Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 186 มีเพียงความจริงใจให้ไม่เสียเปล่า
ความรักมอมเมาปัญญาเพื่อนางสิ่งใดล้วนไม่ต้องการได้แม้กระทั่งไม่เอาชีวิตของคนทั้งตระกูลก็พูดออกมาได้นี่ไม่ใช่เหมือนกับละครจุดไฟสัญญาณหลอกเจ้าผู้ครองรัฐที่เล่นเมื่อวานหรือ?เพื่อผู้หญิงคนเดียวแม้กระทั่งบังลังค์ประเทศชาติล้วนไม่สนแล้ว“พวกเราตระกูลฟางลำบากเท่าไร เดินมาถึงวันนี้ลำบากเท่าไร เจ้า เจ้าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ย พูดไม่ถูกว่าโกรธเกรี้ยวหรือว่าผิดหวังทั้งหัวใจทั้งดวงตาล้วนเป็นนาง อายุน้อยรักมากก็เข้าใจได้ ใช้เงินอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ไม่น่าสูญเสียสติปัญญาจนสิ่งใดก็ไม่สน ไม่ใส่ใจกระมัง?ฟางเฉิงอวี่มองนายหญิงใหญ่ฟาง ไม่ได้ตระหนกแล้วไม่ได้ลนลาน“ท่านแม่ ข้าไม่ใช่คิดเช่นนี้” เขาเอ่ย ท่าทางจริงจังอยู่บ้าง “ชีวิตของครอบครัวเราไม่ใช่ล้วนเป็นเพราะนางถึงยังอยู่หรือ? นางไม่อยู่ พวกเราไม่ใช่ก็ไม่อยู่ด้วยหรือ ดังนั้นรอดด้วยกันอยู่ด้วยกัน หาใช่สละเพื่อนาง”นายหญิงใหญ่ฟางมองเขาคิดเช่นนี้หรือ?เรื่องต้องคิดเช่นนี้หรือ?นางช่วยชีวิตพวกเขาครั้งหนึ่ง พวกเขาก็ต้องตอบแทนไม่หมดไม่สิ้นหรือ?“นี่ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นการตอบแทนหรือติดค้าง ข้ารู้สึกว่านางเป็นดาวนำโชคของตระกูลเรา ท่านดูสิตั้งแต่นางมา โรคของข้าหายดีแล้ว ศัตรูประหารแล้ว ท่านแม่ นางกับพวกเราสุขทุกข์พึ่งพากัน พวกเราต้องทุ่มสุดกำลังปกป้องชีวิตของนาง เพราะเช่นนั้นก็เป็นการทุ่มสุดกำลังปกป้องชีวิตของพวกเราเองด้วย” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยต่อ สีหน้าจริงใจนายหญิงใหญ่ฟางมองเขาครู่หนึ่ง“เจ้าอย่าเอาเหตุผลยิ่งใหญ่เหล่านี้มาปั่นหัวข้า เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าไม่ใช่เพราะนาง เจ้าไม่ใช่ชอบนาง?” นางเอ่ยฟางเฉิงอวี่พยักหน้า“แน่นอนข้าชอบนาง ท่านแม่” เขาเอ่ยติดจะขัดเขินอยู่บ้างแล้วก็ตรงไปตรงมาอยู่บ้างนายหญิงใหญ่ฟางหมดคำพูด“ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้ายังต้องเป็นฝ่ายพูดเองว่าเจ้ากับนางแต่งงานกันหลอกๆ เล่า?” นางเอ่ย“เพราะนั่นเป็นแค่งานแต่งงานหลอกๆ นี่” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย สีหน้าจริงใจ “เพราะข้าชอบนางจริงๆ ดังนั้นต้องให้ทุกคนได้รู้ว่าก่อนหน้านี้เป็นการแต่งงานหลอกๆ หลังจากนั้นสักวันข้าจะแต่งงานกับนางจริงๆ”ที่แท้เขาก็คิดเช่นนี้นายหญิงใหญ่ฟางมองฟางเฉิงอวี่ ชั่วขณะหนึ่งรู้สึกรสชาติแปร่งปร่า“เจ้า…” นางเอ่ยนายหญิงผู้เฒ่าฟางที่เงียบงันไม่เอ่ยวาจามาตลอดขัดคำพูดของนาง“เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว” นางเอ่ยนายหญิงใหญ่ฟางกับฟางเฉิงอวี่ล้วนมองไปทางนาง“ส่งราชโองการไปให้นาง” นายหญิงผู้เฒ่าฟางลุกขึ้นยืนเอ่ยขึ้นฟางเฉิงอวี่ผุดรอยยิ้ม ส่วนนายหญิงใหญ่ฟางวิตกอยู่บ้าง“ท่านแม่” นางเอ่ยท่าทางไม่เห็นด้วย“หากเป็นเจ้า เจ้าจะทอดทิ้งโรงหมอจิ่วหลิงชื่อนี้หรือ?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองนางเอ่ยถามนายหญิงใหญ่ฟางอึ้งไป“ก็เหมือนกับพวกเราทุกข์ขนาดนี้ลำบากขนาดนี้ เจ้าเคยยอมแพ้ไหม?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยถามนายหญิงใหญ่ฟางยื่นมือจับหน้าอกท่าทางเศร้าสร้อยอยู่บ้าง“เคยคิด” นางเอ่ยเวลานั้นเคยคิดกินยาพิษตายไปด้วยกันกับเฉิงอวี่ให้จบๆ ไม่ใช่แค่หนึ่งครั้ง ไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ ทุกข์ทรมานขนาดนี้“แต่เจ้าไม่ยอมแพ้” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย “เพราะอะไรเล่า?”นายหญิงใหญ่ฟางจับหน้าอก ยิ้มช้าๆ“เพราะไม่ยินยอม” นางเอ่ย“ไม่ผิด ไม่ยินยอม” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย “อาศัยอะไรมาให้พวกเราถอยให้ อาศัยแค่เพราะชื่อเท่านั้น พวกเราก็ต้องยอมแพ้”นางโบกมือให้ฟางเฉิงอวี่“ไปเถอะ เอาราชโองการ ตั้งไว้ที่โรงหมอจิ่วหลิง ฟ้าไม่รังแกคน คนอย่าคิดรังแกคน”ฟางเฉิงอวี่ในดวงตาแย้มรอยยิ้ม ยิ้มให้นายหญิงผู้เฒ่าฟาง หมุนตัวเริงร่าวิ่งออกไปประดุจเด็กน้อยนี่ไม่ใช่เหมือนพวกเด็กๆ ก่อเรื่องวุ่นวายรึ?นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้ายุ่งยาก“ก็เหมือนที่เฉิงอวี่บอก ก่อนหน้านี้ไม่เคยขัดแย้ง แต่เพราะชื่อนี้ ความขัดแย้งจึงผูกขึ้นมา เวลานี้ไม่มีวิธีอื่นแล้ว” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย ตบมือนายหญิงใหญ่ฟาง “ไม่ว่าโรงหมอจิ่วหลิงชื่ออะไร จวินเจินเจินนางก็เป็นครอบครัวเดียวกับเรา นางเกิดเรื่อง พวกเราก็ยากหนี ช่วยคนก็คือช่วยตนเอง ไม่ต้องคิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เล็กน้อยเหล่านั้นแล้ว”นายหญิงใหญ่ฟางอับจนอยู่บ้าง“แต่เฉิงอวี่เขาแบบนี้ไม่ให้ใจไปเสียเปล่าหรือ?” นางเอ่ยนายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้ม ปรบมือหญิงรับใช้ด้านนอกได้ยินก็เข้าใจ ส่งสัญญาณให้คณะละครขึ้นเวทีใหม่ทันที แล้วเรียกบรรดาสาวใช้หญิงรับใช้รวมตัวกันใหม่ด้วย“หัวใจจะนับว่าให้ไปเสียเปล่าได้อย่างไรเล่า” นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มเอ่ย “ขอเพียงให้ไปมันย่อมคงอยู่ แค่ทำให้คนมีความสุขก็คุ้มค่า ส่วนหัวใจเก็บไว้ในใจ ให้ยังไม่ให้นั่นถึงน่าเศร้า เฉิงอวี่ของพวกเราไม่ใช่เด็กที่เสียเวลาอยู่กับเรื่องรักๆใคร่ๆ เช่นนั้น”นี่คือจะบอกว่าตนเองเสียเวลากับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เกินไป นายหญิงใหญ่ฟางยิ้มเฝื่อน เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเขาเถอะ“ท่านแม่ ยังจะเล่นละครตอนนี้ต่อไหมเจ้าคะ?” นางเอ่ยถาม มองคณะละครที่กำลังรอคอยสัญญาณอยู่บนเวที“ไม่ล่ะ” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย นั่งลงบนเก้าอี้ “เปลี่ยนเป็นตอนด่านตู๋มู่”บรรดาหญิงรับใช้รีบขานรับ บอกละครที่เลือกกับบนเวทีบนเวทีเสียงกลองดังขึ้นพักหนึ่ง“…ใต้แสงจันทราข่มขวัญวีรบุรุษแตกสลาย คิดถึงบ้านเกิดกลับคืนมาตุภูมิยากเย็นแสนเข็ญ…”“…ข้ากับแม่ทัพอวี้ไร้เคืองไร้แค้น อยู่ดีๆ ใยทำกับข้าเช่นนี้?”เสียงสูงดังสะท้อนก้องเวทีละครในสวน ไกลออกไปมีบรรดาสาวใช้หัวเราะร่าวิ่งมาไม่ขาดตระกูลฟางปลายฤดูใบไม้ร่วงในบ้านไม่เห็นความงียบเหงาสักนิด ครึกครื้นและเบิกบานส่วนตระกูลหนิงที่หมู่บ้านเป่ยหลิวก็เฉลิมฉลองปลายฤดูใบไม้ร่วงเช่นกันปีนี้ผลผลิตไม่เลว ร้านค้ากิจการของตระกูลก็ไม่เลวเช่นกัน หนิงเหยียนในเมืองหลวงก็ส่งข่าวแน่ชัดมาว่าก้าวไปข้างหน้าได้อีกก้าว รวมถึงการสอบใหญ่ปีหน้ายิ่งใกล้เข้ามาทุกที นี่ก็สื่อว่าห่างจากการมีชื่อบนกระดานทองใกล้เข้าไปทุกทีนี่เป็นเวลาที่น่าฉลองและทั้งทำให้คนเบิกบานช่วงหนึ่งจริงๆบรรดาเด็กสาวเยาว์วัยเบียดอยู่ในห้องนั่งล้อมกินเต้าหู้ปิ้ง บรรดาพี่น้องสะใภ้ของตระกูลหนิงล้อมโต๊ะเล่นไพ่ บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ยกน้ำชาขนมเดินตัดผ่าน ในห้องเสียงหัวเราะดังออกมาเป็นระยะ“…เฮ้อยังมีที่น่าหัวเราะกว่า พวกเจ้าได้ยินไหมเรื่องของจวินเจินเจินคนนั้นที่เมืองหลวง” ผู้หญิงคนหนึ่งพลันเอ่ยขึ้นหากเป็นช่วงก่อนหน้านี้ชื่อนี้นายหญิงใหญ่ที่นี่ไม่อนุญาตให้พูดถึง แต่ครั้งนี้นางเอ่ยปากกลับไม่ถูกแอบส่งสัญญาณห้ามปราม“นางมีเรื่องอะไรอีก?” นายหญิงสามวางไพ่ใบหนึ่งในมือออกไป คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ยถาม“นางน่ะอยู่ที่เมืองหลวงชักพาหัวหน้ากองพันลู่ขององครักษ์เสื้อแพรกับบุตรชายเฉิงกั๋วกงให้ตีกันยกใหญ่เพื่อนาง” ผู้หญิงคนนั้นกดเสียงเอ่ยนายหญิงสี่แค่นเสียงหัวเราะ หยิบไพ่ในมือ“ดูเอาเถอะ นางเป็นใครกัน ร้ายกาจขนาดนี้” นางหัวเราะเอ่ย“นายหญิงสี่อย่าคิดว่าแม่นางน้อยคนนี้หน้าตาธรรมดา ผู้หญิงบางคนหน้าตาธรรมดาก็ดึงดูดคนได้” ผู้หญิงคนนั้นรีบเอ่ย พลางจิ๊ปากสองที “ความสามารถนี้ไม่น้อยจริงๆ ถึงกับดึงดูดคนสองคนนี้ได้”“นี่เรียกความสามารถอะไร” นายหญิงสามเอ่ยดูแคลน “น่าขายหน้า ชื่อเสียงดีงามของบิดานางนับว่าถูกนางทำลายสิ้นแล้ว”“นี่ไม่นับเป็นความสามารถอะไร สองคนนั้น…” นายหญิงสี่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ย “ก็เรียกได้ว่าของเน่าเหม็นมักอยู่ด้วยกัน”แม้นางไม่ได้บอกชัด แต่ที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนรู้ความหมายของนางแม้สำหรับชาวบ้านแล้ว เฉิงกั๋วกงปกบ้านป้องเมืองเป็นมหาวีรบุรุษ ท่านชายจูก็เป็นยอดวีรบุรุษด้วยแต่สำหรับครอบครัวขุนนางแล้ว มุมมองของพวกเขาย่อมมีจุดตั้งต้นไม่เหมือนกันเฉิงกั๋วกงค่อนข้างรวบอำนาจสงวนท่าที ท่านชายจูก็โอหังไม่สนกฎสนสวรรค์แม้นิสัยต่างกัน แต่เทียบกับลู่อวิ๋นฉีสุนัขรับใช้กรงเล็บเหยี่ยวเช่นนี้ ก็ไม่นับว่าดีอะไรนายหญิงสามยิ้มพยักหน้าเห็นด้วย“นั่นน่ะสิ” นางเอ่ย “ไม่อย่างนั้นก่อกวนอวิ๋นเจาของพวกเราปานนั้น อวิ๋นเจายังไม่มองนางเพิ่มสักที”นายหญิงใหญ่กระแอมทีหนึ่ง วางไพ่ในมือลง“เด็กๆ อยู่ข้างในกันหมด อย่าพูดถึงเรื่องไร้สาระเหล่านี้เลย” นางเอ่ยผู้หญิงคนนี้รีบยิ้มประจบขานรับ“คุณชายสิบของตระกูลเราเป็นใคร แน่นอนไม่อาจเทียบเคียงกับคนเหล่านั้นได้ รอข้ามปีไปพวกเราก็รอรับข่าวดีแล้ว” นางเอ่ยนายหญิงใหญ่ยิ้มไม่เอ่ยวาจา วางไพ่ในมือใบต่อไป“อั้ยย่ะ นายหญิงใหญ่ชนะแล้ว” ผู้หญิงคนนั้นยื่นศีรษะยิ้มเอ่ยขึ้นนายหญิงสาม นายหญิงสี่ ล้วนวางไพ่“อั้ยย่ะ พี่ใหญ่ทำไมชนะอีกแล้วเล่า”“สะใภ้ใหญ่มือขึ้นทุกทีแล้ว”“ไมได้ ข้าต้องเปลี่ยนที่นั่งกับสะใภ้ใหญ่”ทุกคนพากันคุยเล่นหัวเราะ บรรยากาศในห้องยิ่งเบิกบานนายหญิงใหญ่ยังคงยิ้มอ่อนโยนแบบเดิม นางก็รู้สึกว่าโชคของตนเองดีขึ้นทุกทีแล้วเช่นกัน คงเป็นตั้งแต่หลังจวินเจินเจินคนนั้นออกจากหยางเฉิงกระมังก่อเรื่องเถอะ ทำลายชื่อเสียงที่เมืองหลวง หลังจากนี้ทุกคนพูดถึงนางก็ไม่มีทางพัวพันถึงบุตรชายของนางได้อีกต่อไปแล้วบุตรชายของนาง คือคนที่ดีที่สุดของที่สุด ไม่ควรแปดเปื้อนสักนิด……………………………………….
คอมเม้นต์