Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 122 ทำอะไรข้าได้
แน่นอนลู่อวิ๋นฉีย่อมมีบิดาแม้เป็นชายผู้ซื่อตรงทั้งชีวิตถูกเรียกว่าตาแก่ลู่ไม่มีคนเคยจดจำชื่อ ตายไปแม้กระทั่งโลงศพยังไม่มีใส่คนหนึ่งแต่ผู้ชายคนนี้ก็ทิ้งธงผืนน้อยตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพรสืบทอดให้ลู่อวิ๋นฉีก็เพราะเช่นนี้ ลู่อวิ๋นฉีถึงไม่อดตาย แล้วยังทำให้ชื่อของตนเองทุกคนล้วนรู้จัก ได้ยินชื่อพลันหัวหดด่าเขาไม่มีบิดา ด่าเขาเป็นเดรัจฉาน ก็คือด่าบิดาเขาเป็นเดรัจฉานไม่มีใครทนถูกคนด่าเช่นนี้ได้ ต่อให้เป็นเศษสวะที่ขี้ขลาดที่สุดตามถนน ก็ต้องหันหน้ามาถ่มน้ำลายบนพื้นแสดงความโกรธบรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่นั่นกำดาบในมือแน่น ขอเพียงลู่อวิ๋นฉีส่งสายตาทีหนึ่งก็จะลงมือช่างหัวจูจั้นมีใครเป็นบิดา ในสายตาพวกเขานอกจากฮ่องเต้ทุกคนล้วนเป็นแกะที่รอเชือดลู่อวิ๋นฉีมองจูจั้นสีหน้านิ่งสงบ แววตาไม่มีเปลี่ยนสักนิด“แน่นอนข้าย่อมรู้” เขาเอ่ยขึ้นบ้าง พูดจบก็เดินผ่านจูจั้นออกไปข้างนอกฝีเท้าของเขาราวกับแมว เหยียบพื้นไร้เสียง ทำให้ด้านในโถงใหญ่ยังคงเงียบไร้เสียงเหมือนเก่าแม้กระทั่งบรรดาองครักษ์เสื้อแพรก็ตอบสนองไม่ทัน มองเห็นลู่อวิ๋นฉีเดินออกไปหลายก้าวถึงรีบติดตามรองเท้าลายเมฆเหยียบพื้น ดาบปักวสันต์กระทบส่งเสียงตามจังหวะก้าวเดิน เสียงเคร้งคร้างทำลายบรรยากาศชะงักนิ่งของห้องโถงใหญ่…“ต่อจากนั้นเล่า?”หอเต๋อเยว่ชายหนุ่มหลายคนเร่งถามหนิงอวิ๋นเจาวางถ้วยชาลง“ต่อมาคดีนี้ก็สอบสวนถึงตรงนี้” เขาว่า “ตุลาการศาลต้าหลี่เขียนเอกสารการสอบสวนคดี กรมกลาโหม กรมสืบสวนฝ่ายเหนือ ต่างลงชื่อประทับตรายืนยัน ถวายฮ่องเต้รอการตัดสิน”บรรดาชายหนุ่มพากันโบกมือ“นี่แน่นอน”“ใครอยากถามเรื่องนี้”“จอมวายร้ายนั่นหนีไปแล้วจริงๆ”ทุกคนต่างเอ่ยถามวุ่นวายหนิงอวิ๋นเจาร้องอ้อทีหนึ่ง“เปล่า” เขาว่า “หัวหน้ากองพันลู่พาคนมารอด้านนอกศาลต้าหลี่ เมื่อจูจั้นเดินออกมา พวกเขาก็รุมเข้าไป ใช้กระสอบคลุมหัวเขาตีอย่างโหดเหี้ยมยกหนึ่ง”ผู้คนในห้องสีหน้าตะลึงงันเงียบกริบ“จริง จริงหรือ?” มีคนเอ่ยถามตะกุกตะกัก“ไม่จริง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้นบรรดาชายหนุ่มอึ้งจากนั้นก็พ่นเสียงหัวเราะ“เจ้าหมอนี่!”“อย่าแกล้งพวกเราสิ!”ทุกคนตบโต๊ะหัวเราะหนิงอวิ๋นเขาก็ยิ้มเล็กน้อยเช่นกัน“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร ก็เหมือนคดีที่ต้องสอบถึงตรงนี้ไม่มีทางจบได้ หัวหน้ากองพันลู่ก็ย่อมไม่มีทางตีกับบุตรชายเฉิงกั๋วกง” เขาว่าบรรดาชายหนุ่มพากันถอนหายใจ“มีบิดาดีคนหนึ่งไม่ยอมไม่ได้จริงๆ” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น “จอมวายร้ายถูกด่าเช่นนี้ยังทำอันใดไม่ได้”“ช่างสาแก่ใจคนจริงๆ จอมวายร้ายถูกยั่วโมโหตายแล้ว” อีกคนหนึ่งหัวเราะเอ่ยขึ้นหนิงอวิ๋นเจารินชาส่ายศีรษะ“นั่นก็ไม่แน่” เขาว่า “”ลู่อวิ๋นฉีคนนี้”เขาหยุดชะงักราวกับครุ่นคิดคำพูด“ตัวเขาเองยังไม่มองตนเองเป็นคน ยังจะสนใจผู้อื่นมองเขาอย่างไรได้อย่างไร”ก็ใช่ ก็เหมือนที่จูจั้นพูด ลู่อวิ๋นฉีคนนี้ยังไงก็เป็นเดรัจฉานคนหนึ่งจริงๆครั้งนั้นทรมานบีบขุนนางคนหนึ่งให้สารภาพ ลู่อวิ๋นฉีเอาหลานของผู้อื่นถ่วงลงในสระยิ่งไม่ต้องพูดถึงตลอดมาบอกจะฆ่าคนก็ฆ่า ไม่สนอีกฝ่ายเป็นขุนนางใหญ่โตหรือชาวบ้านธรรมดา ยิ่งไม่แบ่งแยกชายหญิงผู้เฒ่าลูกเล็กเด็กแดงบรรดาชายหนุ่มส่ายศีรษะ ไม่อยากพูดถึงขุนนางโหดเหี้ยมพวกเดียวกับโจวซิ่งไหลจวิ้นคนนี้อีก“ขุนนางโหดเหี้ยมเช่นนี้สุดท้ายย่อมไม่มีทางมีจุดจบที่ดี” พวกเขาเอ่ยขึ้นไม่ใช่ไม่ยอม เวลายังมาไม่ถึง ต่อให้สาปแช่งก็ทำอันใดไม่ได้หนิงอวิ๋นเจาดื่มน้ำชาจนหมด“เช่นนี้ก็ดียิ่งเหมือนกัน คนหนึ่งโอหังคนหนึ่งไร้หัวใจ ก็ให้พวกเขาคุมเชิงกันในเมืองหลวงไปเถอะ” เขาว่า“ไม่ว่าฮ่องเต้ตัดสินอย่างไร ท่านชายจูครั้งนี้ต้องการกลับทางเหนือก็ไม่ง่ายดายเช่นนั้นแล้ว” อีกคนหนึ่งพยักหน้าเอ่ยขึ้นนี่ถึงเป็นความต้องการแรกเริ่มขององค์ฮ่องเต้ แล้วก็เป็นเรื่องที่เดิมสมควรเป็น“ครั้งนี้เมืองหลวงคงครึกครื้นแล้ว” ผู้คนพากันดื่มชาในมือจนหมดเช่นกัน อาหารมื้อเช้ามื้อหนึ่งจบลง “แต่เรื่องครึกครื้นนี่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา เรื่องที่สำคัญที่สุดของพวกเราตอนนี้คือสองหูไม่ฟังเรื่องราวนอกหน้าต่าง จดจ่อเพียงอ่านตำราเหล่านักปราชญ์”นอกจากตำราของเหล่านักปราชญ์ ยังมีเรื่องหนึ่งติดค้างในใจหนิงอวิ๋นเจาเดินออกมาจากหอเต๋อเยว่บอกลากับเหล่าสหาย“ข้าจะไปบ้านท่านอาข้า” เขาว่าหนิงอวิ๋นเจามักจะไปบ้านหนิงเหยียน บรรดาสหายไม่ได้สนใจต่างแยกย้ายกันไปและเวลานี้นี้เองหัวถนนต้นสะพานร้านสุราโรงน้ำชาในเมืองหลวงล้วนกำลังพูดถึงการสอบสวนคดีครั้งนี้ของศาลต้าหลี่เพียงแค่คืนหนึ่งผ่านไป คำถามคำตอบที่ตอบโต้กันในศาลเวลานั้นก็แพร่ไปทั่วแล้วไม่เหมือนกับเหล่านักเรียนและบรรดาคนที่เป็นขุนนางแล้วสนใจ ผู้ตรวจการหูถูกชนคว่ำตกแม่น้ำเล่ากันจนไม่มีอะไรเล่าแล้ว ไม่ดึงดูดผู้คนแล้ว เรื่องจูจั้นเป็นเจ้าของที่แท้จริงของแผนที่เดินทางเยือนในเมืองหลวงแม้ทำให้ทุกคนประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไรที่ทำให้บรรดาชาวบ้านตื่นเต้นไม่หายแท้จริงย่อมเป็นบุตรชายเฉิงกั๋วกงด่าลู่อวิ๋นฉีเดรัจฉานประโยคนั้นหลักเหตุผลลึกซึ้ง ขุมอำนาจเบื้องหลัง ความในใจของฮ่องเต้อันใด พวกเขาล้วนไม่สนใจยังมีอะไรน่าสนุกยิ่งกว่าได้เห็นคนโฉดชั่วเสียท่าอีก“บุตรชายเฉิงกั๋วกงคนนี้แม้มาเมืองหลวงไม่มาก แต่ครั้งไหนๆ ล้วนชื่อสะเทือนเมืองหลวง”“ตอนนั้นเป็นถึงคนที่ตีแม้กระทั่งองค์ชาย”“ลู่…ใต้เท้าลู่ที่ไม่มีชาติกำเนิดไม่มีครอบครัวคนหนึ่ง เขาย่อมไม่กลัว”เหล่าแรงงานที่นั่งยองถือน้ำแกงชาอยู่ตรงหัวสะพานหลายคนหัวเราะพูดกันจูจั้นคนนี้ยังคงไปที่ไหนก็ล้วนก่อเรื่องครึกโครมจริงๆ คุณหนูจวินยิ้มเล็กน้อย วางเงินหลายอีแปะไว้บนโต๊ะลุกขึ้นยืน“คุณหนูเดินทางปลอดภัยนะขอรับ” เฒ่าแก่เพิงน้ำชารีบเอ่ยลาคุณหนูจวินเดินผ่านกลุ่มคนครึกครื้นที่หัวสะพานเดินไปด้านนอกเมืองการสืบข่าวคราวที่เมืองหลวงสะดวกมากและรวดเร็วมากเช่นกันก็ใช่ เฉิงกั๋วกงมีบุตรชายคนนี้คนเดียว ในเมื่อยอมให้เขากลับมาเมืองหลวง ย่อมเตรียมพร้อมไว้รอบด้านแล้ว ส่วนจูจั้นคนผู้นี้ดูแล้วเรื่อยเฉื่อยไม่เอาการเอางาน ที่จริงแล้วเป็นคนความคิดอ่านละเอียด ไม่ต้องกังวลใจมีบิดาคนหนึ่งเช่นนี้ช่างดีจริงมีครอบครัวอยู่ช่างดีจริงความรู้สึกที่ถูกครอบครัวรักและปกป้องช่างดีจริงๆคุณหนูจวินหยุดฝีเท้าหันกลับไปอยากมองไปทางที่วังหลวงตั้งอยู่ไม่เหมือนพวกนาง โดดเดี่ยวลำพังสามคนจูจั้น ยังไงก็อิจฉาเขาอยู่นิดๆ จริงๆ นะ“…นั่นแล้วอย่างไรอีก หัวหน้ากองพันลู่ยังไงก็ร้ายกาจที่สุด…ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็จะแต่งงานกับองค์หญิงจิ่วหลีแล้ว…”เสียงวิจารณ์ด้านข้างลอยเข้าหูคุณหนูจวิน ขัดความคิดล่องลอยของนางเวลานี้นางเดินมาถึงด้านอกโรงเตี๊ยมที่พักอยู่แล้ว ตรงประตูโรงเตี๊ยมคนรถหลายคนกำลังคุยเล่นอยู่ใช่สิ อีกไม่กี่วันพี่สาวก็จะแต่งงานแล้วคุณหนูจวินยกเท้าก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยม รู้สึกว่าเท้าหนักเหมือนทองพันชั่ง“…แต่งองค์หญิงแล้วอย่างไร ก่อนหน้านี้ก็แต่งไปแล้วคนหนึ่ง แต่งองค์หญิงนี่ก็ไม่ได้แสดงว่าเขาร้ายกาจมากเท่าไร…”“แต่งองค์หญิงยังไม่ร้ายกาจ? ถ้าอย่างนั้นอะไรร้ายกาจ?”คนรถที่ถูกถามไม่ได้ตอบทันที แต่ยิ้มมีเลศนัย กดเสียงเบาลง“ก่อนหน้าแต่งองค์หญิง ยังเลี้ยงผู้หญิงตามใจได้ นี่ถึงร้ายกาจที่สุด…”เลี้ยงผู้หญิง?คุณหนูจวินหยุดฝีเท้า ตกตะลึงนิดๆ มองคนรถไม่กี่คนนี้ลู่อวิ๋นฉีหรือ?เป็นไปได้อย่างไร?……………………………………….
คอมเม้นต์