ตอนที่ 1516 กายแห่งสวรรค์ทมิฬ
ได้ยินชายชราแซ่เจียงถามเช่นนี้ หานลี่ก็ใจเต้นโดยพลัน อีกฝ่ายถามเช่นนี้ ดูเหมือนพวกเขายังอยู่ที่แม่น้ำอเวจีจริงๆ ไม่ได้ออกจากมิตินี้ เมื่อในใจคิดเช่นนี้ หานลี่ก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยปากตอบ “เรียนผู้อาวุโส พวกชุ่นรุ่นหลังถูกคนบีบบังคับ จึงตามพวกเขาเข้ามาในที่แห่งนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้หนีห่างมาจากคนพวกนี้แล้ว จึงไม่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาอีก” แม้ว่าหานลี่จะพูดค่อนข้างคลุมเครือน แต่ชายชราแซ่เจียงได้ยินคำนี้ กลับแค่ผงกศีรษะตามอำเภอใจแล้วกล่าว “เจ้าไม่ต้องกังวลว่าเรียงนี้จะยั่วโมโหข้าหรอก สาเหตุที่ผู้เฒ่าอาศัยอยู่สถานที่นี้ ก็แค่ทำข้อแลกเปลี่ยนที่ได้ประโยชน์สองฝ่ายกับอาวุโสสองสามคนของเผ่าแมงเม่าไว้เท่านั้น ตราบใดที่ไม่ทำลายสถานที่นี้จนมิติปริแตก ผู้เฒ่าก็ไม่มีทางลงมืออะไร แต่ก็คาดไม่ถึงว่าคนนอกพวกนั้นจะหาทางเข้ามิติอื่นเจอ และทยอยทำลายหุ่นเชิดฝังจิตของเผ่าแมงเม่าอย่างต่อเนื่อง เรื่องนี้กลับทำให้ผู้เฒ่าค่อนข้างสนใจ ผู้มาเยือนน่าจะไม่ใช่บุคคลธรรมดาสินะ” “อาวุโสสายตาแหลมคมยิ่งนัก! ที่จริงแล้วคนเหล่านี้ล้วนคือราชาปีศาจระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางและขั้นปลาย แต่ละคนเรียกได้ว่ามีอิทธิฤทธิ์กว้างใหญ่ไพศาล” หานลี่หัวเราะขื่นๆ คราหนึ่ง “คนพวกนี้บังคับเจ้าเข้ามาในที่แห่งนี้ จะต้องเล็งเห็นอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของเจ้าแน่ๆ แม้ว่าพวกเขาทำลายอาคมต้องห้ามเข้ามาแล้ว ยังไม่คิดจะปล่อยเจ้าไป ดูเหมือนพวกเขาไม่เพียงปรารถนาน้ำนมเทวะแต่ยังสนใจศาสตรามารพวกนั้นด้วย หึๆ รนหาที่ตายจริงๆ” ชายชราแซ่เจียงหัวเราะเย็นคราหนึ่ง มุมปากเผยความเหน็บแนมออกมา “ฟังจากการพูดของอาวุโส หรือว่าศาสตรามารเหล่านั้นมีบางอย่างที่ไม่เหมาะสม?” หานลี่กลับไม่ค่อยเข้าใจ “ไม่ใช่ว่าไม่เหมาะสมอะไรหรอก พอคนพวกนี้เข้าไปในสถานที่เก็บซ่อนศาสตรามารพวกนั้น จะต้องเจอกับความลำบากครั้งใหญ่แน่ๆ ที่นั่นมีศาสตรามารชิ้นหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะฝึกฝนจนมีร่างมนุษย์ กลืนกลินศาสตรามารชื่นอื่นๆ ที่เหลืออยู่ไปจนหมด กลายเป็นร่างมารขั้นสุดยอดแล้ว แม้แต่ผู้เฒ่าถ้าได้พบเจอ ก็ไม่เห็นว่าจะสามารถนำสมบัติชิ้นนี้ไปได้ แม้ว่าคนพวกนี้จะมีอิทธิฤทธิ์อยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นของสิ่งนี้จะหนีเอาชีวิตรอดได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่” ชายชราแซ่เจียงกล่าวด้วยใบหน้าคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “กายมารขั้นสุดยอด!” หานลี่มุมปากกระตุกเกร็ง ดูเหมือนจะเป็นระดับสูงสุดสำหรับผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชามาร “ของสิ่งนั้นซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกที่สุดของปราณมารหมื่นจั้ง หมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝน หากไม่มีอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเขาเจ้าเปิดทาง ราชาปีศาจเหล่านั้นก็ไม่มีทางหาเจอได้จริงๆ แน่นอน ซึ่งแน่นอนว่าหากพวกเขาไม่ยอมวางมือง่ายๆ ยั่วโทสะของสิ่งนี้จนโกรธถึงขั้นสุดขึ้นมา เช่นนั้นก็จะกลายเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้แล้ว ใช่แล้ว เจ้าสองคนยังมีพรรคพวกอีกคนใช่หรือไม่” สุดท้ายชายชราก็เอ่ยถามอย่างราบเรียบ “ชนรุ่นหลังยังมีศิษย์น้องอีกหนึ่งคน เดิมทีนางมากับพวกเราสองคน อาวุโสทรบได้อย่างไร้เจ้าคะ” เหยียนลี่ที่ฟังสองคนสนทนาอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด ได้ยินคำนี้ก็ตกตะลึง จึงรีบเอ่ยปากขึ้นมา “ไม่มีอะไรหรอก นอกเจ้าพวกเจ้าสองคนแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่งที่ถูกเขตอาคมเจ็ดทวารกักขังทมิฬของข้าหอบมาที่นี่ด้วย เพียงแต่นางไม่ได้อยู่ด้วยกันกลับพวกเจ้า แต่ถูกส่งไปอีกสถานที่หนึ่ง ข้าได้ดึงนางมาด้วยเช่นกัน อีกเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้พบเอง” ชายชราแซ่เจียงกล่าวอย่างไม่หนักหนาอะไร “ขอบพระคุณอาวุโสเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ชนรุ่นหลังยังกังวลอยู่ตลอด” เหยียนลี่ดีใจเป็นล้นพ้น “อาวุโสเจียง เหตุใดเขตอาคมเจ็ดทวารกักขังทมิฬของท่านถึงได้ดูดพวกเราทั้งสามคนมายังสถานที่แห่งนี้ได้” หานลี่ลังเลครู่หนึ่ง จึงค่อยเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมา “อืม ข้าแค่ใช้ประโยชน์จากพลังของเขตอาคม ใช้วิธีการเล็กน้อยกับบริเวณต่างๆ ของแม่น้ำอเวจีที่ปราณทมิฬระเบิดง่ายที่สุด จึงทำให้ข้าสามารถควบคุมระดับการระเบิดของปราณทมิฬในแม่น้ำอเวจีได้ทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้ทั้งมิติพังทลายจากสาเหตุที่ปราณทมิฬในมิติมากเกินไปหรือสูญเสียความสมดุลอย่างร้ายแรง ดังนั้นพวกเจ้าสามคนจึงถูกดูดมาที่นี่ และบังเอิญตอนที่ร่ายคาถานั้น ก็อยู่ตรงบริเวณใกล้เคียงของหมอกกลืนวิญญาณพอดี จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” ชายชรายิ้มจางๆ แล้วอธิบาย “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หานลี่เข้าใจแล้วขอรับ!” ที่จริงแล้วตามเจตนาเดิมของเขา ย่อมอยากจะถามเกี่ยวกับหมอกดำและความเกี่ยวข้องระหว่างมิตินี้และหลัวโหว แต่เมื่อไตร่ตรองครู่หนึ่ง เขาก็ปล่อยเรื่องนี้ไป เรื่องมิตินี้ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเขา ย่อมคร้านที่จะถามให้มากความเป็นธรรมดา ทั้งนี้จะได้ไม่ทำให้ชายชราเกิดความไม่พอใจ ในขณะที่พวกเขากำลังสนธนาอยู่นั้น จู่ๆ ผนังหินข้างหนึ่งของโถงใหญ่ก็เปล่งแสงสีเขียววาบหนึ่ง ปรากฏเส้นทางออกมาสายหนึ่ง ตามด้วยแสงสีดำเปล่งประกายวาบหนึ่ง หญิงสาวใบหน้างดงาม รูปร่างอรชรอ้อนแอนห่อหุ้มด้วยปราณทมิฬก็พวยพุ่งเข้ามาข้างใน ที่แท้ก็คือหยวนเหยานั่นเอง พริบตาที่หญิงสาวผู้นี้ปรากฏกาย ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าระมัดระวัง แต่หลังจากที่เห็นหานลี่กับเหยียนลี่แล้ว ใบหน้าก็ปรากฏความตกตะลึงระคนดีใจขึ้นมา “พี่หาน ศิษย์พี่ พวกท่านสองคนก็อยู่ที่นี่ ช่างดีเสียนี่กระไร!” หญิงสาวผู้นี้กล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ ครั้นขยับร่างคราหนึ่ง ก็มาอยู่ข้างกายของทั้งสองคน “เป็นผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาสายภูตอีกคนแล้ว เอ๋ น่าแปลก…” ชายชราที่จากเดิมมีสีหน้าสุขุมเยือกเย็น พอสายตากวาดมองบนร่างของหยวนเหยา คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีตื่นตะลึงระคนฉงนใจขึ้นมา “อาวุโสท่านนี้คือ…” หยวนเหยาได้ยินแล้วหันมามองชายชราทีหนึ่ง แม้ว่าจะไม่สามารถมองออกถึงความตื้นลึกหนาบางของพลังยุทธ์อีกฝ่ายได้ แต่ก็รู้ด้วยตัวเองว่าอีกฝ่ายมีฝีมือไม่เบา เพียงแต่ได้ยินคำพูดของชายชราแล้วกลับทำให้รู้สึกงุนงง หานลี่กับเหยียนลี่หันมามองหน้ากันทีหนึ่ง ต่างก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ด้วยระดับพลังยุทธ์ที่น่ากลัวของชายชรา หยวนเหยาจะมีอะไรที่ทำให้เขาสีหน้าเปลี่ยนเช่นนี้ได้ ในตอนนี้เอง ชายชราก็ก้มหน้าลังเลอยู่พักหนึ่ง ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก ฉับพลันก็ยื่นนิ้วหนึ่งออกด้วยสีหน้าดีใจ แล้วชี้ไปทางหยวนเหยาเบาๆ เห็นเพียงปลายนิ้วมีลำแสงสีเขียวพุ่งออกมา หลังจากส่งเสียงดังฟิ้ว เส้นไหมสีเขียวสายหนึ่งก็พวยพุ่งออกมาอย่างฉับพลัน ด้วยความเร็วในการเคลื่อนที่ของมัน เพียงแค่พริบตาเดียวก็จมหายเข้าไปในร่างของหยวนเหยาอย่างไร้ร่องรอย พวกหานลี่ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ แม้แต่น้อย “หา” หยวนเหยาตกใจสะดุ้งโหยง รีบตั้งท่าระมัดระวัง พลางสำรวจดูสถานการณ์ภายในร่างของตน เหยียนลี่ก็ตกตะลึงเช่นกัน พลันขยับร่างพลิ้วไหวมายืนข้างกายเหยียนลี่ พลางจ้องมองชายชราด้วยท่าทางระมัดระวัง หากไม่ใช่เพราะรู้ดีว่าตนไม่มีทางเป็นคู่มือของอีกฝ่าย ไม่แน่ว่าคงจะลงมือด้วยความโมโหเดือดดาลไปแล้ว หานลี่กลับทำแค่หรี่ตาสองข้างลง ยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน หากชายชราแซ่เจียงมีเจตนามิดีมิร้ายจริงๆ อย่างมากตอนผนึกกระบี่บินของตนเมื่อครู่นี้ คงลงมือไปนานแล้ว อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงเจตนาร้ายของอีกฝ่าย แต่เพื่อความระมัดระวัง หานลี่ยังคงกุมแหวนอสูรวิญญาณและลูกแก้วอัสนีภายในแขนเสื้อไว้แน่น เป็นอย่างที่คาดไว้ ชายชราเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางเรียบเฉย “สหายทั้งสองไม่ต้องลนลาน ที่ผู้เฒ่าปล่อยออกไปเป็นแค่คาถาทดสอบระดับเท่านั้น เพื่อพิสูจน์สิ่งที่ผู้แซ่เจียงคิดในใจ ไม่ได้มีผลเสียหรือทำให้สหายไม่สบายแต่อย่างใด” “ทดสอบระดับ? อาวุโสคิดจะทดสอบอะไรหรือเจ้าคะ? ดูเหมือนชนรุ่นหลังเพิ่งจะเคยพบหน้าอาวุโสครั้งแรก!” แม้ว่าจะได้ยินชายชราแซ่เจียงกล่าวเช่นนี้ หยวนเหยาก็ยังรู้สึกกังวลใจสุดๆ ทว่าในตอนนี้ ชายชราแซ่เจียงตั้งท่าร่ายคาถาด้วยมือหนึ่ง ฉับพลันหยวนเหยาก็รู้สึกว่าภายในจุดตันเถียนของตัวเองร้อนลุ่มขึ้นมาหลายส่วน จึงตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ยังไม่ทันให้นางได้พูดด้วยความตกตะลึงอะไร จู่ๆ ใบหน้าก็เปล่งแสงสีเขียวแก่ออกมาหนึ่งชั้น ตามด้วยหว่างคิ้วและแก้ม ปรากฏลวดลายของใบไม้ขึ้นเป็นแผ่นๆ “นี่มันอะไร?” เหยียนลี่เห็นสภาพประหลาดบนใบหน้าของหยวนเหยา ก็หลุดเสียงร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ แต่นอกจากสภาพประหลาดก่อนหน้านี้แล้ว หยวนเหยาก็ไม่รู้สึกถึงการปรากฏขึ้นของลวดลายบนหว่างคิ้วเลยแม้แต่น้อย เห็นเหยียนลี่ลี่ตกตะลึงเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจ “เป็นอย่างที่ข้ารับรู้ไม่มีผิด เป็นกายแห่งสวรรค์ทมิฬจริงๆ คิดไม่ถึงว่าข้าตามหาอย่างยากลำบากมาหลายปีกลับหาไม่พบ ตอนที่ใกล้จะล้มเลิก สวรรค์ก็ส่งเจ้ามาหาข้าถึงที่ ยังดี ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป เวลายังพอทันการอยู่บ้าง!” ชายชราหัวเราะดังลั่น กล่าวด้วยความดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง เห็นชายชราแซ่เจียงเสียอาการเช่นนี้ เหยียนลี่กับหยวนเหยาต่างก็รู้สึกหวาดกลัวในใจ อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหลายก้าว แล้วหันมามองหานลี่ด้วยสายตาคล้ายจะขอความช่วยเหลือ หานลี่ดวงตาเปล่งประกายหลายหน พลันขมวดคิ้วแล้วเอ่ยปากขึ้น “กายแห่งสวรรค์ทมิฬ! ชนรุ่นหลังนับว่ามีความรู้รอบตัวกว้างขวางแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินร่างกายที่มีลักษณะพิเศษเช่นนี้มาก่อน อาวุโสเจียงมีท่าทางดีใจเช่นนี้ สามารถบอกให้ทราบสักนิดได้หรือไม่ขอรับ!” “ความปรารถนาหลายปีมานี้ของผู้เฒ่าเพิ่งจะสมหวัง จึงเสียกิริยาไปชั่วขณะ ขายหน้าทั้งสามคนแล้ว สิ่งที่เรียกว่ากายแห่งสวรรค์ทมิฬนั้น ไม่ได้มาจากเผ่ามนุษย์ของพวกเรา แต่เป็นการเล่าถึงกายที่มีคุณสมบัติพิเศษชนิดหนึ่งของเผ่าอายุยืน พวกเจ้าจะไม่รู้จักก็ไม่น่าแปลกเลยแม้แต่น้อย! กายชนิดนี้ไม่มีประโยชน์อะไรในการฝึกฝนเคล็ดวิชาเผ่ามนุษย์ทั่วไป แต่การจะฝึกมหาอิทธิฤทธิ์บางชนิดของเผ่าอายุยืนนั้น จำเป็นต้องมีกายนี้จึงจะสามารถทำได้ แต่การมีอยู่ของกายชนิดนี้ แม้แต่คนในเผ่าอายุยืนเองก็หาได้ยากมาก เผ่าอื่นๆ ที่มีกายนี้ก็ยิ่งมีน้อยลงไปอีก อย่างน้อยที่สุด ผู้เฒ่าเสียเวลาเกือบหมื่นปีเศษเพื่อตามหามันโดยเฉพาะก็ยังไม่พบเลย สหายผู้นี้แซ่หยวนสินะ ไม่ทราบว่าสหายหยวนยินดีจะกราบไหว้และมาเป็นศิษย์ของผู้เฒ่าหรือไม่” ภายใต้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของชายชรา คาดไม่ถึงว่าจะกล่าวกับหยวนเหยาเช่นนี้ ได้ยินคำพูดก่อนหน้าของชายชราแซ่เจียง หยวนเหยาก็ยังพอเข้าใจบ้าง แต่ได้ยินคำพูดส่วนหลังที่บอกว่าจะรับเป็นศิษย์ ก็เกิดอาการตะลึงค้างอย่างห้ามไม่อยู่ “อาวุโสจะรับศิษย์น้องหยวนเป็นศิษย์!” เหยียนลี่เองก็รู้สึกตะลึงงันเช่นกัน “ไม่ผิด ผู้เฒ่ามีเจตนาเช่นนี้จริงๆ แต่จงวางใจ ผู้เฒ่าไม่มีเจตนาร้ายอย่างแน่นอน ข้าไม่ขอปิดบังพวกเจ้า ที่จริงแล้วผู้เฒ่าเล็งเห็นประโยชน์ในกายแห่งสวรรค์ทมิฬของสหายหยวน เตรียมที่จะให้นางฝึกฝนมหาอิทธิฤทธิ์ที่เกี่ยวข้อง และหากมีอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้คอยสนับสนุน ทัณฑ์สวรรค์ครั้งต่อไปของข้า อย่างน้อยก็มั่นใจได้ถึงเจ็ดส่วนขึ้นไปว่าสามารถผ่านวิบากไปได้ แม้กระทั่งครั้งถัดไปอีก หากโชคดี ก็ใช่ว่าจะไม่มีหวังรอดพ้นไปได้ และในเวลาที่เกิดทัณฑ์สวรรค์สองครั้งนี้ ระดับพลังยุทธ์ของผู้เฒ่าก็จะขึ้นไปอีกสองขั้น เข้าสู่ระดับมหาเมธีขั้นปลาย ท้ายที่สุดก็จะเข้าสู่ขั้นพ้นวิบาก ซึ่งใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” ชายชราแซ่เจียงเก็บรอยยิ้ม พลันพูดด้วยท่าทางจริงใจเป็นอย่างยิ่ง “ขั้นพ้นวิบาก หรือว่าอาวุโสจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธี!” หยวนเหยาสูดไอเย็นคราหนึ่ง น้ำเสียงค่อนข้างประหลาดใจ “หึๆ ตั้งแต่เมื่อหมื่นกว่าปีก่อน ผู้เฒ่าก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธีขั้นต้นแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง หากระดับพลังยุทธ์อย่างผู้เฒ่ายินดีจะรับศิษย์ ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงตั้งกี่คนจะเบียดเสียดกันมากราบไหว้เป็นศิษย์ของผู้เฒ่า” ชายชราพูดอย่างทะนงตน สองตาของเหยียนลี่ค่อนข้างตกตะลึง แม้ว่าในใจของหานลี่จะคาดเดาล่วงหน้าไว้หลายส่วน ตอนนี้ได้ยินชายชรายอมรับจากปากตัวเอง ริมฝีปากของเขาก็แห้งปาก หัวตากระตุกอย่างรุนแรงหลายหน คนผู้นี้ถือได้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธีคนแรกที่ได้พบ นับตั้งแต่ที่หานลี่เข้ามาในแดนวิญญาณ “ด้วยสถานะของอาวุโสมาเป็นอาจารย์ของชนรุ่นหลัง ย่อมถือเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติอย่างยิ่งเจ้าค่ะ! เพียงแต่เรื่องนี้ค่อนข้างกะทันหันเกินไป อาวุโสให้ชนรุ่นหลังได้หารือกับศิษย์พี่และสหายหานสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ” ถึงอย่างไรหยวนเหยาก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั่วไป หลังจากข่มความคิดสับสนวุ่นวายต่างๆ นานาที่ผุดขึ้นภายในใจ ก็กล่าวขึ้นด้วยความลังเล “เหอะๆ ผู้เฒ่าบุ่มบ่ามไปแล้ว เรื่องนี้ควรให้สหายหยวนพิจารณาและหารืออย่างละเอียดสักหน่อย เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน พวกเจ้าพักอยู่ในถ้ำสถิตของข้าสักสองสามวัน ค่อยมาให้คำตอบข้าก็ได้ แน่นอนว่าก่อนหน้านั้น หากสหายหยวนตัดสินใจได้ก่อน จะมาหาข้าที่นี่ก็ได้” ชายชราแซ่เจียงเอานิ้ววนๆ เคราสั้นที่คางตัวเอง พลางพูดอย่างมีความคิดไว้ในใจแล้ว
คอมเม้นต์