Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 121 มีคำพูดข้าก็พูดต่อหน้า
เสียงเอะอะในห้องฉับพลันดังขึ้น ฉับพลันก็เงียบลงดังขึ้นเพราะชายหนุ่มคนนั้นชูแขนร้องตะโกน เงียบลงก็เพราะว่าชายหนุ่มคนนั้นยกมือโบกทีหนึ่งบนหน้าบรรดาแม่ทัพทหารความตื่นเต้นยังไม่ทันสลาย ในแววตายังคงเป็นประกาย หน้าอกของพวกเขาพองขึ้นยุบลงอย่างรุนแรง เหมือนกับเวลานี้ขอเพียงจูจั้นโบกมือไปข้างนอกทีหนึ่ง พูดว่าไปฟันโจรชาวจินฝูงนั้นกันเถอะทุกคนก็จะไม่ลังเลสักนิดยกดาบโดดขึ้นม้าพุ่งออกไปแน่นอนจูจั้นย่อมไม่ทำเช่นนั้น เขาคำนับให้ใต้เท้าที่ประชุมสอบสวนสามท่านซึ่งนั่งอยู่บนแท่นสูง“แน่นอน ไม่อาจปฏิเสธว่าตอนเริ่มต้นข้าต้องการใช้สิ่งนี้หาเงินนิดหน่อยจริงๆ” เขาเอ่ย มองรองเจ้ากรมกลาโหม “ใต้เท้าหวงท่านคงยังจำได้ เวลานั้นพอดีช่วงหลงตง[1] งบทหารก้อนหนึ่งของพวกเราแถบเหนือเพราะเหตุผลนานานัปการไม่ส่งมาถึงสักที เหล่าพี่น้องอย่างไรก็ไม่แม้กระทั่งอาหารก็ไม่มีกินเสื้อผ้าหน้าหนาวก็ไม่มีใส่ได้กระมัง”บนหน้าของรองเจ้ากรมกลาโหมติดจะเสียใจความจริงแล้วเขาไหนเลยจะจำได้ว่าเวลาใด เพราะเรื่องงบทหารล่าช้าเป็นเรื่องที่เห็นบ่อยเหลือเกิน ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นการล่าช้าที่ตั้งใจ อย่างไรจะใช้เงิน ขั้นตอนที่จำเป็นต้องขออนุมัติก็มากเหลือเกิน กรมการคลังบอกไม่มีเงิน แล้วจะทำอย่างไรได้“ทำให้พวกท่านลำบากแล้ว” เขาเอ่ยปาก “งบทหารของช่วงเข้าหน้าหนาวปีนี้ผ่านเดือนหกจะจ่ายไป”เขาชะงักนิดหนึ่ง“แผนที่นี่ อย่างไรก็เป็นเงินเล็กน้อย ทั้งยังไม่ถูกกฏเกณฑ์ ทีหลังยังไงก็อย่าทำอีกเลย”จูจั้นรับคำ“เดิมทีก็จะไม่ทำแล้ว” เขาว่า ผายมือทำหน้าบริสุทธิ์ “แต่สิ่งนี้แม้ดูไปแล้วเป็นเงินเล็กน้อย แต่คนที่ต้องการได้เงินเล็กน้อยมากนัก นอกจากนี้แผนที่แบบนี้ก็ง่ายมากอีก รู้ตัวหนังสือไม่กี่ตัวเขียนไม่กี่ทีก็ทำออกมาได้แล้ว ข้าก็จนปัญญา การค้าของพวกเราโดนแย่งเสียแล้ว”ตุลาการศาลต้าหลี่ในใจหัวเราะฮ่ะฮ่ะ คนที่แย่งการค้าขายของท่านน่ากลัวว่าคงมีไม่มากแต่เรื่องมาถึงวันนี้ ท่านยอมรับเรื่องนี้กับปากและสัญญาว่าหลังจากนี้จะไม่ทำแล้วก็พอแล้ว ส่งให้ฝ่าบาทตัดสินเถอะ“ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็พอเท่านี้ชั่วคราว รอข้าไล่เรียงข้อกฏหมายค่อยให้ฝ่าบาทตัดสินลงโทษ” เขาเอ่ย มองซ้ายขวาสองด้าน “ใต้เท้าหวง หัวหน้ากองพันลู่ พวกท่านว่าเช่นนี้ได้หรือไ?”รองเจ้ากรมกลาโหมย่อมไม่มีความเห็น ลู่อวิ๋นฉีก็ดุจดั่งรูปปั้นดินองค์หนึ่ง“ถ้าเช่นนี้ก็แบบนี้!” ตุลาการศาลต้าหลี่ตบไม้ปลุกสติทีหนึ่งปิดคดี “ถ้าอย่างนั้น…”“ช้าก่อน” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งเอ่ยปากออกมา มองจูจั้น “บุตรชายแห่งเฉิงกั๋วกงท่านผลักรถม้าของผู้ตรวจการหูลงแม่น้ำยังไม่ได้อธิบายเลยนะ”พูดขึ้นมาที่ฮ่องเต้ต้องการให้บุตรชายเฉิงกั๋วกงมาเมืองหลวง ต้นเหตุก็เพราะเขาโยนผู้ตรวจการที่เมืองหลวงส่งไปแถบเหนือลงแม่น้ำ ผู้ตรวจการหูทั้งชีวิตไม่เคยถูกหยามหมิ่นเช่นนี้ โกรธจนออกจากแถบเหนือไปเดี๋ยวนั้น ร้องไห้กับฮ่องเต้ขอลาออกฮ่องเต้ตั้งคำถาม บุตรชายเฉิงกั๋วกงกัดฟันบอกท่าเดียวว่าแจ้งข่าวด่วนทางการทหารไม่ตั้งใจชน“เรื่องนี้หรือ” จูจั้นเอ่ยขึ้น มองคนของกรมกลาโหม “ไม่ใช่จบไปแล้วรึ?”รองเจ้ากรมกลาโหมตอนนี้ถึงทำท่าฉุกคิดอะไรขึ้นได้ ตบหน้าผากทีหนึ่ง“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้าลืมไปเลย” เขาหันไปบอกกับลู่อวิ๋นฉี “หัวหน้ากองพันลู่ เป็นแบบนี้ ช่วงก่อนหน้านี้ตอนพวกเราได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบ ผู้ตรวจการหูบอกแล้วว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด ตอนนั้นเขาดื่มสุรา เมาหนัก จำผิดแล้ว”อะไร?ตุลาการศาลต้าหลี่สีหน้าอึ้ง แม้กระทั่งองครักษ์เสื้อแพรที่อยู่ที่นั่นล้วนทำหน้าราวกับเห็นผีแบบนี้ก็ได้?เฉิงกั๋วกงสามารถจริงๆ นะ ผู้ตรวจการหูยังถูกกล่อมได้ตุลาการศาลต้าหลี่ในใจถอนหายใจอีกครั้งมิน่ากล้าให้บุตรชายถูกส่งมาถึงเมืองหลวง นี่จัดการไว้เหมาะสมหมดแล้ว“ใช่แล้ว พวกเรายังไม่ทันได้รายงาน รอท่านชายมาแล้วสอบทานก่อนค่อยสรุปสำนวนปิดคดี” รองเจ้ากรมกลาโหมมองตุลาการศาลต้าหลี่อีกครั้ง “ผู้ตรวจการหูบอกว่าท่านชายตอนนั้นบอกเขาชัดเจนแล้วว่ามีกิจทางการทหารเร่งด่วนต้องส่งข่าว เขาก็กำลังจะหลีกทางแล้ว แต่เพราะดื่มมากไปยืนไม่มั่นคง ผลสุดท้ายตกลงไปในแม่น้ำ ยังเป็นท่านชายช่วยเขาขึ้นมา”เขาพูดแล้วก็ยกมือให้ผู้คนของกรมกลาโหมที่ยืนอยู่ข้างล่าง“ไปเชิญผู้ตรวจการหูมา”บรรดาทหารข้างนอกห้องโถงรับคำ กำลังจะไป ลู่อวิ๋นฉีลุกขึ้นยืน“ไม่ต้องแล้ว” เขาเอ่ยนี่เป็นประโยคแรกที่เขาพูดหลังเข้ามา คนทั้งหมดล้วนหยุดมองเขาลู่อวิ๋นฉีมองจูจั้น จากด้านบนแท่นอ้อมโต๊ะหลายตัวเดินลงมาจูจั้นก็มองเขาลู่อวิ๋นฉีบนหน้าเรียบเฉย ส่วนจูจั้นมีรอยยิ้ม แต่คนทั้งหมดรู้สึกว่าบรรยากาศราวกับเงื้อดาบง้างธนูอยู่บ้างลู่อวิ๋นฉีเดินไม่หยุดมาถึงตรงหน้าจูจั้นจึงหยุดลง“คำถามสุดท้าย” เขาเอ่ยขึ้น “หัวหน้าของคนตัดฟืน เป็นใคร?”คนตัดฟืนผู้คนได้ยินเข้าสีหน้าอึ้งไปพริบตาหนึ่ง แต่ก็คิดขึ้นมาได้ในทันที อย่างไรสำหรับกรมกลาโหมแล้ว คนตัดฟืนก็เป็นพวกที่ทำให้คนปวดหัวพวกหนึ่งขบถใจกล้า แม้สังหารศัตรูได้ แต่ที่สุดก็ไม่ใช่พวกที่พวกเขาควบคุมได้เหมือนกับดาบเป็นดาบดีเล่มหนึ่ง แต่ดาบนี้ไม่ได้กำอยู่ในมือตน นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องที่ทำให้คนดีใจ แต่เป็นเรื่องที่ทำให้คนไม่เบิกบานอยู่บ้างแล้วคำถามนี้ของลู่อวิ๋นฉีฟังดูแล้วน่าสนใจสายตาของผู้คนหยุดบนร่างของจูจั้นจูจั้นหัวเราะแล้ว“ข้าก็อยากรู้มากเหมือนกัน” เขาว่า สีหน้าจริงจัง “เพียงแต่น่าเสียดายพวกเขาไม่ชอบพวกเราที่เป็นทหารเหล่านี้ ดังนั้นพบหน้ายากนัก แต่ข้าได้ยินมาว่าหัวหน้าของพวกเขาเป็นผู้นำที่ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก หัวใจกว้างขวางดุจทุ่งหญ้า แม้เขาไม่อาจตัดฟืนได้ด้วยตนเอง แต่ในสายตาของทุกคนกลับเป็นคนตัดฟืนที่ยอดเยี่ยมที่สุด ดีที่สุด”นับถือและชื่นชมอย่างจริงใจเช่นนี้ ไม่ได้ปิดบังเพราะคนตัดฟืนเป็นที่หวั่นเกรงของราชสำนักและกองทัพลู่อวิ๋นฉีมุมปากขยับแล้ว นี่คือเขากำลังยิ้ม แม้ไม่ได้เจิดจ้าเช่นนั้นอย่างรอยยิ้มของจูจั้น แต่ก็ทำให้หน้าของเขาอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อยอยู่บ้าง“ท่านไม่ใช่คนตัดฟืนคนหนึ่งหรือ?” องครักษ์เสื้อแพรด้านข้างมองเข้าใจรอยยิ้มของเขา พูดขึ้นทันที “ต้องการให้พวกเราหยิบพยานบุคคลพยานหลักฐานมาไหม?”จูจั้นหัวเราะ ราวกับกระดากอายอยู่บ้าง“ไม่ต้อง ไม่ต้อง” เขาเอ่ยขึ้น “ไม่ผิดข้าเคยพูดว่าข้าเป็นคนตัดฟืน…”“เคยทำ ไม่ใช่เคยพูด” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยรับคำพูดของเขาจูจั้นกลอกตาใส่เขา“ใช่สิ คนตัดฟืนเท่ขนาดนั้น ข้าย่อมต้องไปลองดูบ้าง แต่ข้าห่วยเกินไป พวกเขาไม่ยอมให้ข้าลงสนามสักนิด แม้กระทั่งรังของพวกเขาก็ไม่ได้แตะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพบหัวหน้าเลย” เขาว่า “ยังไงพวกเจ้าถามมาข้า ข้าก็ไม่รู้ อยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้นเถอะ”เขาห่วย ยังห่วยเกินไปอีกหรือ?หนีรอดจากมือองครักษ์เสื้อแพรได้ ถ้าเช่นนั้นคนตัดฟืนพวกนั้นต้องร้ายกาจมากเท่าใดกันบรรดาองครักษ์เสื้อแพรสีหน้ายิ่งไม่น่าดูนี่จงใจเยินยอผู้อื่นเหยียบย่ำพวกเขางั้นสิฝ่ายตุลาการศาลต้าหลี่ทนไม่ไหวยกมือแตะขมับคำถามแรกกลายเป็นเขามีเหตุผลหนักแน่น คำถามที่สองกลายเป็นความเข้าใจผิด คำถามที่สามนี่กลับตอบปลิ้นปล้อนแล้วจะทำอะไรได้เล่า?อย่างไรศาลต้าหลี่ก็เพียงถามคำถาม ท้ายที่สุดทำอย่างไรให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยเถอะ“ใต้เท้าหวง ใต้เท้าลู่ พวกท่านว่าเรื่องนี้…” เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้น“เรื่องนี้ก็ให้เป็นเช่นนี้เถอะ” ลู่อวิ๋นฉียากจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง มองยังไม่มองตุลาการศาลต้าหลี่สักที เพียงแค่มองจูจั้นจูจั้นยิ้มให้เขา“ถ้าเช่นนั้นจะบอกว่าใต้เท้าลู่ท่านย่อมปล่อยข้าแล้ว?” เขาเอ่ยขึ้นลู่อวิ๋นฉีก็ยิ้ม ก้าวเข้าไปข้างหน้าอีกก้าว“เจ้ารู้ไหมทำไมข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้?” เขากดเสียงเบาเอ่ยขึ้น “เพราะเจ้ามีบิดา”จูจั้นมองเขาหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง“ข้าย่อมรู้” เขาหัวเราะเอ่ยขึ้น เมื่อเก็บเสียงหัวเราะไปได้ก็กดเสียงเบาเอ่ยขึ้น “เจ้ารู้ไหมทำไมตอนนี้เจ้าจองหองเช่นนี้ได้?”ลู่อวิ๋นฉีเพียงมองเขา“เพราะเจ้าไม่มีบิดา” จูจั้นกดเสียงเบา เอ่ยคำหนึ่งเว้นจังหวะหนึ่ง “คนที่ไม่มีบิดาคนหนึ่ง ไร้ศีลธรรม ไร้ความเป็นมนุษย์ เดรัจฉาน เดรัจฉาน ย่อมจองหองพองขนได้”พวกเขาแม้กดเสียงเบาเอ่ยกัน แต่ในโถงใหญ่เงียบสนิทไร้เสียง เสียงกดเบานี่จะเบาไปถึงไหนได้ในห้องโถงใหญ่เงียบกริบ บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ชะงักนิ่งอีกครั้ง……………………………………….[1] หลงตง (隆冬) ช่วงเวลาที่หนาวที่สุดในปี
คอมเม้นต์