ตอนที่ 1399
“แปลกจัง! กลิ่นอายของสองคนนี้เหมือนกับสองคนที่อยู่ในกลุ่มมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่ข้าพบเมื่อไม่นานมานี้ เจ้าพวกนั้นไร้ประโยชน์เสียจริง คาดไม่ถึงว่าเรื่องแค่นี้ก็ยังจัดการไม่ได้” สามง่ามราตรีตนหนึ่งมีสีหน้าประหลาดใจฉายแวบผ่านขณะเอ่ย คิดไม่ถึงว่าสามง่ามราตรีตนนี้คือหัวหน้าสามง่ามราตรีที่สับภูเขาไปก่อนหน้านามว่า ‘เมิ่งเสียง’ ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร “ราชันย์อมตะ! ใต้ดินในบริเวณนี้มีชีพจรศิลาแม่เหล็ก สองคนนี้มีฝีมือหนีมาทางใต้ดินโดยไม่ได้รับผลกระทบได้ ก็ไม่อาจโทษลูกน้องของท่านได้” สามง่ามราตรีอีกตนหนึ่งกลับหัวเราะหึๆ ออกมาขณะเอ่ย มองปราดเดียวก็รู้สาเหตุที่หานลี่และสตรีแซ่เสี้ยวหนีออกมาได้ “หึ นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะปล่อยให้เจ้าสองคนนี้หนีมา กลับไปข้าจะลงโทษพวกมัน เจ้าสองคนหนีมาถึงที่นี่ได้ ก็นับว่ามีฝีมือ ทว่าก็ต้องหยุดอยู่เพียงเท่านี้” ราชันย์สามง่ามราตรีตนแรกแค่นเสียงอย่างเย็นชา ชูมือหนึ่งขึ้น ชั่วขณะนั้นลำแสงสีโลหิตผืนหนึ่งพลันปรากฏขึ้น หมายจะลงมือสังหารทั้งสองคน หานลี่และสตรีแซ่เสี้ยวพลันหน้าเปลี่ยนสี แผ่นหลังของคนผู้หนึ่งมีเสียงฟ้าฟาด คาดไม่ถึงว่าจะหงส์เงาห้าสีและวิหคเงาขนาดยักษ์สีเขียวปรากฏขึ้น หลังจากที่ทั้งสองเปล่งแสงสว่างวาบ ก็กลายเป็นปีกขนนกแวววาวคู่หนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง อีกคนหนึ่งสำเภาห้าสีใต้ฝ่าเท้าเปล่งเสียงร้องคำราม หมุนวนแล้วกลายเป็นมังกรวารีประหลาดห้าหัวยาวสิบจั้งเศษตัวหนึ่ง หัวทั้งห้าแยกเขี้ยวเคี้ยวฟัน ท่าทางดุดัน “ราชันย์อมตะ ช้าก่อน! สองคนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ สิ่งที่ปรากฏขึ้นที่แผ่นหลังของคนผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นเงาเที่ยงแท้ของหงส์สวรรค์และวิหคมัจฉา ใต้ฝ่าเท้าของอีกคนหนึ่งก็ดูเหมือนว่าจะเป็นมังกรเที่ยงแท้แปลงร่าง จิตวิญญาณบริสุทธิ์ของมังกรวารีห้าสี ช่างน่าสนใจจริงๆ!” สามง่ามราตรีอีกคนหนึ่งเห็นหานลี่และสตรีแซ่เสี้ยวสำแดงความสามารถเมื่อครู่ กลับดวงตาเปล่งประกาย ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยปากตะโกนห้ามสหาย “ราชันย์วัฏสงสาร เจ้าหมายความว่าอย่างไร หรือว่าอยากให้ข้าปล่อยพวกมันไป อีกอย่างข้าน้อยไม่ชอบให้ผู้อื่นเรียกด้วยความเคารพ นายท่านเรียกข้าด้วยแซ่เถิด” สามง่ามราตรีตนแรกย่นคิ้ว แม้นว่าจะสลายลำแสงโลหิตออกตามคำพูด แต่กลับหันหน้ามาเผยสีหน้าไม่พอใจ “ฮ่าๆ เรื่องนี้ข้าเผลอละเลยเอง อรหันต์เมิ่งเสียง เมื่อครู่เจ้ากับข้าไม่ได้กำลังโต้เถียงเรื่องนี้กันอยู่หรือ ไม่สู้ใช้สองคนนี้มาเดิมพันเป็นอย่างไร?” ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘ราชันย์วัฏสงสาร’ หัวเราะฮ่าๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนชื่อเรียกของสหายเป็นแซ่แทนจริงๆ “เดิมพัน เดิมพันอะไร?” สามง่ามราตรีนามว่า ‘เมิ่งเสียง’ ชักสีหน้า เหมือนจะเดาเจตนาของอีกฝ่ายออก “ง่ายมาก เอาเรื่องที่เราสองคนโต้เถียงกันเมื่อครู่มาเป็นการเดิมพัน ใครทำสำเร็จก่อน ก็ถือว่าเป็นฝ่ายชนะเป็นอย่างไร?” ราชันย์วัฏสงสารเบะปาก เผยสีหน้าโหดเ**้ยมออกมา “หึ แค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงสองคน พวกเราแค่ลงมือก็เอาชีวิตของพวกมันได้แล้ว จะมาตัดสินผู้แพ้ชนะอะไร?” ราชันย์อมตะเอ่ยอย่างเย็นชาเป็นพิเศษ “สองคนนี้ล้วนไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงธรรมดาๆ ยิ่งไปกว่านั้นเราสองคนยังไม่อาจลงมือเองได้ ไม่สู้ปล่อยทาสของพวกเราไปต่อกรกับมันเป็นอย่างไร เช่นนั้น คิดดูแล้วการต่อกรกับเผ่ามนุษย์สองคน ก็เพียงพอจะให้เจ้าและข้ารู้แล้วว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ” ราชันย์วัฏสงสารกลับเอ่ยอย่างมีแผนการ “ทาส…เยี่ยม ตามที่เจ้าว่า หรือว่าข้ายังต้องกลัวว่าจะแพ้เจ้า?” ราชันย์อมตะมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสอยู่ชั่วครู่ ดูเหมือนจะรู้สึกว่าการพนันครั้งนี้ไม่มีปัญหาอะไร ในที่สุดก็ตอบตกลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ฮ่าๆ เยี่ยมมาก เจ้าสองคนได้ยินที่พวกข้าคุยกันแล้ว อย่าหาว่าพวกเรารังแกพวกเจ้าเลย ให้โอกาสพวกเจ้าได้มีรอดชีวิตครั้งหนึ่ง ให้พวกเจ้าหนีไปก่อนพันลี้ เราสองคนถึงจะปล่อยทาสออกไปสังหารพวกเจ้า แต่ต้องระวังหน่อย เจ้าสองคนอย่าแยกกันเกิดร้อยลี้ มิเช่นนั้นอย่ามาโทษว่าพวกเราสองคนลงมือเอง” ราชันย์วัฏสงสารพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับพวกของหานลี่อย่างเคร่งขรึม “พันลี้?” หลังจากที่หานลี่ใช้มือหนึ่งลูบไปที่ปีกกึ่งโปร่งใสบนแผ่นหลัง สีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้น “ใช่แล้ว แน่นอนว่าหากภายในระยะเวลาหนึ่งก้านธูป พวกเราไม่หนีออกไปเกินพันลี้ ข้าก็จะส่งทาสออกไปเช่นกัน อย่าคิดว่าจะโชคดีล่ะ” ราชันย์วัฏสงสารเอ่ยอย่างราบเรียบ แต่เนื้อหาในคำพูดกลับไร้ความรู้สึกเป็นอย่างมาก หานลี่หางตากระตุก เอียงศีรษะเหลือบมองสตรีแซ่เสี้ยวที่อยู่ใกล้ๆ สตรีผู้นี้ส่งยิ้มฝืนๆ ให้ สีโลหิตบนใบหน้าฟื้นฟูกลับมาเล็กน้อย แต่เมื่อประสานกับรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นของนางแล้ว ก็จึงยิ่งเผยความอ่อนแอออกมา “ตกลง สหายเสี้ยว พวกเราไปกันเถิด!” หานลี่เงียบขรึมไปชั่วครู่ ฉับพลันนั้นปีกที่แผ่นหลังพลันขยับ ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเงาลวงตาสายหนึ่งหายวับไปจากที่เดิม ครู่ต่อมาคนกลับมาปรากฏตัวในระยะร้อยจั้ง เปล่งแสงสว่างวาบกลางอากาศอย่างเงียบๆ ปรากฏตัวขึ้นข้างกายสตรีแซ่เสี้ยว คาดไม่ถึงว่าจะร่อนลงมาบนร่างของมังกรวารียักษ์ห้าหัวเช่นกัน ความสามารถเคลื่อนย้ายในพริบตาของหานลี่ หลังจากที่สามง่ามราตรีสองคนมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว แววตาพลันฉายแววตกตะลึงออกมา แต่ทันใดนั้นก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สตรีแซ่เสี้ยวพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็เผยสีหน้ายินดีออกมา ในเมื่อทั้งสองถูกตัดสินว่าให้หนีไปด้วยกัน แน่นอนว่าหานลี่มีความสามารถมากขนาดไหน โอกาสรอดของพวกเขาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ทันใดนั้นสตรีผู้นี้ก็ไม่ได้ให้หานลี่เอ่ยปาก เท้าเรียวแตะไปบนมังกรวารีประหลาดห้าหัวใต้ฝ่าเท้า หัวทั้งห้าของมังกรวารีตนนี้พลันสะบัด กลายเป็นลำแสงห้าสีห่อหุ้มร่างของทั้งสองไว้ในทันที พุ่งตรงไกลออกไป ความเร็วน่าตกตะลึงเช่นกัน หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง ก็หายวับไปตรงขอบฟ้า ราชันย์สามง่ามราตรีสองตนยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แค่จ้องเขม็งไปยังจุดที่ทั้งสองหนีไปอย่างเย็นชา ดูเหมือนว่าจะมั่นใจในสิ่งที่เรียกว่า ‘ทาส’ อย่างเต็มเปี่ยม จากความเร็วในการควบคุมลำแสงหลีกหนีห้าสีของสตรีแซ่เสี้ยว ระยะพันกว่าลี้ ใช้เวลาแค่ครึ่งเค่อก็มาถึงแล้ว แต่ในเมื่อราชันย์สามง่ามราตรีสองคนให้เวลาหนึ่งก้านธูป หลังจากที่สตรีผู้นี้บินออกมาได้ร้อยกว่าลี้ ก็ลดระดับความเร็วลงในทันที จากนั้นมือหนึ่งพลันตบไปที่เอว ด้านบนมีแผ่นหยกสีขาวหิมะบินออกมา กลายเป็นลำแสงสีขาวชั้นหนึ่งห่อหุ้มทั้งสองเอาไว้ “หยกลำแสงสีขาวถูกสร้างขึ้นจากพลังของอาทิตย์เที่ยงแท้ ถึงแม้จะเป็นราชันย์สามง่ามราตรีระดับผสานอินทรีย์ก็ไม่อาจใช้แค่จิตสัมผัสสอดแทรกเข้ามาในนี้ได้ จากนี้พวกเราก็คุยกันได้อย่างวางใจแล้ว” สตรีแซ่เสี้ยวอธิบายอย่างรวดเร็ว แต่สีหน้ากลับเผยความโศกเศร้าออกมา “มีอะไรต้องคุย ครั้งนี้เกรงว่าพวกเราคงมีแต่ต้องตายมากกว่าอยู่แล้ว” หานลี่มุมปากกระตุก เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา “สหายคิดว่าราชันย์สามง่ามราตรีสองตนนั้นมีพลังขนาดไหน?” สตรีแซ่เสี้ยวกลับดวงตาเปล่งประกายสองสามครั้ง ใบหน้าเผยสีหน้าลังเลออกมาขณะเอ่ยถาม “ขนาดไหน? อย่างน้อยที่สุดก็เทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ของเผ่ามนุษย์อย่างพวกเรา แม้นว่าข้าจะไม่อาจตรวจสอบกำลังที่แท้จริงของพวกมันได้ แต่ข้าก็เคยเผชิญหน้ากับพฤกษาวิญญาณระดับเงินของเผ่าพฤกษามาแล้ว แต่ความรู้สึกที่แผ่มาถึงข้ากลับสู้สามง่ามราตรีสองตนนั้นไม่ได้เลย เกรงว่าสามง่ามราตรีทั้งสองคงจะไม่ใช่ราชันย์สามง่ามราตรีธรรมดาๆ” หานลี่ตอบกลับอย่างขบคิดอย่างละเอียด “ความหมายของสหายคือ พวกมันอาจจะเป็นมหาราชันย์สามง่ามราตรี?” สตรีแซ่เสี้ยวร้องอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ถึงแม้จะไม่ใช่ เกรงว่าก็อาจจะเป็นรองแค่นั้น” หานลี่ตอบกลับด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม แต่เช่นนั้นสีหน้าของสตรีแซ่เสี้ยวก็ยิ่งดูไม่ได้ “สหายเสี้ยว รู้จักทาสที่อีกฝ่ายพูดถึงเรื่องไม่ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมั่นใจมาก” หานลี่เอ่ยถามกลับ “เรื่องนี้น้องหญิงเคยได้ยินมาจากปรมาจารย์ในสำนัก ว่ากันว่าระดับรับราชันย์ในเผ่าสามง่ามราตรีจะเลี้ยงดูครึ่งภูตครึ่งปีศาจเอาไว้ ปกติแล้วจะให้กินโลหิตบริสุทธิ์ของตัวราชันย์เอง ดังนั้นพละกำลังจึงยิ่งสูงและแข็งแกร่งขึ้นตามตัวของราชันย์สามง่ามราตรี ส่วนความสามารถนั้นจะอยู่ในระดับหนึ่งถึงสามส่วนของตัวราชันย์สามง่ามราตรี อันตรายมาก ดังนั้นหากสามง่ามราตรีสองตนคือมหาราชันย์สามง่ามราตรีจริงๆ เกรงว่าทาสของพวกเขา ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา” สตรีแซ่เสี้ยวขบกรามแน่น หานลี่ได้ฟังพลันมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส “เรื่องมาถึงครานี้แล้ว ทางที่ดีที่สุดพวกเราสองคนคงต้องแลกเปลี่ยนความสามารถและพละกำลังคร่าวๆ ต่อกันและกันแล้ว จะได้ร่วมมือกันได้สะดวกขึ้น” สตรีแซ่เสี้ยวเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อันใด เซียนเสี้ยวคิดจะต่อกรกับทาสเหล่านั้น?” หานลี่ขมวดคิ้วแล้วกลับเอ่ยถาม “ไม่โจมตีให้พวกมันล่าถอย พวกเราจะหนีรอดได้อย่างไร” สตรีแซ่เสี้ยวได้ยินแล้วพลันตกตะลึง “สหายคงไม่คิดจริงจังกับแผนของราชันย์สามง่ามราตรีสองตนนั้นหรอกนะ หากทาสพวกนั้นสังหารพวกเราได้ยังพอว่า หากกลับเป็นพวกเราที่สังหารมันได้ เจ้าคิดว่าพวกเขาจะลงมือเองจริงๆ หรือ? ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เคยสัญญากับพวกเราว่าหากสังหารทาสได้ก็จะไว้ชีวิตของพวกเรานะ” หลังจากที่หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สตรีแซ่เสี้ยวได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่านางคิดไม่ถึงเรื่องนี้ แต่ทำตามความรู้สึกอย่างไม่อยากคิดมากเท่านั้น “เช่นนั้นสหายมีแผนอย่างไร?” ดวงตาสดใสของสตรีแซ่เสี้ยวจ้องเขม็งไปยังหานลี่ ย้อนถามกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่มี ตอนนี้มีเพียงต้องรอดูสถานการณ์แล้ว แต่หากทาสนั้นน่ากลัวอย่างที่เจ้าพูด พวกเราคงไม่อาจต่อกรได้ ต่อให้ไม่ประมือแค่หนี แต่จะหนีการไล่ล่าของราชันย์สามง่ามราตรีสองตนนั้นอย่างไร นอกเสียจากว่าพลังยุทธ์ของพวกเราจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า บรรลุระดับผสานอินทรีย์ถึงจะเป็นไปได้ หรือไม่ก็ต้องพบเขตอาคมส่งตัวแถวๆ สักแห่ง แล้วส่งตัวออกไปสักสองสามหมื่นลี้ ถึงจะหนีพ้นได้” หานลี่เม้มริมฝีปาก ตอบกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำ เมื่อได้ยินคำพูดของหานลี่ สตรีแซ่เสี้ยวกลับมีสีหน้าแปลกประหลาดฉายแวบผ่าน แต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา “ทว่าการร่วมมือกันต้านทานศัตรู ก็เป็นวิธีที่ไม่มีวิธีใดแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็รักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ได้สักพัก” หานลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยพึมพำออกมา สตรีแซ่เสี้ยวได้ยินก็ทำได้เพียงหัวเราะอย่างจนปัญญาเช่นกัน ทันใดนนั้นก็เอ่ยปากแนะนำเคล็ดวิชาและความสามารถของสมบัติของตนเอง… หลังจากผ่านไปหนึ่งกาน้ำชา หานลี่และพวกก็กดลำแสงหลีกหนี แต่ยังคงอยู่ห่างออกไปพันลี้ ในตอนนั้นเองจุดที่ห่างออกไป เสียงร้องเหมือนเสียงหมาป่าหอนดังขึ้นสองครั้ง น้ำเสียงแหลมสูงสะท้านฟ้า
คอมเม้นต์