ตอนที่ 1603 เผ่าวิญญาณธรณีและรถศึกอเวจี
หานลี่ตื่นตกใจไปรอบหนึ่ง จึงลูบจมูกไปมา แล้วรู้สึกผ่อนคลายลง ทว่าเขาก็ยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่มังกรวารีหน้ามนุษย์เอ่ยก่อนจากไปอยู่ดี เขาเป็นเผ่ามนุษย์อย่างแน่นอน จะไปเกี่ยวข้องกับอีกฝ่ายได้อย่างไร หรือว่าเป็นเพราะเขาหลอมโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้สองสามชนิดเข้าไป? ตามหลักการแล้วก็เป็นไปไม่ค่อยได้ แม้ว่าโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้เหล่านี้จะแข็งแกร่งมาก แต่หลังจากหลอมรวมแล้วจะซ่อนอยู่ภายในกาย ไม่มีทางเผยตัวออกมาเลยสักกระผีก มิเช่นนั้นก่อนหน้าที่เขาพบผู้ที่แข็งแกร่งตั้งมากมาย คงเกิดเรื่องอะไรขึ้นไปตั้งนานแล้ว หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ยังคงรู้สึกสงสัยอยู่เต็มท้อง แต่ชนต่างเผ่าที่อยู่ในบริเวณรอบกลับมองมาด้วยสายตาที่แปลกประหลาด แม้แต่ชายหนุ่มแซ่เฟ่ยที่ยืนอยู่บนเวทีก็ยังมองพินิจเขาถึงสองแวบ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ส่วนระดับผสานอินทรีย์ที่อยู่บนชั้นสามเหล่านั้น ก็ใช้สายตาประหลาดใจกวาดมาทางเขาอยู่ไม่น้อย ต้วนเทียนเริ่นที่เป็นหนึ่งในนั้นย่อมจำหานลี่ได้ในปราดเดียว จึงอดที่จะเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมามิได้ หานลี่เห็นตนเองดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก กลับรู้สึกแย่อยู่ในใจ “เอาล่ะ ในเมื่อจัดการเรื่องราวได้แล้ว พวกเจ้าก็จัดงานประมูลต่อเถิด ข้าขอตัวก่อน สหายลู่วันข้างหน้าพวกเจ้าหากไปแถวทะเลจือเวยอีก หากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ผู้แซ่เฟ่ยก็ไม่อยากออกหน้าได้ ดูแลตัวเองก็แล้วกัน” หลังจากที่ชายหนุ่มชักสายตากลับมา ก็เอ่ยกับเซียวปู้อี ชายชราแซ่ลู่และพวกอย่างราบเรียบ “ชนรุ่นหลังจะจดจำให้ขึ้นใจ! ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่ปกป้องเมื่อครู่ มิเช่นนั้นชนรุ่นหลังและพวกคงต้องจบเห่จริงๆ” ชายชราและพวกย่อมเอ่ยขอบคุณอย่างซาบซึ้ง เซียวปู้อีที่ยืนอยู่ด้านข้างเองก็เอ่ยคำพูดว่า “ขอให้เดินทางปลอดภัย” ออกมา ชายหนุ่มพยักหน้า สาวเท้าลงไปจากเวที เห็นเพียงร่างกายของเขาเคลื่อนไหว แต่แค่สาวเท้าไปสองสามก้าว ก็มาถึงหน้าประตูวิหารจากนั้นก็หายวับไป เมื่อเห็นระดับมหายานสองคนจากไปตามลำดับ ชั่วขณะนั้นตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ที่ชั้นสามเหล่านั้นก็บินกลับไปในห้อง ทยอยกันอำพรางกายไปอีกครั้ง ส่วนคนอื่นๆ ในวิหาร ก็เลื่อนสายตาไปบนผู้ที่อยู่บนเวทีอีกครั้ง “พี่ลู่ ท่านได้รับบาดเจ็บ กลับไปพักผ่อนที่ถ้ำพำนักก่อนเถิด ฮูหยินคุน จากนี้ต้องรบกวนให้สหายทั้งสามอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว โชคดีที่มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว คงไม่รบกวนสหายทั้งสามมากนัก นอกจากนี้ค่าตอบแทนที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้า ผู้แซ่เซียวจะเป็นตัวแทนของเผ่ามอบให้สหายทั้งสี่เพิ่มขึ้นสองส่วน”เซียวปู้อีเอ่ยกับชายชรารวมทั้งฮูหยินและพวกด้วยท่าทีนอบน้อม “พี่เซียววางใจเถิด! ต่อให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ในเมื่อพวกเราสามคนตกลงกับสหายไปแล้ว ก็จะต้องอยู่จนงานประมูลครั้งนี้จบลงแน่” ฮูหยินและคนที่เหลืออีกสองคนมองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วกลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา “ผู้แซ่เซียวขอบพระคุณทั้งสามท่าน!”เซียวปู้อีได้ยินแล้วพลันรู้สึกดีอกดีใจยกใหญ่ หากทั้งสามคนสะบัดหน้าจากไปจริงๆ เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรให้รั้งพวกเขาไว้จริงๆ ส่วนชายชราแซ่ลู่นั้น ก็แค่พยักหน้าให้เซียวปู้อีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แขนที่สมบูรณ์ตะปบไปทางพื้น ชั่วขณะนั้นแขนข้างที่ขาดก็ลอยขึ้นถูกดูดเข้ามาอยู่ในมือ จากนั้นก็ถูกเขาเก็บเข้าไปอย่างระมัดระวัง จากนั้นชายชราแซ่ลู่ก็ไม่ปริปาก สองมือร่ายอาคม เขตอาคมสีฟ้าบนเวทีเปล่งเสียงร้องต่ำๆ ออกมา ร่างกายสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย ชายชราที่อยู่ในระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ถูกผู้คนเคารพนบน้อมมาโดยตลอดอ แต่ยามนี้กลับถูกฟันแขนข้างหนึ่งต่อหน้าทุกคน แน่นอนว่าย่อมรู้สึกอับอาย ยามนี้เขาเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นานนัก แม้กระทั่งไม่อยากออกมาพบผู้ใครสักระยะหนึ่ง “สินค้าประมูลก่อนหน้านี้ต้องถูกยกเลิกไปด้วยเหตุที่ไม่คาดฝัน สหายหลันเจ้าเอาศิลาคืนไปเถิด ทว่าเพื่อเป็นการตอบแทนความเสียหายของสหาย ของอีกสามชิ้นต่อจากนี้ หากสหายประมูลได้ จะลดให้สิบล้าน เพื่อเป็นของตอบแทนให้พี่หลัน” เซียวปู้อีกระแอมไอสองสามครั้ง ฉับพลันนั้นก็เอ่ยกับชายชราผมหยิกที่ถอยไปอยู่มุมหนึ่งของเวทีตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาพลันชูมือหนึ่งขึ้น โยนถุงศิลาวิญญาณที่อีกฝ่ายส่งมาเมื่อครู่คืนให้อีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าชายชราผมหยิกกลัวมังกรวารีหน้ามนุษย์หาเรื่อง ถึงได้ไปปรากฏตัวอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ และไม่ส่งเสียงใดๆ ยามนี้ได้ยินเซียวปู้อีกล่าวเช่นนี้ ชายชราพลันสั่นศีรษะ ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ช่างเถิด ในเมื่อการประมูลเมื่อครู่เกิดปัญหา นั่นก็หมายความว่าผู้แซ่หลันไม่มีวาสนากับงานประมูลครั้งนี้ สมบัติที่จะปรากฏตัวต่อจากนี้ ผู้แซ่หลันจะไม่ลงมืออีก” ชายชราผมหยิกกลับเป็นผู้ที่รู้จักปล่อยวางได้ หลังจากรับศิลาวิญญาณไปแล้ว ก็ลงจากเวทีไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา พลางตรงไปด้านนอกวิหารกัน หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็หายวับไปอย่างไม่เห็นเงา คนจำนวนไม่น้อยด้านล่างเวทีเห็นเช่นนั้น ก็เกิดเสียงอื้ออึงขึ้น เซียวปู้อีขมวดคิ้ว แต่ทันใดนั้นก็มีสีหน้าราบเรียบ และพยักหน้าให้กับฮูหยินเกล็ดสีเขียวผู้นั้นที่อยู่ด้านข้าง ชั่วขณะนั้นฮูหยินพลันเข้าใจเจตนาของเขา มือหนึ่งลูบไปที่แขนเสื้อ ควักของสีดำสนิทออกมาชิ้นหนึ่ง และโยนขึ้นไปกลางอากาศ ชั่วพริบตาเสียงครืนๆ พลันดังขึ้น! จากนั้นเหนือเวทีศิลาก็มีพายุก่อตัวขึ้น เมฆาสีดำก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ และยิ่งไปกว่านั้นยังหมุนวนไปมาเล็กน้อย ขยายใหญ่ขึ้นสิบจั้งเศษ ปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ ชั่วครู่ก็ดึงดูดสายตาของผู้ที่อยู่ด้านล่างเวทีอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าในเมฆามีเสียงดังครืนๆ ไม่หยุด หลังจากนั้นเสียงฟ้าผ่าพลันดังขึ้น ท่ามกลางฟ้าแลบสีขาวเมฆาสีดำสลายหายไปในทันที กลางอากาศมีรถเหาะสีดำสนิทคันหนึ่งปรากฏออกมาในทันที ความยาวหกเจ็ดตั้ง ผิวมีลวดลายวิจิตรโบราณเต็มไปหมด ในเวลาเดียวกันก็แผ่กลิ่นอายดิบเถื่อนออกมาจากตัวรถ ด้านหน้ารถเหาะมีม้าบินเขาเดียวจุดสีดำสี่ตัวที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วลากอยู่ ไม่เพียงแผ่นหลังที่มีปีกสีดำคู่หนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นร่างกายกว่าครึ่งยังสวมชุดเกราะสงครามสีดำชั้นหนึ่ง บนร่างของม้าบินสี่คนมีนักรบชุดเกราะที่ดูเหมือนคนปกติขี่อยู่ตัวละคน ทุกคนห้อยกระบี่และแขวนคันธนูไว้ที่แผ่นหลัง ล้วนมีท่าทีพร้อมรบ แต่ไม่ว่าม้าบินหรือว่านักรบที่ขี่ ต่างก็ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศไม่ขยับเขยื้อน เห็นได้ชัดว่าเป็นหุ่นเชิดขี่อสูรสี่ตน! เมื่อเห็นรถเหาะเหล่านั้นและนักรบชุดเกราะ ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ด้านล่างก็เผยสีหน้าสนอกสนใจออกมาในทันที “หึๆ นี่คือสินค้าประมูลชิ้นที่สองในรายการสุดท้ายของงานประมูลเรา ‘รถศึกอเวจี’ รถคันนี้ข้าจะไม่แนะนำมากนัก แต่หากเอ่ยถึงที่มาของมัน เกรงว่าสหายกว่าครึ่งคงคุ้นหูดี หลายแสนปีก่อนที่เผ่าวิญญาณธรณีถูกล้างเผ่าพันธุ์ คิดดูแล้วคงมีคนจำนวนไม่น้อยคุ้นหูบ้างสินะ ตอนนั้นเผ่าวิญญาณธรณีได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเรื่องเคล็ดวิชาหุ่นเชิดของแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี! รถศึกอเวจีชุดนี้มาจากคนของเผ่าวิญญาณธรณี พบที่ซากปรักหักพังลับของเผ่าวิญญาณธรณี ส่วนอิทธิฤทธิ์ของมันผู้แซ่เซียวคงไม่ต้องสำแดงแล้ว ข้าบอกเหล่าสหายได้เพียงแค่หุ่นเชิดนักรบที่อยู่ในชุดนี้ ทุกตัวก็มีกำลังระดับสูญสุญตาขั้นกลาง และหากหุ่นเชิดนักรบร่วมมือกันทั้งสี่ตัว ก็สามารถสำแดงเคล็ดวิชาลับการร่วมมือกันที่หายสาบสูญไปนานแล้วได้ เพียงพอจะต้านทานการโจมตีของระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้นได้ ส่วนรถศึกอเวจีเองนั้น ก็เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ได้อย่างไม่จำกัด ความอัศจรรย์ของมันนั้น มีเพียงสหายที่ประมูลได้ไปจะเป็นผู้เรียนรู้ด้วยตนเอง” เซียวปู้อีหัวเราะหึๆ ออกมาขณะเอ่ย เมื่อได้ยินชื่อของเผ่าวิญญาณธรณี ผู้ที่นั่งอยู่ด้านล่างจำนวนไม่น้อยต่างมีสีหน้าสนอกสนใจ เมื่อได้ยินว่าหุ่นเชิดทั้งสี่ตัวร่วมมือกันแล้วจะสามารถต้านทานระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้นคนหนึ่งได้ ชั่วขณะนั้นต่างก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจอย่างยิ่งออกมา คนเหล่านี้ทนไม่ไหวถึงกับต้องแผ่จิตสัมผัสออกไป ตรวจสอบก่อนแล้วค่อยว่ากัน ผลคือเมื่อคนเหล่านี้แผ่จิตสัมผัสออกไป ชั่วครู่ก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง รีบร้อนกันดึงจิตสัมผัสกลับมา หุ่นเชิดเหล่านั้นยังพอว่า เมื่อจิตสัมผัสสัมผัสกับรถเหาะ คาดไม่ถึงว่าจะถูกแรงดูดประหลาดตรงผิวรถดูดเข้าไป จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของคนจำนวนไม่น้อยถูกดูดเข้าไปในรถอย่างรวดเร็ว นี่ย่อมทำให้พวกเขาตกตะลึงไม่น้อย! บางทีอาจเป็นเพราะรถคันนี้ไม่มีเจ้าของ ไม่ถูกคนหลอมมาก่อน ยามที่เขาดึงจิตสัมผัสกลับมานั้น ก็ไม่ได้รับการขวางกั้นใดๆ มิเช่นนั้นคงจะเสียเปรียบไปไม่น้อย แต่เช่นนั้นความลึกล้ำของรถคันนี้ก็ได้ถูกพิสูจน์ไปในอีกนัยหนึ่ง จึงดึงดูดความสนใจของผู้คนมากยิ่งขึ้นในชั่วครู่ หานลี่ไม่ทันได้ระวังก็เสียเปรียบไปเช่นกัน เขารู้สึกประหลาดใจกับรถคันนี้เป็นอย่างมาก แต่ทันใดนั้นก็สูดลมหายใจเข้าอย่างเงียบๆ ไปเฮือกหนึ่ง แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าราคาเปิดประมูลของรถคันนี้อยู่ที่เท่าใด แต่สมบัติที่สามารถต้านทานระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้ ราคาจะสูงแค่ไหนไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว เขาจึงทำได้เพียงนั่งมองอยู่ที่เดิมเท่านั้น ทว่าจนถึงตอนนี้ไผ่อัสนีทองก็ยังไม่ปรากฏตัว ดูแล้วคงได้รับความสำคัญในงานประมูลจริงๆ แม้แต่ในบรรดาสินค้ารายการสุดท้ายก็ยังถูกจัดวางเอาไว้ภายหลัง ในตอนที่หานลี่กำลังขบคิดอย่างเงียบเชียบนั้น ในที่สุดเซียวปู้อีที่อยู่บนเวทีก็เอ่ยราคาเปิดประมูลของ ‘รถศึกอเวจี’ ออกมา! “รถศึกอเวจีชุดนี้ เปิดประมูลด้วยราคาร้อยยี่สิบล้านศิลาวิญญาณ!” แม้จะรู้ว่าราคาของรถศึกต้องน่าตกตะลึง แต่หลังจากที่หานลี่ได้ยินราคานี้ ก็ยังตะลึงงันอยู่กับที่ ทันใดนั้นก็เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา ราคาประมูลของรถศึกอเวจีคันนี้ร้อนแรงดังคาด! เสียงเรียกราคาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาทะลุขึ้นไปสองร้อยล้านอย่างง่ายดาย! แต่ยังคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีท่าทีไม่ยอมแพ้ ทว่าครั้งนี้กลับมีระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์บนชั้นสามเรียกราคาออกมาไม่กี่คน บางคนเสนอราคาสองครั้ง พอเห็นว่าราคาเกินสองร้อยล้านแล้วพวกเขาก็ไม่เปล่งเสียงใดๆ อีก ผลคือรถคันนี้ถูกหญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้าท่าทางอรชนอ้อนแอ้นประมูลไปด้วยราคาสองร้อยยี่สิบล้าน แต่หลังจากที่คนจำนวนไม่น้อยมองไปยังหญิงสาวสวมผ้าคลุม ในใจพลันเต้นตึกตักๆ เพราะว่าหญิงสาวผู้นี้อยู่ในระดับเทพแปลงเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะมีศิลาวิญญาณจำนวนมากขนาดนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อไปหน่อยจริงๆ หานลี่รู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไป เพราะว่าเซียวปู้อี้รับกล่องหยกมาจากมือคนประหลาดสองหัวคนหนึ่ง หลังจากเปิดออก ก็เผยไผ่สีเขียวมรกตท่อนหนึ่งออกมา นั่นก็คือไผ่อัสนีทองลำนั้นที่เขานำออกมา! “ห้าพฤกษาที่เป็นต้นกำเนิดของอัสนีเทวา ไผ่อัสนีทอง! เปิดประมูลหนึ่งร้อยเจ็ดสิบล้านศิลาวิญญาณ!” ครั้งนี้เซียวปู้อีทำอย่างลวกๆ มือหนึ่งหยิบไผ่ท่อนนั้นออกมา โบกไปกลางอากาศต่อหน้าผู้ที่อยู่ด้านล่างเวที ปากก็เอ่ยคำแนะนำง่ายๆ สั้นๆ ออกมา เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนดีดออกมาจากผิวของไม้ไผ่พร้อมกัน ชั่วพริบตาก็กลายเป็นตาข่ายสีทองผืนหนึ่ง ปรากฏขึ้นสู่สายตาทุกคน “ไผ่อัสนีทอง!” “อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย” “พฤกษาอัสนีเทวา” …… และแทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงร้องอุทานด้วยความตกตะลึงระคนดีใจสิบกว่าเสียงก็ดังออกมาจากจุดต่างๆ หนึ่งในนั้นมีเสียงที่มาจากชั้นสามอยู่สองสามเสียง ส่วนคนอื่นๆ ที่เห็นประจุไฟฟ้าสีทองปรากฏตัวนั้น ก็หน้าเปลี่ยนสี จากนั้นเสียงซุบซิบนินทาพลันดังขึ้น!
คอมเม้นต์