Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 105
แผนที่แผ่นนี้หลิ่วเอ๋อร์ไม่แปลกหน้าแผ่นที่นี่ผู้ดูแลเกาส่งมาให้ ต่อมาคุณหนูสั่งให้นางคืนแผนที่แผ่นนี้ให้ผู้ดูแลเกา คิดไม่ถึงว่าคุณหนูจะเอากลับมาอีกแต่นางไม่แน่ใจนักว่าแผนที่นี้ใช้ทำอะไร“แผนที่นี้น่ะ ที่วาดไว้คือสถานที่กินดื่มเที่ยวเล่นในเมืองหลวง…” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น มุมปากแต้มรอยยิ้ม “แม้ไม่สวย หยาบอยู่มาก แต่ก็ชัดเจนกระจ่างแจ้ง สำหรับพวกเราคนที่มาเมืองหลวงครั้งแรกเหล่านี้แล้วมีประโยชน์ยิ่งนัก”หลิ่วเอ๋อร์พิงหัวไหล่นางมองแผนที่“เอ คุณหนูท่านดู…” นางยื่นมือชี้บนแผนนที่ “ตรงนี้ยังมีห้องส้วมด้วย…”พูดพลางหัวเราะคิกคัก“ดีเหลือเกิน พวกเราไม่ต้องกลัวหาห้องส้วมไม่เจอแล้ว นี่สำคัญที่สุดเชียว”กิจเร่งด่วนทั้งสามของคน[1]สำคัญที่สุดอย่างแท้จริง นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมแผนที่นี้ถึงได้รับความนิยมเช่นนี้คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้าจูจั้นนางเงยหน้ามองไปทางด้านหน้าตลอดทางที่เดินทางมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าใกล้เมืองหลวง ศาลาพักม้าก็ดี โรงเตี๊ยมก็ดี ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแผนที่นี้ขายอยู่แผนที่นี้แม้ทางการจะตรวจสอบ แต่เวลาส่วนมากก็ลืมตาข้างหลับตาข้าง เพราะแผนที่จำนวนหนึ่งก็เป็นคนที่ศาลาพักม้าขายอยู่นายศาลาในศาลาพักม้าส่วนมากฐานะเป็นนายทหาร เห็นได้ชัดว่าถูกจูจั้นใช้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์แบบจูจั้นได้เงินทองกองย่อมๆ กองหนึ่งแล้ว อย่ามองว่าหนึ่งอีแปะสองอีแปะไม่นับเป็นเงิน สู้จำนวนมากไม่ได้หรอกคุณหนูจวินเม้มปากยิ้มแม้มองเห็นตัวเมืองของเมืองหลวงแล้ว แต่เดินทางขึ้นมาก็ยังมีระยะห่างช่วงหนึ่งเมืองหลวงแม้บอกว่าเป็นบ้านของนาง แต่บ้านก็มีเพียงสถานที่ผืนน้อยนั่นในพระราชวังเท่านั้น เวลาอื่นนางล้วนอยู่ต่างถิ่น เมืองหลวงนางไม่คุ้นเคยนักจริงๆนางเคยระหกระเหินอยู่ข้างนอกไปมาเร่งรีบไม่มีเวลาเดินเที่ยวเมืองหลวง ต่อมาแต่งงานไม่ออกไประหกระเหินแล้ว ลู่อวิ๋นฉีบอกว่าจะพานางไปกินดื่มเที่ยวเล่นในเมืองหลวง เพียงแต่แต่งงานปีแรกนางไม่มีกะจิตกะใจ ปีที่สองนางก็ตายเสียแล้วคุณหนูจวินก้มศีรษะลงมองแผนที่ในมืออีกครั้งแต่ตอนนี้ดีแล้ว มีแผนที่แผ่นนี้ นางก็ไปเดินเที่ยวสนุกสนานเองได้แล้วเหมือนกัน“หลิ่วเอ๋อร์ เหนื่อยหรือไม่?” นางหันกลับไปมองสาวใช้ตัวน้อยเอ่ยขึ้นขี่ตะบึงมาตลอดทางเช่นนี้ แม้กระทั่งผู้ชายตัวใหญ่บางคนยังทนไม่ไหว นับประสาอะไรกับสาวใช้ที่นั่งนอนยืนเดินถูกประคบประหงมจนชินเหมือนคุณหนูตระกูลร่ำรวยคนหนึ่งตอนแรกเริ่มหลิ่วเอ๋อร์ลงจากม้าเดินยังไม่ไหว แต่ตลอดทางมานี้นางก็อดทนมาได้หลิ่วเอ๋อร์ส่ายศีรษะให้นาง“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ…” นางเอ่ยเสียงดัง รู้แล้วว่าคุณหนูต้องการทำอะไร นางยื่นมือกอดเอวคุณหนูจวินไว้แน่น “คุณหนู พวกเรารีบเดินทางกันเถอะ”คุณหนูจวินตบเบาๆ บนมือของนาง“หลิ่วเอ๋อร์เก่งจริงๆ…” นางเอ่ยขึ้น “นั่งให้ดี”เก็บแผนที่เข้าไป กำสายบังเหียนแน่น ม้าห้อตะบึงบนถนนใหญ่ฝุ่นฟุ้งเป็นควันลอยตลบ…ด้านในโรงน้ำชาซึ่งรายล้อมด้วยร่มไม้ในเมืองหลวง ความร้อนระอุถูกลดทอนลงไปมากหนิงอวิ๋นเจายืนอยู่ข้างหน้าต่างมองถนนที่ร่มไม้กระจายไปทั่ว น้ำชาในมือถือไว้เนิ่นนานแล้ว“อวิ๋นเจา อวิ๋นเจา เติมน้ำชา”บรรดาสหายด้านหลังร่างร้องเรียกหนิงอวิ๋นเจาหันหน้ามามองผู้คนยกถ้วยน้ำชาขึ้น“อย่างไรเจ้าก็นั่งไม่ลง ไม่สู้เติมน้ำชาให้พวกเรา…” พวกเขาหัวเราะเอ่ยขึ้นหนิงอวิ๋นเจาก็หัวเราะแล้ว เดินไปด้านข้างตามคำบอกชงน้ำชาด้วยตนเอง“อวิ๋นเจา ที่บ้านเจ้าไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม…” สหายคนหนึ่งเดินมาเอ่ยถามเสียงเบาอย่างเป็นห่วงเป็นใย “ข้าเห็นเจ้าช่วงนี้รอจดหมายจากที่บ้านอยู่ตลอด”หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะแล้ว“ไม่เป็นไร” เขาเอ่ยตอบอย่างจริงใจ มองความเป็นห่วงของสหายแล้วคิดนิดหนึ่ง “ไม่ใช่เรื่องของบ้านข้า เป็นเรื่องอื่นบางอย่าง”คำตอบเช่นนี้จริงใจยิ่งนัก สหายก็รู้จักสมควร แม้ในใจสงสัยอยากรู้ แต่ก็เข้าใจว่าหากถามต่ออีกจะเสียมารยาท ทำให้ทุกคนกระอักกระอ่วน“ไม่มีเรื่องก็ดีแล้ว…” เขาหัวเราะเอ่ยขึ้นสิ้นเสียงด้านนอกประตูเสียงฝีเท้าดังตึงตึง ตามติดด้วยประตูถูกดึงเปิด บัณฑิตคนหนึ่งเหงื่อโชกศีรษะวิ่งเข้ามา“ข่าวใหญ่ ข่าวใหญ่…” เขากดเสียงลงเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นคนในห้องล้วนตกใจมองที่เขา“ขุนนางหัวหน้าผู้คุมสอบของเดือนสามปีหน้ากำหนดแล้วหรือ?”“เร็วขนาดนี้หัวข้อก็หลุดออกมาแล้วหรือ?”“สอบใหญ่ยกเลิกรึ?”ยิ่งถามยิ่งไม่เข้าท่า ผู้ที่มาสบถทีหนึ่งโบกมือ ไม่ทันนั่งลงก็ยกน้ำชาถ้วยหนึ่งดื่มคำใหญ่“เป็นข่าวใหญ่ของหัวหน้ากองพันลู่…” ตอนนี้เขาถึงกดเสียงเอ่ยขึ้นคนที่นั่งอยู่นั่งตัวตรงทันที“จอมวายร้ายถูกยึดทรัพย์แล้วรึ?”“จอมวายร้ายถูกแทงสังหารแล้วรึ?”มีคนโพล่งถาม ไม่รอผู้ที่มาตอบสหายอีกคนก็หัวเราะแล้ว“เป็นไปไม่ได้…” เขาเอ่ย “พวกเจ้ายังไม่ได้ยินหรือ? กัวเหล่าหนูขันทีพิธีการ นั่นเป็นถึงขันทีที่ติดตามองค์ฮ่องเต้มาตั้งแต่ตำหนักเดิม หลายวันก่อนหน้าเพิ่งถูกองค์ฮ่องเต้ใช้แท่นฝนหมึกทุบศีรษะแตก ถูกลากออกไปลงโทษโบยเกือบตายเดี๋ยวนั้น ไล่ไปเฝ้าสุสานของอดีตองค์ฮ่องเต้แล้ว”“นี่ได้ยินมาแล้ว เพราะกัวเหล่าหนูรับเงินคนจงใจเก็บฏีกาไว้นาน ถูกฝ่าบาทค้นพบเข้า ฝ่าบาทเกลียดขันทีที่สร้างอำนาจที่สุดถึงลงโทษหนักหนาเช่นนี้” คนเอ่ยตอบวิธีปฏิบัติเช่นนี้ของฮ่องเต้บรรดาขุนนางใหญ่ชื่นชอบยิ่งนัก ทำให้ฮ่องเต้เพิ่มชื่อเสียงสุจริตไปอีก“ทำไม? หรือนี่เกี่ยวข้องกับจอมวายร้าย?” มีคนเอ่ยถามสหายที่พูดทำท่าทางลึกลับมองทุกคน“แน่นอน หากไม่ใช่จอมวายร้ายลงมือ กัวเหล่าหนูขันทีจากตำหนักเดิมที่ได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้อย่างยิ่งเช่นนั้นจะถูกผลักล้มง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร” เขาเอ่ยเสียงเบา“กัวเหล่าหนูคนนี้ไปหาเรื่องจอมวายร้ายได้อย่างไรเล่า? คนเหล่านี้ยังไม่รู้ความร้ายกาจของจอมวายร้ายหรือ?”“นั่นก็ไม่แน่ จอมวายร้ายคนเช่นนี้ก็เป็นสุนัขบ้าตัวหนึ่ง กัดคนต้องการเหตุผลรึ?”ในห้องเสียงถกเถียงวุ่นวายแย่งความสนใจไปจากคนที่มาผู้ต้องการเล่าข่าวใหญ่อย่างสิ้นเชิง จนเขาอดไม่ได้ต้องเคาะโต๊ะ“ฟังข้าเล่า ฟังข้าเล่า” เขาเอ่ยตอนนี้ทุกคนถึงมองไปทางเขาใหม่อีกครั้ง“จอมวายร้าย สำหรับขันทีตำหนักเดิมคนหนึ่งก็ไม่ใช่อะไรยิ่งใหญ่นัก พวกเจ้ารู้ว่าพักนี้เขาทำเรื่องอะไรไหม?” คนมากระแอมเบาๆ เอ่ยขึ้น“ไม่ต้องกั๊กแล้ว”“เล่าเร็ว”ทุกคนมองเขากันเอ่ยเร่ง“เขาซื้อบ้านหลังหนึ่งด้านในตรอกอู๋หมี่” คนที่มาเอ่ยขึ้นคำพูดนี้ออกมาบรรดาสหายก็ส่งเสียงโห่พร้อมเพรียง“เขาซื้อบ้านหลังหนึ่งมีอะไรแปลกเล่า?”“เขามีทรัพย์สมบัติเท่าไรอยู่ข้างนอกที่แจ้งที่ลับ ทุกคนใครไม่รู้”“ถ้าเข้าบ้านสักหลังก็ไม่มีสิถึงจะแปลกน่ะ”ตาเห็นในห้องหัวเราะครืน“พวกเจ้ารู้ว่าบ้านหลังนั้นของเขาไว้ทำอะไรไหม?” คนที่มาแค่นเสียงเหอะเอ่ยขึ้น“สถานที่คุมขังสอบสวนอย่างไม่เป็นทางการ?”“ซ่อนสมบัติ?”ทุกคนคาดเดาเรื่องราวต่างๆ นานาผู้ที่มาเพียงส่ายศีรษะ หลังไม่มีใครคาดเดาแล้วถึงเอนตัวไปข้างหน้าเอ่ยเสียงเบา“เขาเลี้ยงผู้หญิงคนหนึ่งไว้ในบ้านหลังนั้น” เขาเอ่ยช้าๆบรรดาสหายเงียบไปวูบหนึ่งจากนั้นก็ฮือฮา สีหน้าไม่อยากเชื่อ“นี่เป็นไปได้อย่างไร?”“เดือนนี้เขาก็จะแต่งงานกับองค์หญิงจิ่วหลีแล้ว”“ต่อให้จะรับภรรยาน้อยเลี้ยงบ้านเล็ก ก็ต้องรอหลังแต่งงานสิ”ผู้ที่มาพอใจกับอากัปกิริยาตื่นตะลึงของทุกคนอย่างยิ่ง“จริงแท้แน่นอน” เขาเอ่ย “พวกเจ้ารู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครไหม?”นี่ใครจะรู้เล่า!แต่คนอื่นเลี้ยงผู้หญิงไว้เท่าไร ค่อนข้างดีกับคนไหน ลู่อวิ๋นฉีล้วนรู้ได้บรรดาสหายนิ่งเงียบมองเขา“ทุกคนยังจำตอนอิงฮวาเดือนสี่ได้ไหม เขาก็ออกมาริมทะเลสาบชมบุปผาด้วยใช่ไหม?” ผู้ที่มาเอ่ยขึ้นผู้คนพยักหน้า ลู่อวิ๋นฉีออกมาเดินถนนกลางวันน้อยนัก ดังนั้นทุกคนจดจำได้แม่น“วันนั้นเขาเข้าไปในเพิงน้ำชาแห่งหนึ่งใช่หรือไม่?” ผู้ที่มาเอ่ยต่อผู้คนพยักหน้าอีกครั้งผู้ที่มานั่งตัวตรงยิ้มติดจะมีเลศนัย“ที่หัวหน้ากองพันลู่ใช้บ้านหลังหนึ่งเลี้ยงเก็บไว้ก็คือเด็กสาวที่ชงชาในเพิงน้ำชาแห่งนี้เอง” เขาเอ่ยขึ้น……………………………………….[1] กิจเร่งด่วนทั้งสามของคน(人的三急) หมายถึงถ่ายเบา ถ่ายหนักและผายลม
คอมเม้นต์