Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 123 ผ่านทางเรียนถาม
ลู่อวิ๋นฉีเลี้ยงผู้หญิงแล้วยังเป็นตอนที่กำลังจะแต่งงานกับพี่สาวอีก?ไม่ต้องพูดถึงเวลานี้ก่อน..ลู่อวิ๋นฉีเลี้ยงผู้หญิง?เขาไม่ใช่คนประเภทนี้นี่ก่อนหน้านี้ฐานะตำแหน่งนี้ของเขา คนมากเท่าไรต้องการประจบเสนอหญิงงามให้เขา บางทีเขาก็ไม่เอา บางทีเขาก็ส่งต่อผู้อื่น ถึงขนาดยังนึกสนุกชั่วร้ายส่งผู้หญิงเหล่านี้ไปกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ ให้ลองฝึกเป็นสายลับมาใช้“นี่เป็นไปได้อย่างไร”บรรดาคนรถก็ล้วนพากันกดเสียงเบาเอ่ยขึ้นเช่นกัน“นั่นเป็นถึงองค์หญิงเชียวนะ”แค่เมียที่บ้านของตนรู้ว่าตนมองหญิงหม้ายข้างบ้านมากไปหน่อย ยังตีโพยตีพายโวยวายเลยคุณหนูจวินนั่งลงบนม้านั่งยาวตรงประตูองค์หญิง ที่จริงพวกนางนับเป็นองค์หญิงอันใด“เพราะอย่างนั้น ถึงบอกว่าหัวหน้ากองพันลู่ร้ายกาจไงเล่า” คนรถคนก่อนหน้าเอ่ยขึ้น กดเสียงเบา “ไม่หลอกพวกเจ้า ตอนนี้คนมากมายล้วนรู้แล้ว ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น เป็นลูกสาวตาเฒ่าตระกูลเฉียวของตรอกม่าวเอ่อร์”คำพูดนี้ออกมาคนรถที่อยู่ที่นั่นยิ่งตกตะลึงตรอกม่าวเอ่อร์ เป็นสถานที่ชุมนุมของช่างฝีมือ ส่วนมากล้วนเป็นครอบครัวยากจนคุณหนูจวินก็ตกตะลึงอยู่บ้างเหมือนกัน“ตาเฒ่าตระกูลเฉียว? ตาเฒ๋าเฉียวที่ขายน้ำชา?”“ลูกสาวของเขา”บรรดาคนรถพากันเอ่ยถาม“ใช่แล้ว เป็นลูกสาวคนที่สามของบ้านเขา” คนรถก่อนหน้านี้กระหยิ่มยิ้มย่องเอ่ยขึ้น “ตาเฒ่าเฉียวก้าวเดียวเหยียบขึ้นฟ้า หัวหน้ากองพันลู่ให้เงินมากเชียว ยังซื้อคฤหาสน์หลังใหม่หลังหนึ่งให้ครอบครัวพวกเขา ทั้งครอบครัวย้ายไปเสพสุขแล้ว”บ้านกับเงิน เป็นความฝันทั้งชีวิตของบรรดาคนรถเหล่านี้ ได้ยินล้วนอิจฉาอย่างยิ่ง“ลูกสาวคนที่สามบ้านตาเฒ่าเฉียวหน้าตาดีมากหรือ?”“ลูกชายสองคนของตาเฒ่าเฉียวน่าเกลียดปานนั้น..”“ก็ไม่ดีมากนักหรอก ข้าเคยเห็น ผอมผอมแห้งแห้ง ไม่มีอะไรเด่นเลย”“บางทีคงถูกรสนิยมของหัวหน้ากองพันลู่ละมั้ง”“เจ้าอิจฉาอะไร? ตอนนี้มีลูกสาวก็ยังทัน หัวหน้ากองพันลู่เพิ่งยี่สิบสามเอง”“เอาเมียเจ้าให้ข้าสิ…”คนกลุ่มหนึ่งเริ่มหัวเราะสนุกสนานพูดเหลวใหล คุณหนูจวินรั้งสายตากลับมาหันไปทางถนน คนยังคงนั่งอยู่บนม้านั่ง ตะลึงครู่หนึ่งก็หัวเราะแล้วตนเองตายแล้ว ฮ่องเต้ก็นั่งบัลลังค์มั่นคงแล้ว ชื่อเสียงโหดเหี้ยมของเขาก็สร้างขึ้นมาแล้วเช่นกันเรื่องราวใหม่ๆ มากมายเกิดขึ้นไม่ขาด เรื่องน่าสงสัยเกี่ยวกับการสืบราชบัลลังค์เหล่านั่นใครจะยังจดจำได้? แล้วก็ไม่มีใครสนใจเรื่องแพร่สะพัดพ่อค้าเร่แรงงานล้วนรู้หมดแล้ว เห็นได้ว่าเหิมเกริมไม่หวั่นเกรงคนก็ไม่ต้องเอาใจแล้ว ละครก็ไม่ต้องเล่นแล้ว อยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้น เป็นคนอย่างไรก็เป็นคนอย่างนั้น“ถ้าอย่างนั้น องค์หญิงคนนั้นรู้เข้าจะโกรธตายหรือไม่”เสียงหัวเราะเบาๆ ลอยมามือที่วางอยู่ด้านหน้าร่างของคุณหนูจวินกำแน่นพี่สาวไม่มีทางหรอก พี่สาวไม่มีทางเด็ดขาด หากโกรธตายได้ล่ะก็ ตอนที่ฮ่องเต้ให้นางแต่งกับลู่อวิ๋นฉีก็เพียงพอให้โกรธตายแล้วนั่นถึงเป็นความอัปยศนางคิดขึ้นมาเดินเข้าไป แต่ก็ไม่อยากขยับอีก เป็นเช่นนี้นั่งอยู่บนม้านั่งตัวนั้นหน้าประตูมองคนไปคนมาบนถนนหนิงอวิ๋นเจาบนถนนรั้งฝีเท้า ราวกับรู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสมก็ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง แต่เดินมาถึงที่นี่แล้ว สายไปหน่อยแล้วหรือไม่? ที่สำคัญมีธุระอะไรเล่า?ที่จริงก็แค่อยากดูว่านางย้ายไปหรือยัง แต่เรื่องนี้ให้เด็กรับใช้มาดูก็ได้ เขามาเช่นนี้ น่ากลัวว่าจะทำให้นางคิดมากแม้เป็นคนบ้านเดียวกัน แต่อย่างไรความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ก็กระอักกระอ่วนหนิงอวิ๋นเจารู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้างเขาเป็นคนคิดแล้วก็ทำเลยคนหนึ่ง ในเมื่อรู้สึกกระอักกระอ่วนถ้าเช่นนั้นก็หมุนตัวจากไปทันทีตอนที่หมุนตัวปลายหางตามองเห็นโรงเตี๋ยมแล้ว เด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยมสายตากำลังมองตรงมาที่เขาเช่นกันร่างกายของหนิงอว๋นเจาแข็งทื่อทันที ฝ่าเท้าชาในเวลาเดียวกัน เสียงเอะอะริมถนน คนไปคนมาข้างกายล้วนหายไป เหลือเพียงเด็กสาวที่มองข้ามมาคนนั้นนี่ บังเอิญ เกินไป แล้ว กระมังในใจเขามีเพียงประโยคนี้แวบเข้ามาแน่นอนว่ามีบทกวีมากมายพรรณนาความรู้สึกเวลานี้ได้ แต่หนิงอวิ๋นเจากลับใช้ถ้อยคำตรงไปตรงมาตื้นเขินเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะร่ำเรียนมาน้อยถึงเวลาใช้สำนึกเสียใจ แต่ตอนที่เรื่องเกิดขึ้น สิ่งใดก็คิดไม่ออกจริงๆคนรุ่นก่อนเหล่านั้นเขียนบทกวี ก็ไม่ใช่เขียนตอนที่ย้อนความทรงจำรึ คิดว่าเวลานั้นพวกเขาก็คงเป็นเช่นนี้ความรู้สึกนี้ราวกับเนิ่นนาน ความจริงเป็นเพียงชั่วพริบตา หนิงอวิ๋นเจาได้สติกลับมา ในเมื่อเห็นเข้าแล้วก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งมองไม่เห็น เขาเดินก้าวยาวประจันหน้ากับสายตาของเด็กสาวคนนั้นเข้าไป“คุณหนูจวิน” เขายิ้มแย้มเอ่ยขึ้น “บังเอิญขนาดนี้”คุณหนูจวินได้เสียงนี้เรียกสติกลับมา ตอนนี้ถึงมองเห็นหนิงอวิ๋นเจาที่ยืนอยู่ตรงหน้าบังเอิญขนาดนี้?ชั่วขณะนางมึนงงอยู่บ้าง“เมื่อครู่ข้ากับเหล่าสหายมาทานอาหารที่หอเต๋อเยว่ กำลังจะไปบ้านท่านอาของข้า” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ยขึ้น “ไม่คิดว่าเจ้าจะนั่งอยู่ตรงนี้”คุณหนูจวินได้สติกลับมาแล้ว ยิ้มแล้วคำนับ“ถ้าอย่างนั้นก็บังเอิญจริงๆ” นางว่าหนิงอวิ๋นเจายิ้ม“เจ้าทำไมนั่งอยู่ตรงนี้เล่า?”เขาเอ่ยถาม ในน้ำเสียงไม่เข้าใจอยู่บ้าง แล้วยังมีความตื่นเต้นอยู่บ้างไม่เข้าใจนี่เข้าใจได้อยู่ แต่ตื่นเต้นทำไม?แต่ได้ยินคำถามนี้ คิดได้ว่าทำไมตนเองนั่งอยู่ตรงนี้ ในใจคุณหนูจวินก็เศร้าขึ้นมานิดๆ“ก็แค่ นั่งตามใจ” นางว่าหลุบสายตาลงนางทำตามใจสินะ ไม่ใช่อยากลองดูว่าจะพบเขาไหมหรือรอเขาจะมาที่นี่ดูหน่อยไหมอย่างที่คิด…สินะอะไรเล่าแน่นอนย่อมไม่ใช่เขาคิดเหลวไหลอะไรหนิวอวิ๋นเจาพริบตาสีหน้าลำบากใจระหว่างคนทั้งสองไม่มีใครเอ่ยวาจาตกอยู่ในความเงียบความเงียบนี้พิกลนัก คนสองฝั่งล้วนมองมาด้วยสายตาสงสัยทีหนึ่ง หญิงชายอายุเท่านี้ สบตากันเงียบๆแบบนี้ แต่ไหนแต่ไรเวลาอย่างนี้ไร้เสียงชนะมีเสียง ทุกคนล้วนยิ้มอย่างเข้าใจอยู่เคลื่อนสายตาออกไปหนิงอวิ๋นเจาจับสังเกตสายตารอบด้านได้อย่างฉับไวความเงียบนี้ไม่ดี เขาอย่างไรก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง แน่นอนว่าไม่อาจให้เด็กสาวคนนี้รู้สึกลำบากใจได้“ถ้าอย่างนั้นก็บังเอิญจริงๆ” เขารีบเอ่ยขึ้นพูดไปในใจก็หงุดหงิดขึ้นมาอยู่บ้างนี่เรียกว่าคำพูดอะไร ทำให้บทสทนาดำเนินต่ออย่างสนุกสนานไม่ได้เสียหน่อยดังนั้นถึงพูดกันว่า คิดก่อนแล้วค่อยทำ คิดให้ดีว่าจะพูดอะไรถึงทำได้ คำพูดของปราชญ์ล้วนมีเหตุผลที่สุดคุณหนูจวินยิ้ม ได้สติกลับมาอย่างสมบูรณ์“ถ้าเช่นนั้น เจ้ามานั่งหน่อยไหม?” นางยิ้มเอ่ยถามหนิงอวิ๋นเจายิ้มส่ายศีรษะ“ไม่ล่ะ โอกาสหน้าเถอะ” เขาเอ่ยคุณหนูจวินขานรับทีหนึ่ง ยิ้มพยักหน้าหนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้ว กำลังจะหมุนตัวกลับก็ไม่หมุนไป“อ้อ ใช่แล้ว เจ้าจะอยู่ที่นี่ไปตลอดไหม?” เขาว่าคุณหนูจวินส่ายศีรษะ“วันมะรืนก็จะย้ายไปแล้ว ร้านแลกเงินด้านนั้นจัดการเสร็จแล้ว” นางว่า “ห่างจากที่นี่ไม่ไกล ซื้อบ้านด้านนั้นไว้หลังหนึ่ง”พูดพลางก็ยื่นมือชี้ข้ามไป พลางบอกตำแหน่งชัดเจนว่าหลังไหนกับเขาหนิงอวิ๋นเจาพยักหน้า“ข้ารู้แล้ว ตำแหน่งทางนั้นไม่เลว” เขายิ้มเอ่ยขึ้น “โอกาสดีย้ายบ้าน ข้าให้ซองแดงซองหนึ่งแล้วกัน”คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว“โอกาสย้ายบ้านช่างเถิด” นางว่าช่างเถิดหรือ? ก็ใช่…ก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นหนิงอวิ่นเจายิ้ม“แต่ โอกาสเปิดกิจการเจ้าให้ซองแดงสักซองย่อมได้” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยต่อเปิดกิจการ?หนิงอวิ๋นเจาอึ้งไป จากนั้นก็เข้าใจ“โรงหมอจิ่วหลิง?” เขาเอ่ยขึ้นดูท่าคุณชายหนิงจะรู้เรื่องทางหยางเฉิงมากทีเดียว โรงหมอจิ่วหลิงเขาก็รู้ด้วย? โรงหมอจิ่วหลิงเล่าลือกันมาถึงหยางเฉิงแล้วหรือ? หรือคนที่หรู่หนานไปตามหานาง ดังนั้นเลยแพร่ออกไปแล้ว?แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ ว่างๆ ไปถามดูสักคำก็รู้แล้วคุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า“ใช่แล้ว ข้ามาเมืองหลวงก็เพื่อเปิดโรงหมอจิ่วหลิง” นางว่าที่แท้เป็นเช่นนี้หนิงอวิ๋นเขาพยักหน้า บนหน้าแย้มรอยยิ้มก็ควรเป็นเช่นนี้นางมีวิชาแพทย์ดีเยี่ยมนี้ แล้วยังมีหัวใจกล้าหาญทรงคุณธรรมมีเมตตาดวงหนึ่ง ควรมาเมืองหลวงสร้างชื่อเสียงช่วยใต้หล้า“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเหลือเกินแล้ว” เขาว่า “วันไหนเปิดกิจการเล่า”“วันที่ยี่สิบแปดเดือนหก” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้นนางตอบอย่างเบิกบานยิ่งนัก บนหน้ายังมีรอยยิ้ม แต่ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือไม่ หนิงอวิ๋นเจารู้สึกว่านางไม่มีความสุขสักนิดคงจะเป็นเพราะดวงตานั่นเรียบสนิทแต่ไม่ว่าอย่างไร นี่ล้วนเป็นเรื่องที่ควรแก่การยินดีหนิงอวิ๋นเจาแสดงความยินดีอย่างจริงใจ“มีอะไรต้องการให้ข้าช่วยไหม?” เขาเอ่ยถามอีกครั้งวันนี้วันที่ยี่สิบสามเดือนหกแล้ว ห่างจากวันที่ยี่สิบแปดเดือนหกอีกไม่กี่วันแล้ว ไม่ใช่รีบเร่งเกินไปหน่อยรึ?แต่ในเมื่อต้องการเปิดโรงหมอ ย่อมต้องเตรียมพร้อมเรียบร้อยก่อนแล้ว อย่างไรคงไม่ใช่คิดขึ้นฉับพลันทันใดแต่ ถามสักหน่อยก็เป็นเรื่องสมควร ต่อให้เป็นคนไม่สนิทคนหนึ่งได้ยินเข้าก็ย่อมต้องพูดเช่นนี้เหมือนกันคำพูดตามมารยาทไหมเล่า ไม่มีความหมายอื่น ไม่มีทางทำให้คนคิดมาก……………………………………….
คอมเม้นต์