Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 128 เฉลิมฉลองครั้งใหญ่ยามวันดีเวลามงคล
คุณชายสิบหนิงคนนี้พูดเก่งจริงๆ แม้บางครั้งคำที่พูดประหลาดไปบ้าง แต่ท่าทีของเขาดีมาก คนนิ่งสงบทั้งยังจริงใจ ไม่แปลกที่จะได้รับความนิยมขนาดนั้นที่หยางเฉิงไม่เหมือนกับความรู้สึกที่ตระกูลหนิงให้นางอย่างสิ้นเชิงคุณหนูจวินเม้มปากยิ้มอีกครั้งแต่ เขายังคงคิดมากไปแล้ว“ความหมายของข้าก็คือ ท่านเชื่อว่าพวกเขานี่เป็นรักแรกพบหรือไม่? คนเช่นนี้อย่างเขาจะมีรักแรกพบได้หรือ?” นางเก็บรอยยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นที่แท้ก็สงสัยพฤติกรรมของลู่อวิ๋นฉีเพราะตนเองบอกกับนางว่าชื่อโรงหมอจิ่วหลิงอาจนำเรื่องชื่อต้องห้ามมาสินะคนของร้านเวลานี้ร้องบอกว่าเต้าหู้ทอดของพวกเขาเสร็จแล้ว เพราะเสี่ยวติงกับหลิ่วเอ๋อร์ล้วนอยู่ด้านนอกหนิงอวิ๋นเจาจึงลุกขึ้นไปยกมาเอง“เรื่องรักชายหญิงเช่นนี้ เดิมทีก็เป็นเรื่องส่วนตัวอย่างยิ่ง ไม่ว่าใช่หรือไม่ใช่ ล้วนเป็นเรื่องของพวกเขา ไม่เกี่ยวกับพวกเรา ถูกหรือไม่?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น พลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดตะเกียบส่งให้นางคุณหนูจวินยิ้ม ขานตอบ รับตะเกียบก้มศีรษะรับประทานใช่ ไม่เกี่ยวกับเขา ไม่เกี่ยวกับตนเองแล้วด้วย แต่พี่สาว…“…แต่องค์หญิงจิ่วหลียังไม่แต่งงานเลย…หัวหน้ากองพันลู่คนนี้ก็มีผู้หญิงข้างนอกแล้ว…”“ใช่สิ นั่นเป็นถึงองค์หญิงเชียวนะ”“ก็ไม่ได้มีบอกไว้เสียหน่อยว่าผู้ชายขององค์หญิงจะเลี้ยงเมียน้อยไม่ได้”“แต่นี่น่า…ตบหน้ามากอยู่นา…”“…ยุ่งไม่เข้าเรื่อง ฮ่องเต้ยังไม่พูดเลย พวกเราจะพูดอะไรเล่า”เสียงถกเถียงข้างหูยังดำเนินต่อไปตบหน้า นี่ก็ไม่เรียตบหน้าอะไร ให้พี่สาวแต่งงานกับเขาอีกก็เป็นการตบหน้าพอแล้วแต่ตอนนี้เขาก็ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว หลอกองค์หญิงคนเดียวก็พอแล้ว องค์หญิงคนที่สองไม่จำเป็นแล้วอยากทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นเถอะคุณหนูจวินหยิบตะเกียบกินเต้าหู้ทอด ราวกับรู้สึกว่ายังไม่ถึงใจ จึงพับแขนเสื้อขึ้นเสียเลย หนิงอวิ๋นเจาเห็นเข้าก็ยิ้ม พับแขนเสื้อของตนขึ้นมาด้วย“ถูกปากไหม?” เขาเอ่ยถามคุณหนูจวินส่งเสียงรับพยักหน้า ใช้ตะเกียบคีบก้อนหนึ่งเข้ามาใส่เข้าปาก บนริมฝีปากเคลือบน้ำมันแวววาว เหมือนจะไม่ทันสนใจตอบบางครั้งการกระทำก็น่าเชื่อกว่าคำพูดมุมปากหนิงอวิ๋นเจายกขึ้นนิดๆ ไม่ได้เอ่ยถามอีก เริ่มกินคำใหญ่บ้าง“…แต่เรื่องนี้ยังไงก็ควรหลบบ้างไหม อีกสองวันก็งานแต่งงานแล้ว…”“…ใยต้องทำด้วย เลี้ยงไว้ในบ้านก็พอแล้ว ทำไมต้องพาออกมาอวดในเมือง…”“…นี่หากองค์หญิงจิ่วหลีรู้เข้าคงโกรธมาก…”คุณหนูจวินเงยหน้ายิ้มให้หนิงอวิ๋นเจา“อร่อยจริงๆ” นางว่า กินคำใหญ่คำหนึ่งแล้วก็ตามอีกคำหนึ่งอีกครั้ง ยัดจนเต็มปาก“ช้าหน่อย” หนิงอวิ๋นเจาอดไม่ได้เอ่ยขึ้น ส่งผ้าเช็ดหน้าให้นางโดยไม่รู้ตัวคุณหนูจวินถือโอกาสรับไปเช็ดมุมปากไปพลาง ยิ้มพยักหน้าไปพลางไม่ต้องกังวล พี่สาวไม่มีทางรู้หรอกประตูใหญ่วังไหวอ๋องไม่เคยเปิดออก แยกจากกันเป็นสองโลก ด้านนอกลมก็ดีฝนก็ดีสว่างก็ดี ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาวันที่ยี่สิบแปดเดือนหก ฟ้ายังไม่ทันสว่าง หออาคารหลังแล้วหลังเล่าล้วนห้อมล้อมอยู่ในแสงสีครามนี่เป็นพระราชฐานกำแพงแดงกระเบื้องเหลืองแห่งหนึ่งสวนลึก หรูหรางดงามเพียงแต่ตำหนักหลังนี้กลับเงียบสนิทราวกับดินแดนไร้คน บางทีคงเพราะยังคงหลบใหลอยู่กันหมดกระมัง แต่เวลานี้ก็มีคนตื่นแล้ว ทางเดินปูหินที่ปูด้วยอิฐลวดลายวิจิตรนานาสีสัน มีคนเดินอยู่ช้าๆนี่เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง กระโปรงสีขาวสะอาดสะบัดไหวตามการเดิน ราวกับฟองคลื่นเล็กละเอียดรูปร่างของนางสะโอดสะอง ขยับเดินทั้งอ้อนแอ้นทั้งสง่างาม แสงสีครามห้อมล้อมนาง เหมือนกับผ้าโปร่งคลุมอยู่ชั้นหนึ่งนางเดินอยู่บนทางเดินปูหินคนเดียว ไม่นานก็มาถึงตำหนักหลังหนึ่งประตูตำหนักเปิดออกแล้ว แต่ด้านในไม่มีสักคน โคมใต้ชายคาในห้องล้วนสว่างอยู่ ทว่าใต้แสงสีครามขมุกขมัวกลับแลดูมืดสลัวไม่สว่างนี่เป็นห้องครัว หญิงสาวเข้ามาม้วนแขนเสื้อขึ้น หยิบชุดกันเปื้อนด้านข้างที่แขวนอยู่ขึ้นมาสวม จุดเตา นำน้ำซุปที่เตรียมไว้ก่อนแล้วมาอุ่น หยิบชาม เทแป้ง รินน้ำ เริ่มนวดแป้งข้อมือเนียนผ่องที่เผยออกมาเรียวบาง แต่การกระทำกลับมีกำลัง ไม่นานแป้งสีขาวก็เปลี่ยนกลายเป็นก้อนแป้งด้วยมือของนาง ใส่น้ำมันเล็กน้อย นวดคลึงไม่หยุด ไม่นานก็มันวาวเนียนละเอียดพักก้อนแป้งที่นวดเสร็จแล้วไว้ นางเดินไปด้านหน้าโต๊ะอีกครั้ง หยิบผักตากแห้งเห็ดไชเท้ามาล้างหั่น ใส่เข้าไปในหม้อน้ำแกงต้ม แล้วหมุนตัวกลับมาหน้าชามแป้งเอาก้อนแป้งออกมาเริ่มแผ่แป้งแผ่นแป้งถูกไม้นวดนวดขยายออกไม่หยุด ดึงขึ้นพลิก พับ โรยแป้ง มีดตัดหมี่ที่ทั้งกว้างทั้งยาวส่งเสียงกระทบโต๊ะเป็นจังหวะ แผ่นแป้งถูกตัดอย่างเป็นระเบียบ วางมีดลงสลัดตามสบายทีหนึ่งเส้นหมี่เล็กละเอียดก็กระจายออกกลิ่นหอมของน้ำซุปในหม้อก็กระจายตามหม้ออีกใบหนึ่งต้มน้ำร้อนจนเดือด เส้นหมี่ใส่ลงไป หลังลวกเสร็จก็ช้อนขึ้นมา ได้ไม่มากไม่น้อยสองชาม ราดน้ำซุปที่เคี่ยวเสร็จแล้ว โรยต้นหอมผักชี วางชามน้ำแกงเข้าไปในกล่องอาหาร หญิงสาวก็ปลดชุดกันเปื้อน ปล่อยแขนเสื้อลง เดินถือกล่องอาหารออกไปเฉกเช่นเดียวกับยามมาท้องฟ้าสว่างแล้ว หมอกยามเช้าของฤดูร้อนสลายไปแล้ว หญิงสาวอายุน้อยเดินมาถึงด้านหน้าประตูเรือนแห่งหนึ่ง ยกมือผลักประตูเรือนไป เสียงประตูทำลายความเงียบสงบในเรือนหลังนี้ ได้ยินเสียงนี้ ประตูห้องถูกเปิดออก เด็กผู้ชายอายุเจ็ดแปดปีคนหนึ่งวิ่งออกมา“ท่านพี่” เขาร้องเรียกเสียงใส แสงอรุณส่องดวงตาแวววาวของเขา รวมถึงลักยิ้มสองข้างที่เผยออกมายามยิ้ม “หอมนัก”เมื่อเขาปรากฏตัวหน้าประตู หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าประตูก็เผยรอยยิ้มตาม ใต้แสงอรุณโฉมงามดุจภาพวาด ท่วงท่านิ่งสง่าดุจดอกกล้วยไม้ตูมยามวสันต์ฤดูกำลังจะแย้มบาน“จิ่วหรง ทำไมเจ้าไม่สวมรองเท้าเล่า” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยนเด็กชายแลบลิ้น ด้านหลังร่างหญิงรับใช้คนหนึ่งตามออกมา ท่าทางวิตกนิดหน่อยคำนับหญิงสาว“องค์หญิง” นางเอ่ย ในมือหิ้วรองเท้าคู่หนึ่ง “กำลังจะสวมเพคะ องค์ชายได้ยินเสียงรู้ว่าองค์หญิงมาแล้ว”หญิงสาว…องค์หญิงจิ่วหลีเดินเข้ามา“รีบสวมรองเท้า ล้างมือแล้วมาทานหมี่” นางเอ่ยขึ้นจิ่วหรงตอบรับ ยื่นมือให้หญิงรับใช้อุ้มกลับไปในห้อง ไม่นานก็ล้างหน้าเรียบร้อยวิ่งออกมาบนโต๊ะในห้องด้านข้างวางเส้นหมี่สองชามไว้เรียบร้อยแล้ว จิ่วหลีนั่งมองด้านนอกหน้าต่าง ได้ยินเสียงก็หันกลับมา“รีบมาทานเถอะ” นางว่าจิ่วหรงพยักหน้านั่งลง สูดลมหายใจลึกๆ ก่อน“ท่านพี่ หอมจังเลย หมี่อายุยืน[1]ที่ท่านพี่ทำเองอร่อยที่สุดแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นเสียงเบาใสจิ่วหลียิ้มละไมให้เขา ตนเองก็หยิบตะเกียบขึ้นมา“กินเถอะ” นางเอ่ยจิ่วหรงหยิบตะเกียบขึ้นมา สองพี่น้องนั่งกินหมี่ไม่พูดไม่จา แสงอรุณค่อยๆ สว่าง ในเรือนเริ่มมีคนเดินไปมา นี่เป็นขันทีรวมถึงนางกำนัลหลายคน“องค์หญิง ควรเตรียมแต่งตัวแล้ว” ขันทีที่เป็นหัวหน้ายิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นจิ่วหลีลุกขึ้น จิ่วหรงด้านข้างก็ลุกขึ้นด้วย อย่างไรก็เป็นเด็กน้อย สีหน้ายากจะปิดบังความกังวลจิ่วหลีดึงมือเขาไว้“ไป ไปแต่งหน้าจัดผมเป็นเพื่อนพี่” นางยิ้มเอ่ยขึ้นจิ่วหรงพยักหน้า เดินตามจิ่วหลีออกไป ขันทีนางกำนัลในเรือนคำนับพร้อมกัน“ยินดีกับพระราชพิธีมงคลสมรสขององค์หญิง”“ยินดีกับพระราชพิธีมงคลสมรสขององค์หญิง”เสียงแล้วเสียงเล่าดังออกไป เปลี่ยนวังอันเงียบสงบให้คึกคักขึ้นมาจิ่วหลีจูงจิ่วหรง มุมปากแย้มยิ้ม ร่างกายเหยียดตรงเดินผ่านพวกเขา เดินแช่มช้า…เสียงประทัดดังเปรี้ยงปร้างฉับพลันดังขึ้นบนถนนยามเช้าตรู่ คนที่เดินผ่านตกใจสะดุ้งโหยง สายตาของทุกคนมองไป ถึงสังเกตว่ามีร้านแห่งหนึ่งเปิดกิจการ“ทำอะไรน่ะ?”ผู้คนล้อมเข้ามาสงสัยใคร่รู้ มีคนชี้ป้ายบนประตูอ่านออกมา“โรงหมอจิ่วหลิง”“เป็นโรงหมอแห่งหนึ่งนี่เอง”หน้าประตูโรงหมอพนักงานสองคนรวมถึงหญิงสาวสองนางยืนอยู่ ประทัดจุดเสร็จ พนักงานสองคนก็วิ่งเข้าไปหยิบไม้กวาดเป็นต้นออกมาเตรียมปัดกวาดในเมื่อเป็นโรงหมอ ก็ไม่อาจร้องเชิญชาวบ้านอย่างกระตือรือร้นได้ แล้วก็ไม่อาจพูดขอให้ร่ำรวยๆ กับพวกเขาเช่นกัน เพราะฉะนั้นในเหตุการณ์จึงแลดูเงียบเหงายิ่งนักหญิงสาวสองคนก็ตามเข้าไปด้วย คนที่ล้อมดูอยู่มองอยู่ครู่หนึ่ง ร้านเปิดกิจการในเมืองหลวงทุกวันมากมายนัก ก็ไม่มีอันใดแปลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่แห่งนี้ทั้งไม่มีคนมาส่งของขวัญ แล้วไม่มีคนมาส่งซองแดง ไม่น่าสนใจล้วนแยกย้ายไป“วันนี้เป็นวันดีวันหนึ่งนะ”“วันนี้เป็นวันดีอะไร? เหมาะเปิดกิจการหรือ”“เหมาะแต่งงาน วันนี้เป็นวันแต่งงานขององค์หญิงจิ่วหลี”“โอ้ใช่ใช่ เร็วเข้าพวกเรารีบไปจองที่ดีๆ เฝ้าดู”เสียงพูดคุยครึกครื้นด้านนอกประตูสลายไป คุณหนูจวินด้านในห้องก็มองรอบด้านในห้องทีหนึ่ง“วันนี้เป็นวันดีวันหนึ่ง” นางเอ่ยขึ้นเช่นกัน“ใช่เจ้าค่ะ วันดีที่โรงหมอตระกูลเราเปิดกิจการ” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยคุณหนูจวินมองนางแล้วยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นพวกเรากินหมี่ชามหนึ่งเฉลิมฉลองกันเถอะ” นางว่ากินแค่หมี่หรือ? นี่นับเป็นการฉลองไหม?แต่คุณหนูดีใจก็พอแล้วหลิ่วเอ๋อร์พยักหน้า“เอาสิเจ้าคะ” นางเอ่ย……………………………………….[1] หมี่อายุยืน (寿面) ชาวจีนมีธรรมเนียมรับประทานหมี่เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองวันเกิด เรียกหมี่ในโอกาสนี้ว่า โซ่วเมี่ยน หรือ หมี่อายุยืน
คอมเม้นต์