Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 106
สาวน้อยชงชา!เด็กหนุ่มในห้องล้วนอึ้งไปจากนั้นสีหน้าตื่นเต้นนี่เป็นข่าวใหญ่เหนือความคาดคิดอันหนึ่งจริงๆ“นี่มันเรื่องอะไรกัน? สานต่อรักเก่าหรือแรกพบชมชอบ?”“ข้ารู้สึกว่าเป็นรักเก่า หัวหน้ากองพันลู่คนนี้ฐานะไม่ใช่ยากจนหรือ? ไม่แน่อาจเป็นเพื่อนสมัยเด็กกับสาวน้อยชงชาก็ได้”“ใช่ใช่ใช่ เป็นไปได้ หัวหน้ากองพันลู่คนนั้นเพื่ออนาคตการงานไม่อาจไม่สู่ขอองค์หญิงจิ่วหลิง ตอนนี้องค์หญิงจิ่วหลิงไม่อยู่ก็ไม่มีใครขวางพวกเขาได้แล้ว”“ไม่ใช่ยังมีองค์หญิงจิ่วหลีหรือ?”“พูดว่าเป็นองค์หญิงคนหนึ่ง เฮ้อ ก็ไม่นับว่าเป็นองค์หญิงคนหนึ่งแล้ว”“แต่ไม่ว่าอย่างไร ทำเรื่องเช่นนี้เวลานี้ตอนที่กำลังจะแต่งงานก็เหิมเกริมเกินไปแล้วเหมือนกัน”“เดิมทีก็เหิมเกริมอยู่แล้วไหม”ในห้องพากันถกเถียง ไม่ว่าพูดอย่างก็ล้วนเป็นคนหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าปีที่ตรากตรำอ่านหนังสือบ้าคลั่งเพื่อการสอบใหญ่ปีหน้า ยากนักจะออกมาพักผ่อนสักวัน ทั้งยังเกี่ยวข้องไปถึงขุนนางทรงอำนาจในราชสำนัก ความรักชายหญิงย่อมสนใจอย่างยิ่ง“พวกเจ้าระวังหน่อย” เสียงของหนิงอวิ๋นเจาดังขึ้นท่ามกลางความคึกคักผู้คนหันหน้ามองไป เห็นหนิงอวิ๋นเจากำลังชงชาอยู่ เวลานี้กำลังนำผงชาร่อนลงในน้ำ สีหน้าผ่อนคลาย“ข้ารู้สึกว่าเรื่องเกี่ยวกับหัวหน้ากองพันลู่คนนี้ยังไงถกเถียงน้อยไว้ดีกว่า หลีกเลี่ยงนำปัญหามา” เขาเอ่ยขึ้น “อย่าโชคร้ายเหมือนกัวเหล่าหนูคนนั้น”ท่านอาของหนิงอวิ๋นเจาคือหนิงเหยียน ฐานะตำแหน่งไม่ธรรมดา คำพูดที่เขาพูดมักจะมีความนัยมากมายเสมอบรรดาสหายสบตากันทีหนึ่ง“อวิ๋นเจา ควาหมายของเจ้าคือเรื่องนี้หัวหน้ากองพันลู่ทำจิรงๆ?” สหายคนหนึ่งเอ่ยถามหนิงอวิ๋นเจารินชาออกมาทีละถ้วยๆ“ข้าเพียงรู้สึกว่า” เขาเงยหน้ายิ้มเอ่ยขึ้น “ต่อให้เป็นสุนัขบ้าตัวหนึ่งก็ไม่มีทางกัดคนผู้หนึ่งโดยไร้ต้นสายปลายเหตุ ไม่คนผู้นี้หาเรื่องเขา ไม่เช่นนั้นก็เบื้องบนมีคำสั่ง อย่างน้อยที่สุดก็เป็นคนผู้นี้เดินไปถึงตรงหน้าเขา หรือกล่าวได้ว่าบนโลกนี้ไม่มีความรักที่ไร้ต้นสายปลายเหตุและไม่มีความแค้นที่ไร้ต้นสายปลายเหตุ อย่างไรก็ต้องมีเหตุผลอยู่เสมอ”บรรดาสหายพยักหน้า“ถ้าอย่างนั้นตามที่เจ้าว่า หัวหน้ากองพันลู่คนนี้เวลานี้เลี้ยงเมียเก็บไว้คนหนึ่ง สาเหตุคืออะไรอีกเล่า?” มีคนยิ้มเอ่ยถาม“ไม่ว่าสาเหตุอะไร เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา ไม่ต้องเข้าใจ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้นคำพูดนี้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าเหล่าสหายสลายไป“ถ้าอย่างนั้นตามที่พี่หนิงพูดเช่นนี้” เขาอ่ยขึ้น วางถ้วยชาในมือลง “พบพานเรื่องลำบากไม่เกี่ยวข้องกับตนจะชักภัยสู่ตนก็ต้องมองเห็นแสร้งไม่เห็นได้ยินแสร้งไม่ได้ยินรึ? ถ้าอย่างนั้นพวกเราร่ำเรียนหนังสือเพิ่มพูนความรู้สอบเข้าเป็นขุนนางยังจะเพื่ออะไรเล่า?”แม้เป็นสหาย แต่เด็กหนุ่มนั่งถกเถียงกันก็เป็นเรื่องที่มีเป็นประจำทุกคนค่อนข้างสนใจคำตอบของหนิงอวิ๋นเจาแม้บรรยากาศไม่ได้เคร่งเรครียด แต่คำตอบของหนิงอวิ๋นเจาก็ส่งผลกับมุมมองและความรู้สึกที่ทุกคนมีต่อเขาเช่นกัน อย่างใกล้ก็ส่งผลกับความใกล้ชิดห่างเหินในความสัมพันธ์กับเขาหลักการต่างกันไม่คบหากันก็คือหลักการนี้ กรีดเสื่อตัดสัมพันธ์ก็เป็นเรื่องที่คนหนุ่มมักจะมีเช่นกันหนิงอวิ๋นเจายิ้ม วางอุปกรณ์ชงชาในมือลง สีหน้าจริงจังเอ่ยตอบ“แน่นอนว่าไม่ใช่” เขาเอ่ยขึ้น “ความหมายของข้าคือพบพานความลำบากก็คิดวิธีการคลี่คลายความลำบาก แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องปกป้องตนเองด้วย อย่าได้ปณิธานแรงกล้าแต่ไร้ผลตัวตายเสียก่อน เช่นนี้ไม่อาจคลี่คลายปัญหาได้”“ข้าเข้าใจแนวคิดของเจ้า ข้าก็รู้ว่าวิธีการเช่นนี้เป็นวิธีที่คนมากมายขุนนางมากมายล้วนยอมรับ แต่ข้าก็นับถือคนเหล่านี้ผู้รู้ชัดว่าทำไม่ได้ก็ยังทำ ยินดีใช้ความตายของตัวเป็นเครื่องเตือนคนบนโลก” สหายเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึมหนิงอวิ๋นเจาพยักหน้า“ข้าก็นับถือ” เขาเอ่ยจึ้น “วิธีการของข้าเป็เพียงวิธีการของข้า ข้าไม่ได้มองว่าวิธีการของข้าถูก แล้วก็ไม่ได้มองว่าวิธีการของคนอื่นก็คือผิด ถูกผิดปราชญ์เท่านั้นถึงตัดสินได้ ข้าหาใช่ปราชญ์ไม่”เขายิ้ม“ความหมายของข้าคือ หัวหน้ากองพันลู่จะคะนึงถึงรักเก่าเพื่อนสมัยเด็กก็ดี ละโมบหญิงงามมัวเมาโลกีย์ก็ดี นี่สุดท้ายก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาคนเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของบ้านเมือง”เขาเอ่ยต่อ“ในเมื่อเขากล้าทำเรื่องเช่นนี้ออกมาย่อมต้องไม่กลัวถูกคนรู้ ส่วนฮ่องเต้เห็นได้ชัดว่าก็ไม่สนพระทัย พวกเรานำคุณธรรมส่วนตัวเรื่องนี้มาโจมตีเขาก็ไม่ได้ทำร้ายเขาได้อย่างใด ตรงกันข้ามกลับจะทำให้พวกเราตกอยู่ในอันตราย ข้ารู้สึกว่านี่น่าเสียดายและไม่คุ้มค่าไปอยู่บ้าง”“ไม่เพียงข้าจะคิดเช่นนี้ หัวหน้ากองพันลู่คนนี้เห็นได้ชัดว่าเข้าใจหลักการนี้เช่นกัน ดังนั้นพวกเจ้าลองคิดดู ตลอดมาจัดการกับใครเขาก็ไม่เคยเอาศีลธรรมส่วนบุคคลบกพร่องของคนผู้นั้นมาใช้”“อย่างเช่นกัวเหล่าหนู กัวเหล่าหนูเพราะทำเรื่องละเลยหน้าที่ผิดกฎ ตอนนี้ไม่พูดถึงเรื่องนี้เป็นจริงหรือหัวหน้ากองพันลู่สร้างขึ้น อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมศีลธรรมส่วนตัว แต่เกี่ยวข้องกับกฎความรับผิดชอบ ดังนั้นจึงถูกฮ่องเต้ลงโทษ”หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยถึงตรงนี้ก็ยิ้มแล้ว“ยังคงเป็นประโยคนั้น นี่เป็นเพียงความคิดเห็นของข้า ไม่ใช่ว่าจะถูก” เขาหยุดไปชั่วครู่อีกครั้ง แม้ยิ้มแย้มแต่ในดวงตาล้วนเป็นความเคร่งขรึม “แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าข้ากลัว”เสียงของเขาเงียบไป สหายด้านข้างหัวเราะแล้ว“นี่ก็คือทำไมวิญญูชนหลอกลวงด้วยคุณธรรมได้” เขาลูบพัดพับ “ใจกว้างเช่นนี้ ต่อให้เป็นขุนนางกลิ้งกลอก พวกเราก็ไม่มีทางใช้วิธีการลับหลังต่ำช้ากับเขา”หนิงอวิ๋นเจายิ้มส่ายศีรษะ“ไม่ใช่” เขาเอ่ยขึ้น จริงจังอยู่บ้างแล้วก็ขำขันอยู่บ้าง “ไม่ใช่ไม่ใช้วิธีการเช่นนี้ แต่เป็นวิธีการเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ หากมีประโยชน์”เขายักคิ้ว“ข้าจะไปประกาศบนถนนใหญ่ด้วยตนเอง”พูดจบก็ยื่นแขนเสื้อข้างหนึ่ง ทำท่านักเล่านิทาน“จะบอกว่าหัวหน้ากองพันลู่คนนี้ฉุดสาวชาวบ้าน มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม หยามหมิ่นองค์หญิงเป็นความชั่วช้ายิ่งใหญ่ไม่อาจละเว้น”บรรดาสหายหัวเราะประสานเสียงขึ้นมา สหายที่ตั้งคำถามคนนั้นก็ยิ้มส่ายศีรษะเช่นกัน ความบาดหมางในดวงตาสลายหมดสิ้น“ไม่พูดไม่ได้ อวิ๋นเจา” เขาเอาคำเรียกกลับคืนอีกครั้ง “เลียนแบบท่าทางนักเล่านิทานนี้ได้พอตัว ทำได้สบายเชียวนะ”บรรดาสหายคนอื่นล้วนหัวเราะด้วย“ใช่แล้ว ไม่เคยเห็นเจ้าไปฟังเล่านิทานเลย”พวกเขาเหมาห้องดื่นชาร่ำสุราสรรหาความเงียบสงบ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยไปโถงใหญ่ร่วมความคึกคัก ดังนั้นแทบไม่เคยดูการแสดงเล่านิทานเหล่านั้นในดวงตาหนิงอวิ๋นเจาทอประกายลำบากใจผิดคาดบางๆออกมา แล้วก็ขำอยู่บ้างนั่นเป็นเพราะที่เขียนในจดหมายที่อ่านพักนี้พูดถึงนักเล่านิทานมากเหลือเกินเป็นเหตุละมั้งคิดถึงตรงนี้สายตาก็อดไม่ได้มองไปด้านนอกหน้าต่าง แววตาสว่างวูบ“ข้ามีธุระต้องขอตัวก่อน” เขาเอ่ยขึ้นพูดพลางคนพูดก็เดินออกไปข้างนอก ดึงประตูเปิดก้าวไวๆไปไม่เห็นแล้วบรรดาสหายในห้องล้วนยังไม่ทันตอบสนองทัน“นี่ทำอะไร?”สหายที่อยู่ใกล้หน้าต่างมองออกไปข้างนอก มองเห็นหนิงอวิ๋นเจาเดินออกจกโรงน้ำชายืนอยู่บนถนนใหญ่“คงไม่ใช่จะไปประกาศเรื่องหัวหน้ากองพันลู่ฉุดสาวชาวบ้านจริงๆใช่ไหม?” เขาหัวเราะเอ่ยขึ้นทุกคนล้วนหัวเราะขึ้นมา“แน่นอนว่าไม่ใช่ จดหมายภรรยาบนเมฆมาอีกแล้ว” คนหหนึ่งชี้เด็กรับใช้คนหนึ่งที่เดิมมาท่ามกลางฝูงชนไม่ไกลออกไปบนถนนทุกคนล้วนจำได้ นั่นเป็นเด็กรับใช้ประจำตัวของหนิงอวิ๋นเจาหลายวันนี้ ก็เป็นเขาส่งต่อจดหมายจากบ้านหนิงอวิ๋นเจามาถึงเมือนหลวงไม่ขาดหนิงอวิ๋นเจายืนอยู่ตรงกรอบประตูกวักมือให้เด็กรับใช้ เด็กรับใช้ที่อยู่ในหมู่คน ส่ายศีรษะตามหาว่าโรงน้ำชาร้านไหนในที่สุดก็มองเห็นเขา ดีใจเพิ่มความเร็วฝีเท้าและในเวลาเดียวกันนี้คุณหนูจวินที่อยู่ใกล้กับประตูเมืองเมืองหลวงกลับหยุดชะงัก“คุณหนู พวกเราไม่เข้าไปหรือเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามคุณหนูจวินมองรอบด้าน“อย่าเพิ่งเข้าเมือง บนแผนที่บอกว่านอกเมืองมีโรงเตี๊ยมสะอาดและสงบ นอกจากนี้อยู่ข้างร้ายเลกเงินถนนใหญ่” นางเอ่ยขึ้น พลางหันม้า “พวกเราไปพักที่นั่น”……………………………………….
คอมเม้นต์