Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 142 ความสงสัยยามเที่ยงคืน
ห้องทำงานของสำนักราชองครักษ์เที่ยงคืนก็ยังจุดไฟสว่าง เสียงเอะอะลอยมา เสียงเอะอะด้านนอกวังหลวงดึงราชองครักษ์กลุ่มใหญ่มา แต่ไม่นานก็เงียบไป ไม่รู้ว่าพูดอะไรราชองครักษ์เหล่านี้ถึงแยกย้ายไฟโคมค่อยๆ ดับลง นอกจากในห้องแห่งหนึ่ง ไฟโคมสว่างยังมีคนไม่น้อยยืนอยู่“ท่านชาย ข้าไม่เป็นไรหรอก”ชายหนุ่มดวงหน้าสีทองแดงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น มองจูจั้นที่ยืนตรงหน้าเขาเห็นได้ชัดว่าถูกปลุกตื่นขึ้นมาจากจากฝัน สวมเพียงกางเกงขาสั้น ท่อนบนเปลือยเปล่า สีหน้าไม่เข้าใจจูจั้นไม่ได้สนใจเขา แต่เอ่ยกับคนข้างหลัง“พวกเจ้า ไปดูเขาสิ” เขาเอ่ยผู้ชายในชุดนอนอสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา คนหนึ่งวัยกลางคน คนหนึ่งอายุมากอยู่บ้าง แต่ละคนสีหน้าไม่ยินดีอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าถูกเรียกขึ้นมาจากฝันเหมือนกันในมือพวกเขาหิ้วหีบยา ได้ยินก็ก้าวเข้าไป“คุณชายตรงไหนไม่สบายหรือ?” พวกเขามองสำรวจพลางเอ่ยถามพลางชายหนุ่มยิ้มจนปัญญา“ตรงไหนข้าก็ไม่เป็นไรทั้งนั้น” เขาเอ่ยขึ้น“จางเป่าถัง เจ้าไม่ใช่บอกว่าหัวไหล่เจ็บรึ?” จูจั้นเอ่ยขึ้นชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าจางเป่าถังตะลึง จากนั้นก็ยิ้ม“ท่านชาย ท่านจำได้ด้วยรึ” เขาเอ่ยขึ้นวันนี้ตอนกลางวันเขาพูดเช่นนั้น ไม่คิดว่าท่านชายครึ่งค่อนวันแล้วยังพาหมอวิ่งมาก เขาไม่รู้จะพูดอะไรดีอยู่บ้าง“ท่านชายท่านดีกับข้าจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจจูจั้นทำหน้ารังเกียจ แล้วอึดอัดนิดๆ“ข้าไม่ใช่กลัวว่าเพราะข้าทุ่มเจ้ารึ?” เขาเอ่ยขึ้น “ท้ายที่สุดโทษก็ตกใส่หัวข้า ตอนนี้ข้ายังเป็นคนรอรับโทษอยู่นะ”จางเป่าถังยิ้มโง่งมท่านหมอสองคนนั้นได้ยินเข้าก็มองตรงไปที่แขนของเขา กดนวดพักหนึ่งจางเป่าถังก็ทำหน้าเหยเก“ตรงนี้แหละเจ็บนิดหน่อย” เขาว่าพวกท่านหมอกดนวดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามว่าตั้งแต่เมื่อไร เริ่มเจ็บได้อย่างไร เมื่อทราบว่าประลองยุทธ์กับจูจั้นโดนทุ่ม บรรดาท่านหมอก็ไม่สบอารมณ์ลุกขึ้นยืน“ก็แค่กระแทกเคล็ดเท่านั้น” พวกเขาว่า “หากกลัวเจ็บจริงๆ ก็ใช้ยากระตุ้นเลือดสลายเลือดคั่ง ไม่ใช้ก็ไม่เป็นไร”กลัวเจ็บสองคำนี้เห็นได้ชัดว่าพูดอย่างพกพาเจตนาตำหนิมาด้วยลูกผู้ชายคนไหนกลัวเจ็บ จางเป่าถังรีบส่ายศีรษะ“ไม่เป็นไรไม่เจ็บแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น“พวกเจ้าดูให้ดีๆ” จูจั้นกลับเอ่ยขึ้น สีหน้าไม่พอใจจ้องหมอสองคนนั้น สีหน้าไม่เชื่อ “พวกเจ้ามั่นใจว่าไม่มีปัญหา?”พวกเขายังไม่ได้ยืนยันหรือไง?ท่านเป็นหมอหรือว่าพวกเขาเป็นหมอ?ต่อให้เจ้าเป็นท่านชายก็ไม่อาจรังแกคนเช่นนี้ได้นะท่านหมอสองคนเดิมทีก็กรุ่นโกรธเต็มอกอยู่แล้ว เที่ยงคืนถูกปลุกขึ้นมาคิดว่าโรคร้ายอาการหนักเกี่ยวพันกับความเป็นความตายอันใด ผลปรากฏว่าเป็นเจ้าหนุ่มกำยำแข็งแรงคนหนึ่งถูกทุ่มนิดหน่อยก็ไม่ใช่ตุ๊กตาโคลนตัวหนึ่งเสียหน่อย คนเป็นทหารเหล่านี้โดนทุ่มนิดหนึ่งเป็นอะไรไป? ยังจะมั่นใจว่ามีหรือไม่มีปัญหาอีกพวกเขามองจูจั้น แล้วก็มองเจ้าหนุ่มที่ทำหน้าละอายใจอย่างเห็นได้ชัดคนนี้อีกครั้ง อดแค่นเสียงในใจไม่ได้มิน่าบุตรชายเฉิงกั๋วกงอายุยี่สิบกว่าปีแล้วยังไม่สู่ขอตบแต่งภรรยา ที่แท้ก็ชอบแบบอื่น“ท่านชาย พวกเราร่ำเรียนไม่แตกฉาน มองไม่ออกจริงๆ ว่ามีปัญหาอะไร ท่านไม่วางใจก็เชิญยอดฝีมือคนอื่นมาเถอะ” พวกเขาเอ่ยขึ้นไม่อินังขังขอบจูจั้นหน้าบึ้งจะเอ่ยวาจา จางเป่าถังรีบลุกขึ้นมาห้ามปราม“พี่รอง ข้าไม่เป็นไรจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ ทั้งยังคำนับขอบคุณท่านหมอสองคนนั้น แล้วให้ทหารยศน้อยหยิบถุงเงินถุงหนึ่งให้พวกเขา ไปส่งกลับด้วยตนเองท่านหมอสองคนตอนนี้ถึงสีหน้าอ่อนลงจากไป“เจ้าไม่เป็นไรจริงๆหรือ?” จูจั้นเอ่ยถามอีกครั้ง“ข้าไม่เป็นไรจริงๆ ตอนนั้นข้าก็แค่พูดเช่นนั้นขึ้นมาเฉยๆ…” จางเป่าถังเอ่ยขึ้น พูดถึงตรงนี้ก็ชะงักตอนนั้นเด็กสาวคนนั้นบอกว่าตนเป็นท่านหมอ เด็กสาวคนนั้นเห็นได้ชัดว่ารู้จักกับท่านชายดังนั้นเขาถึงอยากให้หน้านาง พูดว่าตนเองเจ็บไหล่ไปโดยไม่รู้ตัวส่วนเด็กสาวคนนั้นพูดว่า..“ไหล่ขวาเจ็บสินะ?”“ข้าฝังเข็มให้สองที ให้ยาท่านอีกหนึ่งขนาน”ดังนั้น…จางเป่าถังมองจูจั้นในที่สุดก็เข้าใจ“ท่านชาย วิชาแพทย์ของคุณหนูคนนั้นร้ายกาจมากหรือ?” เขาเอ่ยถามจูจั้นแค่นเสียงเหอะร้ายกาจ…ก็ไม่อาจปฏิเสธได้อยู่ แต่…“เจ้าไม่ต้องสนใจ” เขาเอ่ยขึ้น ขมวดคิ้ว “นั่นไม่ใช่คนปกติ”ไม่ใช่คนปกติ?เด็กสาวคนนั้นน่ะหรือ?ดูท่าท่านชายจะสนิทกับนางมากจริงๆ นะจางเป่าถังอดไม่ได้อยากเอ่ยปากถาม จูจั้นกลับสะบัดแขนเสื้อก้าวยาวจากไป“เจ้านอนเถอะ” เขาทิ้งไว้หนึ่งประโยคออกจากประตูไป…ราตรีกำลังจะผ่านพ้น แม้กระทั่งตลาดกลางคืนไกลออกไปก็ยังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมืดสลัวไม่ชัดบนถนนด้านนี้ทุกสิ่งยังคงหลับใหล ในราตรีมีเงาคนปรากฏ เดินอย่างไร้สุ้มเสียง หยุดหน้าประตูบานหนึ่งไฟโคมดวงน้อยสว่างเลือนรางท่ามกลางราตรี ส่องสว่างป้ายด้านบนประตู ไฟโคมสว่างอยู่เพียงชั่วพริบตา ถึงขนาดยังไม่ทันส่องใบหน้าของคนที่มาชัดก็สลายไปแล้วเงาคนถอยหลังหลายก้าวเลือนหายไปในความมืดค่ำคืนฤดูร้อนอันอบอ้าวพลันมีลมพัดมา กิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ในลานส่ายไหวน้อยๆ พักหนึ่ง ส่งเสียงกระทบกันแผ่วเบากิ่งไม้ส่ายไหว ยื่นเข้าไปทางหน้าต่างที่เปิดอยู่บนชั้นสามของตึกหลังน้อยครั้งละนิดๆ เงาคนผู้หนึ่งพลันประดุจแมวจากบนต้นไม้กระโดดเข้าหาหน้าต่างแต่จากนั้นคนทั้งร่างก็ประดุจแมวคู้ตัวแขนขาเกาะอยู่ตรงขอบหน้าต่างนิ่งไม่ขยับค่ำคืนดูเหมือนจะจมสู่ความเงียบสงัดอีกครั้งทิศตะวันออกค่อยๆ ส่องแสงสีขาว ยืนอยู่ตรงหน้าต่างมองเห็นบนเตียงที่อยู่ติดหน้าต่างได้เลือนรางม่านโปร่งทำให้เด็กสาวที่นอนตะแคงอยู่ด้านในเดี๋ยวหายเดี๋ยวปรากฏ“เฮ้”เงาคนข้างหน้าต่างส่งเสียงเอ็ดเบาๆ ทีหนึ่ง“เจ้าตื่นเร็ว”ผู้หญิงบนเตียงราวกับหลับลึก นิ่งไม่ขยับเงาคนเอนศีรษะเล็กน้อยยกไหล่อย่างระมัดระวัง ไม่รู้กัดอะไรออกมาจากหัวไหล่“อย่าขยับมั่ว” เด็กสาวบนเตียงเอ่ยขึ้น เสียงขึ้นจมูกหนักหน่วงยามเพิ่งตื่นนอน “อย่าคิดว่ากลไกจะให้เจ้ามีโอกาสส่งอาวุธลับใส่ข้า”จูจั้นนิ่งไม่ขยับจริงๆ สบถออกมา“ใจคนพาลจริงนะ นอนยังต้องวางกับดักโหดเหี้ยมเช่นนี้ไว้อีก” เขาเอ่ยคุณหนูจวินหัวเราะ“ถ้าอย่างนั้นท่านชาย ท่านลูกผู้ชายอกสามศอกเที่ยงคืนปีนหน้าต่างห้องข้าทำอันใด?” นางเอ่ยถามนางเอ่ยวาจา คนยังนอนอยู่บนเตียงไม่ลุกจูจั้นแค่นหัวเราะ“ไม่มีอะไร บังเอิญผ่านทางเท่านั้น” เขาว่าคุณหนูจวินหัวเราะไม่พูด ลุกขึ้นนั่งช้าๆ ดึงม่านโปร่งออก“ถ้าอย่างนั้นก็บังเอิญจริงๆ” นางว่า “ท่านชายต้องการดื่มชาสักถ้วยหรือไม่?”“พอแล้วคนแซ่จวิน” จูจั้นเอ่ยไม่สบอารมณ์ “รีบเอาของพิเรนทร์นี่ออกไป ข้ามามีเรื่องจะถามเจ้า”คุณหนูจวินหัวเราะ ลุกขึ้นลงจากเตียงเดินมาข้างหน้าต่างนางเดินช้ามาก ห่างจากหน้าต่างไกลไม่กี่ก้าวชัดๆ นางกลับเดินหน้าถอยหลัง ซ้ายก้าวหนึ่ง ขวาก้าวหนึ่ง เดินอย่างเชื่องช้าเวลานี้ท้องฟ้าค่อยๆ สว่าง ต่อมาแสงสีครามก็ส่องเห็นบนพื้นลวดเงินลวดทองกระจายอยู่ถี่ยิบ วางเป็นค่ายกลสี่เหลี่ยมอันหนึ่งคุณหนูจวินก็กำลังเดินผ่านในค่ายกลนี้ทีละก้าวๆ นี่เองจูจั้นกลอกตาในห้องของตนเองวางกลไกที่แม้กระทั่งตนเองยังต้องระมัดระวังไม่อาจเดินพลาดได้ไว้ ล่วงเกินคนมาเท่าไรถึงใช้ชีวิตเช่นนี้ว่าแล้วไม่ใช่คนปกติ“พูดเช่นนี้ไม่ได้ ข้าเป็นคนเก็บสมุนไพร เก็บสมุนไพรอันตรายยิ่ง” คุณหนูจวินเอ่ยเสียงอ่อนโยน มองจูจั้นทีหนึ่ง “ท่านชายก็รู้ ข้าไม่อาจไม่ระวังวังการป้องกัน”คนเก็บสมุนไพรจูจั้นแค่นหัวเราะ“เสร็จแล้ว เชิญนั่งเถอะ” คุณหนูจวินว่า เก็บลวดเงินลวดทองไป ชี้เก้าอี้โต๊ะที่อยู่ด้านข้างจูจั้นกระโดดลงมาจากหน้าต่าง ดูไปแล้วแรงนัก ลงพื้นกลับไร้สียงเขาไม่ได้นั่ง “สหายของข้าคนนั้นที่หัวไหล่เจ็บ มีโรคจริงหรือ?” เขาเอ่ยถามเข้าประเด็นเพื่อเรื่องนี้หรือ“แน่นอน ข้าเป็นหมอ ไม่หลอกลวงคนหรอก” คุณหนูจวินว่าจูจั้นหัวเราะหยัน“ไม่หลอกลวงคน?” เขาเอยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นคาบกิ่งไม้รักษาอาการเจ็บคอ คืออะไร?”คาบกิ่งไม้ครั้งแรกตอนพบกันบนเขาร้าง ระแวงกันและกันกลับช่วยเหลือกัน เขาที่คาบกิ่งไม้แบกตนเองลงเขาคุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว……………………………………….
คอมเม้นต์