Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 5 ท่านย่าของนาง
ปีที่สามรัชสมัยต้าคัง วังหลวงบูรณะใหม่ครั้งหนึ่ง เหลืองทองอร่ามคุณหนูจวินเงยหน้ามองวังด้านหน้า เส้นทางยังคงคุ้นเคยนัก ผ่านประตูอู่เหมินแล้วเดินไปทางขวาคนที่ประตูวังก็มากนัก แม่สามีลูกสะใภ้ครอบครัวหนึ่งอยู่ด้วยกัน ครอบครัวมิตรสหายที่สนิทกันก็ทักทายกัน พูดคุยเล่นกันครึกครื้น คุณหนูจวินผู้ไม่ได้สวมชุดบรรดาศักดิ์ เดินเดียวดายอยู่ด้านในดูแล้วขัดตาเป็นพิเศษแม้สายตาที่มองมามากนัก แต่บรรดาหญิงสูงศักดิ์เหล่านี้รักษาเกียรติฐานะตนไม่ได้ชี้มือชี้ไม้คุณหนูจวินก็ไม่ได้สนใจคนเหล่านี้ จากนั้นขบวนก็เดินเข้าไปข้างในมีคนข้างกายกระแอมทีหนึ่งคุณหนูจวินรั้งสายตามองไป จูจั้นไม่รู้เวลาใดเดินเข้ามาเขาสวมชุดพิธีการของท่านชายมองทีหนึ่งจำไม่ได้อยู่บ้าง“คนรอรับโทษอย่างท่านก็มาเข้าเฝ้าได้ด้วยหรือ?” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยจูจั้นแค่นหัวเราะสองทีไม่ได้เอ่ยวาจาอีกก้าวยาวเดินเลยนางไป ด้านหลังร่างชายหนุ่มหลายคนคุยเล่นหัวเราะเฮฮาเดินผ่านร่างคุณหนูจวินไป เหมือนกับทุกคนเพียงแค่เดินผ่าน ไม่ได้พูดคุยกันนี่นับเป็นการทักทายครั้งหนึ่งไหม? แค่นหัวเราะสองที กระทั่งสวัสดีปีใหม่ก็ไม่พูดคุณหนูจวินยิ้มความครึกครื้นด้านนี้ถูกขุนนางสองด้านตำหนิห้ามปรามอย่างรวดเร็ว ด้านหน้าประตูวังเงียบลงอีกครั้ง ข้ามประตูอู่เหมินไป ผู้ชายผู้หญิงแยกกันเดินไปทิศทางที่ต่างกัน“คุณหนูจวิน”มีคนเอ่ยเรียกคุณหนูจวินเงยหน้ามองไป เห็นท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวกวักมือมาทางนางคนที่รู้จักคุณหนูจวินไม่ใช่แค่แม่สามีลูกสะใภ้ติ้งหยวนโหว ยังมีท่านหญิงของปั๋วโหวสองคนก็ทักทายนางด้วย นี่ล้วนเป็นคนที่นางเคยผูกสัมพันธ์ด้วย บ้างเคยรักษาบ้างเคยมาซื้อยาเมื่อสองครอบครัวนี้ทักทาย คุณหนูจวินเป็นใครก็แพร่กระจายไปทั่วแล้ว สายตาที่มองไปทางนางยิ่งมาก คนที่เดินผ่านก็มากขึ้นด้วย บ้างทักทาย บ้างก็มองประเมินอย่างใคร่รู้“คนไม่รู้จักมากมาย ตื่นเต้นไหม?” ท่านหญิงติ้งหยวนโหวหัวเราะเบาๆ กับนางคุณหนูจวินยิ้มส่ายศีรษะความจริง คนไม่รู้จักไม่ได้เยอะ จึงไม่ได้ตื่นเต้นอะไรคุยเล่นกันไม่นานก็มาถึงที่ประทับของไทเฮาแล้วแต่พวกนางยังเข้าไปไม่ได้รอคอยอยู่นอกตำหนัก ไทเฮา ฮองเฮา ตอนนี้อยู่ที่ตำหนักหน้ารับสุราคารวะของขุนนางราชสำนักอยู่ หลังจากนั้นถึงกลับมารับคำอวยพรของบรรดาสนม ต่อด้วยบรรดาองค์หญิง หลังจากนั้นอีกถึงจะเป็นบรรดาท่านหญิงบรรดาศักด์ในนอกเหล่านี้เข้าตำหนักคุณหนูจวินมองไปทางที่ซึ่งบรรดาองค์หญิงด้านหน้าประทับอยู่พวกท่านป้าที่อายุมากล้วนไม่อยู่แล้ว ที่เหลืออยู่ล้วนเป็นท่านน้าทั้งหลายรวมถึงน้องสาวหลายคนในนี้ย่อมไม่มีพี่สาวตั้งแต่หลังได้ยศเป็นกงจู่ย้ายไปวังไหวอ๋อง พวกนางพี่น้องก็ไม่ได้ออกมาเข้าร่วมถวายพระพรอีกคุณหนูจวินหลุบสายตาลง ได้ยินเสียงคุยเล่นด้านหน้าความโศกเศร้าของพวกนางเป็นเพียงของพวกนางเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่นเหล่าสตรีเดินเรียงแถวตามลำดับยศเข้าไปในวังไทเฮาพร้อมกับเสียงดนตรี คุณหนูจวินย่อมยืนอยู่ข้างหลังสุด มองดูไทเฮาบนบัลลังค์ลึกที่สุดด้านในท้องพระโรงรวมถึงฮองเฮาข้างกายนางเพราะห่างไกลเกินไป รู้สึกมองไม่ชัดอยู่บ้างฮองเฮาเพราะอยู่ที่ซานตงตลอด หลังฉีอ๋องขึ้นครองราชย์ถึงกลับมายังเมืองหลวง ดังนั้นแทบไม่เคยพูดคุย ไม่คุ้นเคย แต่ไทเฮาไม่เหมือนกันตั้งแต่เล็กนางก็เติบโตขึ้นมาข้างกายไทเฮาไทเฮาหลิ่วซื่อปีนี้ห้าสิบหกพรรษาแล้ว ไม่ใช่พระอัยยิกาแท้ๆพระบิดาเป็นอดีตฮองเฮาอู่ซื่อประสูติ เพราะประสูติยากรักษาชีวิตองค์รัชทายาทมาได้ แต่ฮองเฮาอู่เองกลับไม่รอด แล้วก็เพราะเหตุนี้ องค์รัชทายาทจึงร่างกายเสียหายไม่ดีมาตลอดตอนนั้นไม่มีใครกล้ารับประกันว่าจะเลี้ยงองค์รัชทายาทให้รอดได้ บรรดาสนมนางในก็หลีกเลี่ยงแทบไม่ทัน มีแต่กลัวว่าจะถูกหางเลข หลิ่วซื่อตอนนั้นเป็นเพียงแค่เจาอี๋คนหนึ่ง[1] นิสัยอ่อนโยนใสซื่อทำตัวเงียบๆ มาตลอด แต่เวลานี้กลับเป็นฝ่ายขอดูแลองค์รัชทายาทเองนี่ไม่ใช่โอกาสดีอะไร บางทีเพราะเรื่องนี้อาจได้รับความโปรดปราณขององค์ฮ่องเต้บ้าง แต่เลี้ยงองค์รัชทายาทให้รอดใช้แรงใจใช้แรงกาย เลี้ยงไม่ดีปุบก็มีแต่ตายสถานเดียวนี่เสี่ยงอันตรายเกินไปแล้วแต่หลิ่วเจาอี๋ทำสำเร็จแล้ว องค์รัชทายาทเลี้ยงรอดแล้ว นอกจากนี้สามปีให้หลังนางยังให้กำเนิดองค์ชายคนหนึ่งด้วย หลังจากนั้นห้าปีก็ได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮาคนมากมายอิจฉาโชคดีของหลิ่วเจาอี๋ แล้วก็มีคนลอบพูดกันว่าจิตใจเจ้าเล่ห์ร้ายกาจมากเพียงไร แต่พระบิดากลับตรัสว่าฮองเฮาหลิ่วดีกับเขาจริงๆตอนยังเล็กเขาซุกซนไม่อยากเรียนหนังสือ ถูกฮองเฮาหลิ่วลงโทษคุกเข่าตีมือ เด็กคนอื่นก็ช่างเถิด วรกายขององค์รัชทายาทไม่ดีมาตลอด ไหนเลยกล้าลงโทษรุนแรงเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็มาพูดขอให้ ฮองเฮาหลิ่วก็ยังไม่อนุญาต พระบิดาสุดท้ายก็ถูกลงโทษครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไม่กล้าซุกซนเกียจคร้านอีก แล้วก็ยิ่งเคารพฮองเฮาหลิ่วด้วยมีเพียงนับองค์รัชทายาทเป็นองค์รัชทายาทด้วยน้ำใสใจจริง รวมถึงมองเป็นบุตรของตนเองเท่านั้น ถึงจะเคร่งครัดเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ตนเองมีบุตรชายแล้ว ตามความคิดของคนจำนวนหนึ่งคงอดรนทนไม่ได้ให้องค์รัชทายาทคนนี้เสียคนไปซะทุกคนล้วนพูดว่าฮองเฉาผู้นี้เคร่งครัดมาก แต่คุณหนูจวินไม่มีความรู้สึกนี้ ตั้งแต่เล็กนางมักจะมาเล่นในวังของฮองเฮาหลิ่ว ฮองเฮาหลิ่วยังเคยย่างเนื้อกวางให้นางทานด้วยพระองค์เอง ยังอนุญาตให้นางนอนคว่ำอยู่บนเตียงกินเม็ดแตง ไม่เหมือนพระมารดากับพี่สาวที่มักจะคอยคุมนางเสมออย่างนั้นตอนนั้นนางออกจากวังหลวง ฮองเฮาหลิ่วอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก แต่ก็ถอนหายใจเอ่ยชมนางว่าเป็นเด็กดีคนหนึ่ง ทุกครั้งปีใหม่กลับมา นางล้วนต้องมาพักในวังของฮองเฮาหลิ่วหนึ่งคืน ทานขนมของกินที่ฮองเฮาหลิ่วจงใจเก็บไว้ให้นางก่อนหน้านี้ในวังไม่รู้สึกอย่างไร ภายหลังติดตามอาจารย์เดินทางข้างนอกเห็นมากขึ้นมากแล้ว นางถึงรู้ว่าความสัมพันธ์เช่นนี้ก็คือความรักย่าหลานอย่างนั้นของชาวบ้านนางแต่ไหนแต่ไรก็ถือว่านางเป็นท่านย่าแท้ๆไม่รู้ว่าตอนฮองเฮาหลิ่วได้รู้ว่าพระบิดาตายรู้สึกอย่างไร บางทีทั้งหมดนี้อาจสมปรารถนานาง ถ้าอย่างนั้นที่แท้นางเคยมีความรู้สึกกับพระบิดากับครอบครัวของตนเองไหม? เลี้ยงแมวหมาตัวหนึ่งยังมีความรู้สึก นับประสาอะไรกับเป็นคนเล่าบางทีก็คงเพราะเป็นคนล่ะมั้ง คนมักจะไร้หัวใจกับคนมากกว่าอยู่บ้างมีนางกำนัลยกจอกสุรามา คุณหนูจวินรับไป ยกจอกสุราค้อมกายคำนับหนึ่งครั้ง อีกครั้ง ครั้งที่สาม ตามเสียงร้องขานของพนักงานพิธีการในโถงตำหนักเสียงอวยพรดังขึ้นพร้อมเพรียง เสียงกล่องดนตรีขับขานประสานบรรยากาศพิธีการในตำหนักจบลงก็รื่นเริงผ่อนคลายขึ้นมาก แรกสุดเป็นเหล่าองค์หญิงเข้าไปล้อมไทเฮาเสียงอ่อนเสียงหวานร้องเรียกพระอัยยิกาจะเอาซองแดง ไทเฮาก็ยิ้มหยิบซองแดงออกมาให้พวกนางจริงๆ ดึงให้เหล่าท่านหญิงบรรดาศักดิ์ในนอกรวมวงสนุกด้วยคุณหนูจวินยืนอยู่สุดท้ายแถวด้านในตำหนัก ร่วมหัวเราะไปกับคนด้านข้างขันทีคนหนึ่งเข้าไปใกล้ไทเฮาเอ่ยข้างหูหลายประโยค ไทเฮาเหมือนจะคิดถึงอะไรขึ้นมา สายตามองมาทางด้านในโถงเสียงคุยเล่นหัวเราะหยุดลงทันที ในตำหนักกลับมาเงียบสงบ“คุณหนูจวินหมอเทวดาผู้นั้นเล่า” เสียงสุขุมของไทเฮาดังขึ้นสายตาในตำหนักมองสะเปะสะปะขึ้นมาทันที คุณหนูจวินหลุบสายตาก้าวออกมาหลายก้าว ยืนอยู่ตรงกลาง คุกเข่าลงโขกศีรษะคำนับให้ไทเฮา“หม่อมฉันเองเพคะ” นางเอ่ยสายตาทั้งหมดล้วนจับอยู่บนร่างของนาง“ลุกขึ้นเถอะ” เสียงไทเฮาลอยมาจากไกลๆ “เข้ามาให้ข้าดูหน่อยสิ”คุณหนูจวินขานรับ โขกศีรษะอีกครั้งถึงลุกขึ้นยืน กุมมือหลุบตาลงน้อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้า สองข้างสายตานับไม่ถ้วนจับจ้องบนร่างของนาง มองดูผมเผ้าเครื่องประดับของนาง มองดูหน้าตาของนาง มองดูท่วงท่าการก้าวเดินของนางระยะห่างจากสุดประตูตำหนักไปถึงเบื้องหน้าบัลลังค์ไทเฮา สำหรับท่านหญิงบรรดาศักดิ์ในนอกจำนวนมากแล้วรู้สึกว่าไกลนัก พวกนางถึงขนาดแค่คิดว่าต้องเดินเข้าไปต่อหน้าสายตาของผู้คนเช่นนี้ก็รู้สึกหายใจไม่ออกแล้วแต่เด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกปีคนนี้กลับเดินได้มั่นคง ใบหน้าไม่เพียงไม่มีความอึดอัดสำนิด ตรงกันข้ามยิ่งดูผ่อนคลายนางยืนสงบอยู่เบื้องหน้าไทเฮาห่างไปหลายก้าว ท่วงท่าสง่าผ่าเผยและงดงาม ราวกับเคยทำเช่นนี้มาหลายครั้งนักนางเงยหหน้ามองไปทางไทเฮา ไทเฮาก็มองไปทางนางเช่นกันไทเฮาสวมชุดพิธีการของราชสำนัก ยิ่งแลดูสง่าน่าเคารพนางไม่ได้เห็นไทเฮามานานแล้ว ตั้งแต่พระบิดาจากโลกไปพวกนางพี่น้องก็เข้าไปในวังไหวอ๋อง กระทั่งตอนแต่งงาน ไทเฮาก็ไม่ได้พบนางเช่นกัน เหมือนกับคนทั้งคนฉับพลันหลุดออกไปจากชีวิตของพวกนางสิ่งของสิ่งหนึ่งบอกว่าทิ้งก็ทิ้ง ความรู้สึกที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ได้สินะคุณหนูจวินหลุบตาย่อเข่าคำนับ“เป็นท่าทางของหมอเทวดาจริงๆ” เสียงของไทเฮาลอยลงมา “ได้ยินว่ากฎการรักษาของเจ้าใหญ่มาก ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองดูสิข้า มีลางร้ายหรือไม่?”คำพูดนี้ไม่เกรงใจอยู่บ้างนะกฎของเจ้าใหญ่ ใหญ่ได้มากเท่าใด ใหญ่กว่าสายเลือดสวรรค์ราชวงศ์ของฮ่องเต้ไหม?หากไม่ใหญ่ กฎการรักษาที่วางไว้ที่พูดมาก็เพียงแค่มองคนเลือกวางจาน ดูแคลนคนสูงศักดิ์ยศอ๋องยศกงเหล่านี้หรือ?อีกอย่างเจ้าจะรักษาให้ไทเฮาหรือไม่เล่า?บอกว่าไทเฮาไม่มีโรคย่อมไม่เป็นความจริง อย่างไรคนอายุมาก มากน้อยใครก็ต้องมีไม่สบายบ้างทั้งนั้นแต่หากบอกว่ามีโรค ปีใหม่เช่นนี้จะพูดกับไทเฮาคำหนึ่งว่าท่านมีลางร้ายจริงๆ หรือ?บรรยากาศในโถงตำหนักหยุดนิ่งไปอยู่บ้างยิ่งเงียบสงัด……………………………………….[1] เจาอี๋ (昭仪) ชื่อยศสนม เป็นหนึ่งในสนมชั้นผิน(嫔)เก้าคน
คอมเม้นต์