Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 20 ต่างกังวล
สายตาของลู่อวิ๋นฉีจับอยู่บนร่างคุณหนูจวินอีกครั้ง มองรอยยิ้มของนาง ใบหน้าของเขายังคงไร้อารมณ์“วัดกวงหวาปิดอยู่” เขาเอ่ยแม้ไม่ได้หันกลับ แต่คำพูดนี้ย่อมพูดกับจูจั้นจูจั้นก็ไม่ได้มองเขา ยืนอยู่ใต้ประตูทางเชื่อมเลิกคิ้ว“เจ้าหยุดคิดเถอะ ข้าจะโง่ขนาดนั้นให้ข้าอ้างเจ้ามาจับรึ?” เขาเอ่ย “ข้าก็ได้รับคำสั่งมาเหมือนกัน”ลู่อวิ๋นฉีมองไปทางเขา แต่มีคนเอ่ยปากก่อนเขา“ท่านรับคำสั่งอะไรหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ย“ทำความชอบชดใช้โทษสิ” จูจั้นเอ่ยคุณหนูจวินหัวเราะพรืดเกือบลืมแล้วว่าเขายังมีโทษติดตัว คิดไม่ถึงมีโทษติดตัวจะมีประโยชน์เช่นนี้ อยากทำอะไรก็อ้างว่ามีโทษติดตัวได้ ไม่อยากทำอะไรก็อ้างว่ามีโทษติดตัวได้“หัวเราะอะไร” จูจั้นเอ่ย มองดูคุณหนูจวินสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้ายังหัวเราะออก”คุณหนูจวินมองเขา ดื่มน้ำแกงโสมคำเดียวหมด“ทำไมเล่า?” นางเอ่ยจูจั้นยื่นมือชี้ด้านหลัง“ตอนนี้ตายไปกี่คนแล้ว? เจ้ามารักษาใช่ไหม?” เขาหน้าถมึงทึงเอ่ยตอนเขาหน้าบึ้ง สีหน้าเคร่งขรึม ดูไปแล้วน่ากลัวนัก นอกจากนี้คำพูดนี้ของเขาก็น่ากลัวด้วยบรรยากาศในลานนิ่งค้าง หลิ่วเอ๋อร์ที่ตลอดมาฟ้าไม่กลัวดินไม่กลัวยังกำมือแน่น พร้อมกันนั้นในใจก็ประหลาดใจอยู่บ้างแม้บุตรชายเฉิงกั๋วกงคนนี้ไม่ปกติเท่าไร แต่เทียบกับลู่อวิ๋นฉีแล้วก็ยังดีกว่าบ้าง อย่างไรตอนนั้นที่ลู่อวิ๋นฉีรังแกคุณหนู ก็เป็นเขาปกป้องคุณหนูไว้แต่วันนี้ประโยคนี้ทำไมเป็นเขาเอ่ยออกมาเล่า?ประโยคนี้คิดอย่างไรก็น่าจะเป็นลู่อวิ๋นฉีเอ่ยออกมาสิ อย่างไรลู่อวิ๋นฉีก็ตั้งใจจะจัดการกับคุณหนู รักษาไม่ได้ผลเป็นโทษหนักอย่างที่สุดทำไมบุตรชายเฉิงกั๋วกงมาตั้งคำถามเล่า?มีโทษติดตัว? หรือว่าเขาอยากสร้างความชอบชดใช้โทษ จับผิดคุณหนูจะได้สร้างความชอบหรือ?หลิ่วเอ๋อร์สีหน้าโกรธเกรี้ยวทันที ดวงตาโกรธแค้นมองไปทางจูจั้นคุณหนูจวินไม่ได้โกรธแค้น แล้วก็ไม่ได้หวาดกลัว แต่พยักหน้าถอนหายใจ“ใช่ คนตายไม่น้อยแล้ว” นางเอ่ย นั่งลงอีกครั้ง ถือโอกาสวางถ้วยน้ำแกงลงในลานเงียบกริบไปชั่วครู่ก็ตอบไปแบบนี้หรือ?หลิ่วเอ๋อร์อยู่ด้านข้างตะลึงจูจั้นเดินเข้ามาหลายก้าว ขมวดคิ้วมองนาง“ที่แท้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” เขาตั้งคำถามอีกครั้งคุณหนูจวินมองเขา ยิ้มแล้ว“ข้ากำลังคิดวิธี ไม่ต้องเป็นห่วง” นางเอ่ยจูจั้นถลึงตา ก้าวเข้ามาอีกก้าว“ใครเป็นห่วง?” เขาเอ่ย “เจ้าดูตรงไหนว่าข้าเป็นห่วงเจ้า?”คุณหนูจวินเงยหน้ายิ้มมองเขา“เปล่านี่” นางเอ่ย เก็บรอยยิ้ม สีหน้าเป็นการเป็นงานอีกครั้ง “ข้าไม่ได้บอกว่าท่านเป็นห่วงข้า ข้าแค่บอกท่านว่าไม่ต้องเป็นห่วงผู้ป่วยเหล่านี้ ข้ากำลังพยายามคิดวิธีอยู่”จิ๊จิ๊ เจ้าดูสิท่าทางไม่ปกติของยัยคนนี้จูจั้นหรี่ตามองนาง เขาแค่นเสียงหัวเราะ“เจ้าดีที่สุดเร็วหน่อย รอคนที่นี่ตายหมด คนที่ตามมาทีหลังก็คงไม่มาที่วัดแห่งนี้อย่างเชื่อฟังเช่นนี้แล้ว” เขาเอ่ย “คนเหล่านี้จะไม่เชื่อฟังเจ้า จะวุ่นวาย ถึงเวลาเจ้าก็จะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้ว”คุณหนูจวินส่งเสียงอืมทีหนึ่ง“ข้ารู้แล้ว” นางเอ่ยจูจั้นถลึงตามองนางทีหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อหมุนตัวก้าวยาวเดินออกมาเดินมาถึงปากประตูก็หยุดลงอีกครั้ง เหมือนเวลานี้เพิ่งสังเกตลู่อวิ๋นฉีที่ยืนอยู่ด้านข้าง“ใต้เท้าลู่ เดินสิ” เขาเอ่ย “ตอนนี้ไม่ต้องจับตานางแล้ว นางหนีไม่ได้แล้ว”ลู่อวิ๋นฉีมองเขาทีหนึ่ง ไม่พูดจาหมุนตัวยกเท้าเดินออกไปก่อนจูจั้นตามติดข้างหลังเขาในลานกลับมาเงียบอีกครั้ง“ใต้เท้าลู่คนนี้มองดูแล้วกลัวบุตรชายเฉิงกั๋วกงมากจริงๆ นะเจ้าคะ” หลิ่วเอ๋อร์โล่งอกเอ่ย แต่คิดถึงการตั้งคำถามของบุตรชายเฉิงกั๋วกงก็ไม่พอใจมากอีกครั้ง “เขาก็ไม่ใช่คนดีคนหนึ่งเหมือนกัน”คุณหนูจวินยิ้ม“ไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง” นางเอ่ย พลางลุกขึ้นยืน “ข้าไปอาบน้ำก่อน”วัดกวงหวาในยามค่ำคืนจุดโคมไฟสว่าง เทียบกับวัดในอดีตแลดูคึกคักขึ้นมาก เพียงแต่เสียงร้องไห้ก็มากมาย ยามค่ำคืนมืดมิดลอยออกไปน่าสยองยิ่ง“ตายอีกคนแล้วหรือ?”ทหารสองนายที่ปิดจมูกอยู่ในห้องแห่งหนึ่งยกศพร่างหนึ่งออกมา ครอบครัวที่ยืนตัวตรงไม่อยู่ ร้องไห้ตามออกมาข้างหลัง“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ไม่ใช่บอกว่ารักษาหายได้หรือ?” ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้เอ่ย“เป็นอย่างนี้ คนนี้ป่วยหนักเกินไปแล้ว พวกเจ้ามาสายเกินไป” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ยออกมาผู้หญิงคนนั้นอยากพูดอะไรสุดท้ายก็กลืนลงไป ร้องไห้เดินตามศพไปศพนี้ไม่อาจนำกลับไปได้ จะเผาฝังอยู่ด้านหลังวัดกวงหวาตรงนี้เสียงร้องไห้ยามค่ำคืนพร่างพรมไปตามทางท่านหมอยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ“ท่านหมอ เวลาไม่เช้าแล้ว ท่านไปพักกินอะไรหน่อยเถอะ” เฉินชีเอ่ยท่านหมอหวังได้สติกลับมา ราวกับไม่มีกำลังพูดแล้ว พยักหน้าให้เฉินชีเดินออกไปด้านในอุโบสถก็จุดโคมน้ำมันกับคบไฟสว่าง ส่องในอุโบสถสว่างดุจกลางวันในห้องท่านหมอมากมายรวมตัวอยู่ กำลังคุยกันเสียงเบา มองเห็นท่านหมอหวังเดินเข้ามาก็มีคนเรียกเขาให้รีบนั่งลงท่านหมอหวังโบกมือ เดินตรงไปตรงหน้าคุณหนูจวินที่ก้มศีรษะพลิกอ่านบันทึกการรักษาของหลายวันนี้อยู่“คุณหนูจวิน อาการป่วยเหมือนจะไม่บรรเทาอะไรเลยนะ” เขาเอ่ยคำพูดนี้ทำให้ในอุโบสถเงียบลง บรรดาท่านหมอที่พูดคุยเสียงเบาก็มองข้ามมาด้วย สีหน้าลำบากใจอยู่บ้างท่านหมอเฒ่าเฝิงกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง“เวลายังสั้นอยู่” เขาเอ่ยแต่ครั้งนี้คำพูดของเขาถูกขัดแล้ว“ท่านหมอเฒ่าเฝิง ฝีดาษรุนแรง เจ็ดวันก็จบชีวิตได้” ท่านหมอคนหนึ่งสีหน้าแดงเล็กน้อยเอ่ย “รักษาโรคเช่นนี้ เดิมทีก็ไม่มีคำพูดว่าเวลายังสั้นอยู่อะไร”คำพูดนี้ทำให้ท่านหมอเฒ่าเฝิงเงียบงันไป“ใช่แล้ว หลายวันนี้คนตายมากขึ้นทุกที”“เริ่มมีคนตั้งคำถามแล้วว่าทำไมรักษาไหวอ๋องหายดี”หมออีกหลายคนเอ่ยตาม มองคุณหนูจวินด้วยสีหน้าร้อนรนอยู่บ้าง“ใช้สุรา เซิงหม๋าของคุณหนูจวินอย่างไร อาการป่วยของคนมากมายก็ยังคงเลวร้ายขึ้น” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ยหรือสูตรยาใหม่นี่ของคุณหนูก็ใช้ไม่ได้?“วันนี้คนที่ตั้งคำถามว่าทำไมไหวอ๋องรักษาหายได้ แต่พวกเขารักษาไม่หายยิ่งมากขึ้นทุกที” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ยคุณหนูจวินไม่ได้เงยหน้า ยื่นมือพลิกบันทึกการรักษาหน้าหนึ่ง“ฝีดาษโรคนี้ ที่จริงเดิมทีก็ไม่มีทางแก้” นางเอ่ย “ยาเป็นเพียงตัวช่วย รักษาได้หรือไม่ได้ ที่จริงยังคงเป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิตของแต่ละคน”ชะตาฟ้าลิขิตของแต่ละคน?บรรดาท่านหมอสบตากันทีหนึ่ง“คุณหนูจวิน ท่านจะบอกว่ายาของท่านไร้ประโยชน์หรือ?” คนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยถามคุณหนูจวินหยุดมือเงยหน้า“ก็ไม่อาจพูดได้ว่าไร้ประโยชน์ กับคนที่ใช้ได้ก็มีประโยชน์ดั่งมอบถ่านกลางหิมะ กับคนใช้ไม่ได้กลับไร้ประโยชน์ เช่นการเติมลายบนผ้าดิ้นเท่านั้น” นางเอ่ยนี่มันสับสนวุ่นวายอันใด บรรดาท่านหมอคิดในใจ มองดูพระพุทธรูปภาพทวยเทพโปรดสัตว์รอบด้านหรืออยู่ที่นี่นานเข้าจะกลายเป็นบ้าๆ บอๆ เหมือนพวกพระแล้ว?“ก็มีคนดีขึ้น” คุณหนูจวินเอ่ย ชี้การรักษากรณีหนึ่ง “ข้าดูท่าผู้ป่วยคนนี้น่าจะใกล้ผ่านพ้นไปได้แล้ว”นี่เป็นข่าวที่ให้กำลังใจคนข่าวหนึ่ง บรรดาหมอรีบล้อมเข้ามาดูที่นางชี้ ลืมความทุกข์ชั่วคราว“ไข้สูงของเขาลดลงแล้ว แผลที่มีหนองก็เริ่มสมานแล้ว” คุณหนูจวินชี้เอ่ยจริงแท้ ความน่ากลัวของฝีดาษก็คือปากแผลรักษาไม่หาย หนองไหล ไข้สูง หากลดความร้อนและรักษาปากแผลได้ นั่นย่อมดีขึ้นจริงๆ แล้วทุกคนมองอย่างดีใจ“ต้องเปลี่ยนห้องให้เขา”“คืนนี้ก็ย้ายไปเลย”คุณหนูจวินกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง“ที่จริงไม่ต้อง ก็ให้เขาอยู่ที่นั่นแหละ” นางเอ่ยที่นั่นยังมีคนป่วยวิกฤติใกล้ตายอยู่หลายคน หากติดอีกครั้งอาการหนักขึ้น…คุณหนูจวินส่ายศีรษะ“ไม่เป็นไร” นางเอ่ย แล้วเสริมอีกหนึ่งประโยค “ไม่มีทาง”นางพูดแล้วช่างเถิด ไม่อย่างนั้นจะอย่างไรได้อีก บรรดาท่านหมอไม่โต้แย้งอันใดอีก พูดคุยถึงกรณีของผู้ป่วยคนนี้เสียงเบา ค่ำคืนดึกดื่นคนสงบ บรรดาท่านหมอค่อยๆ แยกย้าย ในอุโบสถเหลือเพียงคุณหนูจวินคนเดียว ไฟโคมยังคงสว่างไสวเฉินชีเดินเข้ามาจากด้านนอก สีหน้าวิตกอยู่บ้าง“ยาของเจ้าไม่ได้ผลจริงๆ หรือ?” เขากดเสียงเอ่ยถามยาได้ผลหรือไม่เป็นเรื่องที่เห็นชัดยิ่ง นี่ปิดบังไม่อยู่คุณหนูจวินยืนขึ้นพยักหน้า“ไม่กล้ารับประกันว่าได้ยาโรคหาย” นางเอ่ยจริงๆ ด้วย เฉินซีสีหน้ากังวลอยู่บ้าง ถูมือ“นี่จะทำอย่างไร?” เขาพึมพำเสียงเบาเอ่ย “เดิมทีเจ้าก็รักษาไม่หายนี่”คุณหนูจวินหันหน้ากลับมามองพระพุทธรูปในอุโบสถนางรักษาฝีดาษที่อาการของโรคปรากฏแล้วไม่หาย นอกจากนี้เดิมนางก็ไม่ได้มาเพื่อรักษาฝีดาษให้หาย…………………………………………………………………
คอมเม้นต์