารถเพิ่มระดับพลังเจ้าไปได้แค่ไหน”
“ขอรับ” หลินมู่อวี่ ยิ้มพลางพยักหน้าไปด้วย “ขอบคุณผู้อาวุโสชวี”
ชวีฉู่กลับลูบเคราแล้วหัวเราะ “ไม่ต้องขอบใจข้าหรอก ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ผู้ฝึกตนทุกคนล้วนจำเป็นต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก เมื่อใดที่พบสัตว์วิญญาณที่เหมาะสม ข้าจะไม่ลงมือเด็ดขาด เจ้าต้องลงมือสังหารมันด้วยตัวเจ้าเอง มิเช่นนั้นเจ้าก็ไม่คู่ควรที่จะได้ดูดซับวิญญาณของสัตว์วิญญาณตัวนั้น เข้าใจหรือไม่”
หลินมู่อวี่ชะงักกึก อดถอนหายใจไม่ได้ ดูท่าตาแก่นี่เหมือนจะไม่สนใจความเป็นความตายของเขาเลย ไร้มนุษยธรรมชะมัด สัตว์วิญญาณอายุสองร้อยปีว่ากันว่าเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์วิญญาณสงครามระดับยี่สิบขึ้นไป จะฆ่าได้หรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้วกัน
ในตอนนี้ฝนปรอยลงมา ทั้งสามคนลงจากภูเขาไปขึ้นม้าที่ผูกไว้ ควบม้าเข้าไปในป่าลึกอย่างรวดเร็ว หลินมู่อวี่สวมชุดสีคราม สง่าผ่าเผยอย่างยิ่ง ส่วนถังเสี่ยวซีที่สวมชุดกระโปรงแนบเนื้อสีแดงเพลิง ด้านนอกสุดสวมเสื้อคลุมที่ถักทออย่างประณีตทับอีกชั้นหนึ่ง หยาดฝนที่อยู่บนแก้มของนาง ดูราวกับฝนในวสันตฤดูที่พรมอยู่บนดอกสาลี่ งดงามจนยากจะพรรณนา
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะแอบชื่นชมอย่างเงียบๆ องค์หญิงซีผู้นี้อายุยังน้อยแต่มีความสามารถระดับนี้แล้ว หากเป็นคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์คนอื่นเกรงว่าคงจะหาที่หลบฝน แทนที่จะรีบควบม้าฝ่าสายฝนแบบนี้ไปนานแล้วล่ะ
ไม่นานนักเมฆดำปกคลุมท้องฟ้า ภายในป่าสัตตะดารามืดสนิทราวกับราตรีกาล ฟ้าแลบแปลบปลาบผ่าลงมาราวกับกระบี่ที่คมกริบกระหน่ำใส่ผืนป่าโบราณแห่งนี้
หลินมู่อวี่ปลอบม้าที่เขาขี่ ไม่ให้มันตกใจกับเสียงฟ้าผ่า ชวีฉู่เองก็ค่อยๆ ชะลอฝีเท้าม้าลง เขาต้องดูแลถังเสี่ยวซี เพราะการเดินทางครั้งนี้การฝึกขององค์หญิงซีเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ชวีฉู่มองกระบี่และคันธนูยาวที่หลังของหลินมู่อวี่ อดยิ้มออกมาไม่ได้ “เจ้าหนุ่ม เจ้าแบกธนูมาทำอะไรหรือ”
“นี่เป็นอาวุธลับของข้า”
“อาวุธลับ?” ชวีฉู่กลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ใช้อาวุธลับนี่เพื่ออะไรหรือ”
หลินมู่อวี่ตอบจริงจัง “ถึงแม้ด้านการฝึกยุทธ์ข้าจะยังเทียบพวกท่านไม่ได้ แต่ข้าก็รู้ว่าอาวุธที่ยาวกว่าย่อมได้เปรียบศัตรู หากศัตรูอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร ข้าใช้ธนู หากศัตรูอยู่ใกล้ ข้าก็ใช้กระบี่ ถ้าไม่มีธนู ข้าเสียดายช่วงเวลาที่ศัตรูใช้เพื่อเข้ามาประชิดตัว ถ้าสามารถสังหารเป้าหมายที่อยู่ไกลหลายเมตรได้เลย ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้มันเข้ามาประชิดตัว ไม่ใช่หรือ”
ชวีฉู่ถึงกับอึ้งไป อดพยักหน้าชื่นชมไม่ได้ “พูดมีเหตุผลยิ่งนัก แต่ว่า…คันธนูยาวนี้ค่อนข้างสะดุดตาและดึงดูดสายตาเกินไป ไม่ใช่อาวุธลับที่แท้จริง หากเจ้าอยากได้อาวุธลับจริงๆ ละก็ ข้าก็มีของขวัญชิ้นหนึ่งที่จะมอบให้เจ้า”
“หืม ของขวัญ?” หลินมู่อวี่อดดีใจเงียบๆ ไม่ได้
ชวีฉู่ล้วงเข้าไปในถุงที่แขวนอยู่ตรงสะโพกม้าแล้วหยิบถุงผ้าเล็กๆ ออกมาโยนให้หลินมู่อวี่ เขารับมาแล้วเปิดดู ด้านในเป็นมีดบินที่ประณีตวิจิตรถึงสี่เล่ม ส่วนโค้งของใบมีดคมเป็นประกายแวววาวราวกับจันทรา แม้ในบรรยากาศที่มืดมิด ก็ยังเห็นคมมีดบินสะท้อนแสงเป็นประกายราวหิมะ
“นี่เป็นอาวุธที่เฟิงอี้เฉิงเหลือทิ้งไว้ เฟิงอี้เฉิงเชี่ยวชาญการใช้มีดบิน สามารถสังหารคนที่อยู่ในระยะไกลกว่าหนึ่งร้อยเมตรได้ มีดสี่เล่มนี้จะใช้ขว้างทีละเล่มก็ได้ หรือจะประกอบเข้าด้วยกันเป็นมีดวงเดือนเล่มเดียวก็ได้ แต่การจะฝึกใช้อาวุธลับนี้ให้ชำนาญเจ้าต้องออกแรงไม่น้อย” ชวีฉู่กล่าว
“ขอรับ ขอบคุณผู้อาวุโส” หลินมู่อวี่พูดด้วยรอยยิ้ม
ดวงตากลมโตของถังเสี่ยวซีกะพริบ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เฟิงอี้เฉิง? หรือจะเป็นแม่ทัพผู้โด่งดังที่ปกป้องพรมแดนทางใต้เกือบยี่สิบปีคนนั้น”
“ถูกต้อง คือเขานั่นแหละ น่าเสียดายที่แม่ทัพเฟิงต้องมาตายด้วยเงื้อมมือของศัตรูในสงคราม” ชวีฉู่ตอบด้วยท่าทางเสียใจและกล่าวต่อไป “คนแบบเขาหาได้ยาก เฟิงอี้เฉิงไม่ได้มีสายเลือดของตระกูลสูงศักดิ์ เป็นผู้มากความสามารถ และเป็นหนึ่งในสิบสองแม่ทัพของจักรวรรดิ น่าเสียดายจริงๆ ”
ถังเสี่ยวซีเอ่ย “เฟิงอี้เฉิงตายในสมรภูมิมากว่าทศวรรษ หาได้ยากยิ่งที่ผู้อาวุโสชวีจะยังมีสมบัติที่เขาเหลือไว้”
ชวีฉู่ตอบ “เขาเป็นสหายเก่าของข้า มีดบินนี้เขาได้ฝากคนนำมามอบให้ข้าก่อนที่จะตายในสนามรบ”
หลินมู่อวี่ถึงกับสะท้าน และรู้สึกถึงความหนักอึ้งของมีดบินสี่เล่มนี้ขึ้นมาทันที เขาเงยหน้า มองชวีฉู่ด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณผู้อาวุโส…”
คำขอบคุณครั้งนี้เปล่งออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ชวีฉู่ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยว่า “โชคดีที่ข้าไม่ถนัดใช้อาวุธลับ มิเช่นนั้นอาวุธชั้นยอดนี้คงไม่มีวันตกทอดถึงเจ้าหรอก”
ก็ใช่น่ะสิ มีดบินชุดนี้ถูกทำขึ้นมาด้วยความประณีตอย่างน่าประหลาด มีดแต่ละเล่มมีรูให้ลมผ่าน แถมยังออกแบบให้หมุนกลับมาได้ นั่นหมายความว่ามีดแต่ละเล่มพอปาออกไปแล้วจะบินวกกลับมาทุกครั้ง คิดจะใช้อาวุธลับแบบนี้ก็ต้องฝึกทั้งทักษะการขว้างและการรับให้ดี ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างใหญ่หลวง ถ้ารับไม่ดีหรือหลุดมือไป อาจจะต้องจ่ายค่าโง่ด้วยมือของตนเอง เพราะมีดบินนี้คมกริบเหลือคณา
ว่าแล้วเขาก็เก็บมีดบินใส่ลงถุงผ้า ต่อไปค่อยๆ ฝึกมันก็แล้วกัน!
ชวีฉู่พยักหน้าพอใจ ยิ้มกล่าว “น้ำเต้าเขียวเป็นวิญญาณยุทธ์ประเภทพืช จุดเด่นของวิญญาณยุทธ์นี้คือการรักษา พันธนาการและการป้องกัน สิ่งเหล่านี้คือทิศทางในการฝึกฝนวิญญาณยุทธ์ของเจ้า ในอนาคตเจ้าอาจจะเป็นนักรบสายสนับสนุน ตอนต่อสู้ก็อย่าออกไปแนวหน้า เข้าใจเรื่องเหล่านี้ไว้ก็เพียงพอแล้ว”“ขอรับ!” “พวกเราออกเดินทางต่อกันเถอะ พลังของเจ้ายังอยู่ในช่วงฮุ่นตุ้น (ช่วงแรก) ก่อนเที่ยงจักต้องล่าสัตว์วิญญาณที่มีอายุมากกว่าสองร้อยปีหนึ่งตัวให้ได้ แล้วใช้น้ำเต้าเขียวของเจ้าดูดซับวิญญาณสัตว์ ดูว่ามันจะสามารถเพิ่มระดับพลังเจ้าไปได้แค่ไหน” “ขอรับ” หลินมู่อวี่ ยิ้มพลางพยักหน้าไปด้วย “ขอบคุณผู้อาวุโสชวี” ชวีฉู่กลับลูบเคราแล้วหัวเราะ “ไม่ต้องขอบใจข้าหรอก ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ผู้ฝึกตนทุกคนล้วนจำเป็นต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก เมื่อใดที่พบสัตว์วิญญาณที่เหมาะสม ข้าจะไม่ลงมือเด็ดขาด เจ้าต้องลงมือสังหารมันด้วยตัวเจ้าเอง มิเช่นนั้นเจ้าก็ไม่คู่ควรที่จะได้ดูดซับวิญญาณของสัตว์วิญญาณตัวนั้น เข้าใจหรือไม่” หลินมู่อวี่ชะงักกึก อดถอนหายใจไม่ได้ ดูท่าตาแก่นี่เหมือนจะไม่สนใจความเป็นความตายของเขาเลย ไร้มนุษยธรรมชะมัด สัตว์วิญญาณอายุสองร้อยปีว่ากันว่าเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์วิญญาณสงครามระดับยี่สิบขึ้นไป จะฆ่าได้หรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้วกัน ในตอนนี้ฝนปรอยลงมา ทั้งสามคนลงจากภูเขาไปขึ้นม้าที่ผูกไว้ ควบม้าเข้าไปในป่าลึกอย่างรวดเร็ว หลินมู่อวี่สวมชุดสีคราม สง่าผ่าเผยอย่างยิ่ง ส่วนถังเสี่ยวซีที่สวมชุดกระโปรงแนบเนื้อสีแดงเพลิง ด้านนอกสุดสวมเสื้อคลุมที่ถักทออย่างประณีตทับอีกชั้นหนึ่ง หยาดฝนที่อยู่บนแก้มของนาง ดูราวกับฝนในวสันตฤดูที่พรมอยู่บนดอกสาลี่ งดงามจนยากจะพรรณนา หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะแอบชื่นชมอย่างเงียบๆ องค์หญิงซีผู้นี้อายุยังน้อยแต่มีความสามารถระดับนี้แล้ว หากเป็นคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์คนอื่นเกรงว่าคงจะหาที่หลบฝน แทนที่จะรีบควบม้าฝ่าสายฝนแบบนี้ไปนานแล้วล่ะ ไม่นานนักเมฆดำปกคลุมท้องฟ้า ภายในป่าสัตตะดารามืดสนิทราวกับราตรีกาล ฟ้าแลบแปลบปลาบผ่าลงมาราวกับกระบี่ที่คมกริบกระหน่ำใส่ผืนป่าโบราณแห่งนี้หลินมู่อวี่ปลอบม้าที่เขาขี่ ไม่ให้มันตกใจกับเสียงฟ้าผ่า ชวีฉู่เองก็ค่อยๆ ชะลอฝีเท้าม้าลง เขาต้องดูแลถังเสี่ยวซี เพราะการเดินทางครั้งนี้การฝึกขององค์หญิงซีเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ชวีฉู่มองกระบี่และคันธนูยาวที่หลังของหลินมู่อวี่ อดยิ้มออกมาไม่ได้ “เจ้าหนุ่ม เจ้าแบกธนูมาทำอะไรหรือ” “นี่เป็นอาวุธลับของข้า”“อาวุธลับ?” ชวีฉู่กลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ใช้อาวุธลับนี่เพื่ออะไรหรือ” หลินมู่อวี่ตอบจริงจัง “ถึงแม้ด้านการฝึกยุทธ์ข้าจะยังเทียบพวกท่านไม่ได้ แต่ข้าก็รู้ว่าอาวุธที่ยาวกว่าย่อมได้เปรียบศัตรู หากศัตรูอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร ข้าใช้ธนู หากศัตรูอยู่ใกล้ ข้าก็ใช้กระบี่ ถ้าไม่มีธนู ข้าเสียดายช่วงเวลาที่ศัตรูใช้เพื่อเข้ามาประชิดตัว ถ้าสามารถสังหารเป้าหมายที่อยู่ไกลหลายเมตรได้เลย ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้มันเข้ามาประชิดตัว ไม่ใช่หรือ” ชวีฉู่ถึงกับอึ้งไป อดพยักหน้าชื่นชมไม่ได้ “พูดมีเหตุผลยิ่งนัก แต่ว่า…คันธนูยาวนี้ค่อนข้างสะดุดตาและดึงดูดสายตาเกินไป ไม่ใช่อาวุธลับที่แท้จริง หากเจ้าอยากได้อาวุธลับจริงๆ ละก็ ข้าก็มีของขวัญชิ้นหนึ่งที่จะมอบให้เจ้า”“หืม ของขวัญ?” หลินมู่อวี่อดดีใจเงียบๆ ไม่ได้ชวีฉู่ล้วงเข้าไปในถุงที่แขวนอยู่ตรงสะโพกม้าแล้วหยิบถุงผ้าเล็กๆ ออกมาโยนให้หลินมู่อวี่ เขารับมาแล้วเปิดดู ด้านในเป็นมีดบินที่ประณีตวิจิตรถึงสี่เล่ม ส่วนโค้งของใบมีดคมเป็นประกายแวววาวราวกับจันทรา แม้ในบรรยากาศที่มืดมิด ก็ยังเห็นคมมีดบินสะท้อนแสงเป็นประกายราวหิมะ“นี่เป็นอาวุธที่เฟิงอี้เฉิงเหลือทิ้งไว้ เฟิงอี้เฉิงเชี่ยวชาญการใช้มีดบิน สามารถสังหารคนที่อยู่ในระยะไกลกว่าหนึ่งร้อยเมตรได้ มีดสี่เล่มนี้จะใช้ขว้างทีละเล่มก็ได้ หรือจะประกอบเข้าด้วยกันเป็นมีดวงเดือนเล่มเดียวก็ได้ แต่การจะฝึกใช้อาวุธลับนี้ให้ชำนาญเจ้าต้องออกแรงไม่น้อย” ชวีฉู่กล่าว “ขอรับ ขอบคุณผู้อาวุโส” หลินมู่อวี่พูดด้วยรอยยิ้มดวงตากลมโตของถังเสี่ยวซีกะพริบ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เฟิงอี้เฉิง? หรือจะเป็นแม่ทัพผู้โด่งดังที่ปกป้องพรมแดนทางใต้เกือบยี่สิบปีคนนั้น” “ถูกต้อง คือเขานั่นแหละ น่าเสียดายที่แม่ทัพเฟิงต้องมาตายด้วยเงื้อมมือของศัตรูในสงคราม” ชวีฉู่ตอบด้วยท่าทางเสียใจและกล่าวต่อไป “คนแบบเขาหาได้ยาก เฟิงอี้เฉิงไม่ได้มีสายเลือดของตระกูลสูงศักดิ์ เป็นผู้มากความสามารถ และเป็นหนึ่งในสิบสองแม่ทัพของจักรวรรดิ น่าเสียดายจริงๆ ” ถังเสี่ยวซีเอ่ย “เฟิงอี้เฉิงตายในสมรภูมิมากว่าทศวรรษ หาได้ยากยิ่งที่ผู้อาวุโสชวีจะยังมีสมบัติที่เขาเหลือไว้” ชวีฉู่ตอบ “เขาเป็นสหายเก่าของข้า มีดบินนี้เขาได้ฝากคนนำมามอบให้ข้าก่อนที่จะตายในสนามรบ” หลินมู่อวี่ถึงกับสะท้าน และรู้สึกถึงความหนักอึ้งของมีดบินสี่เล่มนี้ขึ้นมาทันที เขาเงยหน้า มองชวีฉู่ด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณผู้อาวุโส…” คำขอบคุณครั้งนี้เปล่งออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ชวีฉู่ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยว่า “โชคดีที่ข้าไม่ถนัดใช้อาวุธลับ มิเช่นนั้นอาวุธชั้นยอดนี้คงไม่มีวันตกทอดถึงเจ้าหรอก” ก็ใช่น่ะสิ มีดบินชุดนี้ถูกทำขึ้นมาด้วยความประณีตอย่างน่าประหลาด มีดแต่ละเล่มมีรูให้ลมผ่าน แถมยังออกแบบให้หมุนกลับมาได้ นั่นหมายความว่ามีดแต่ละเล่มพอปาออกไปแล้วจะบินวกกลับมาทุกครั้ง คิดจะใช้อาวุธลับแบบนี้ก็ต้องฝึกทั้งทักษะการขว้างและการรับให้ดี ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างใหญ่หลวง ถ้ารับไม่ดีหรือหลุดมือไป อาจจะต้องจ่ายค่าโง่ด้วยมือของตนเอง เพราะมีดบินนี้คมกริบเหลือคณา ว่าแล้วเขาก็เก็บมีดบินใส่ลงถุงผ้า ต่อไปค่อยๆ ฝึกมันก็แล้วกัน!
คอมเม้นต์