Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 100
ไม่ว่าพูดอย่างไร พูดถึงคุณหนูจวินคนนี้บรรยากาศในห้องก็ไม่ดี นายหญิงสามหนิงยิ้มลุกขึ้นยืนแก้บรรยากาศ“เอาละ ไปเถอะ ข้าจะไปเขียนจดหมายให้พี่ชายเจ้ากับเจ้า” นางโอบไหล่หนิงอวิ๋นเยี่ยนเอ่ยขึ้น พาหนิงอวิ๋นเยี่ยนออกไปนายหญิงสี่หนิงก็ลุกขึ้นขอตัวเช่นกัน ออกจากประตูห้องเหล่าสาวใช้หญิงรับใช้ก็รีบติดตามโรงน้ำชาในหยางเฉิงนักเล่านิทานเล่าทุกวันไม่ขาด หัวถนนปลายตรอกทุกที่ก็ล้วนพูดถึงเช่นกัน บรรดาหญิงรับใช้ตระกูลหนิงที่หมู่บ้านเป่ยหลิวย่อมรู้กันหมดด้วย“ยังจะเป็นหมอเทวดา” นายหญิงสี่หนิงเบะปากเอ่ยกับหญิงรับใช้ “ไม่รู้ยังจะเปิดโรงหมอออกตรวจหรือเปล่า? ให้ทุกคนได้ทัศนาฝีมือมหัศจรรย์ของนางสักหน่อย”เหล่าหญิงรับใช้ล้วนหัวเราะ“นางกล้าที่ไหนเล่าเจ้าคะ” พวกนางเอ่ยขึ้น “หลบอยู่ในบ้านเป็นหญิงผู้ไม่ธรรมดาง่ายๆ ดีกว่า”นายหญิงสี่หนิงหัวเราะฮ่าฮ่าพาคนไปและหยางเฉิงเวลานี้ก็กำลังครึกครื้นยิ่งนักความสดใหม่ของนิทานฟางเต๋อชางช่วยอดีตฮ่องเต้ผ่านไปแล้ว แต่นิทานคุณหนูจวินนายหญิงน้อยของตระกูลฟางจุดความฮือฮาระลอกใหม่ขึ้นอีกครั้ง“ถ้าอย่างนั้นพูดเช่นนี้ที่คุณหนูจวินมายังหยางเฉิงของพวกเราไม่ใช่เพราะไร้ที่พึ่งหมดหนทางมาพึ่งญาติ?”“ใช่สิ บอกว่าเดิมทีจะกลับหรู่หนาน หรู่หนานมีบ้านมีกิจการแล้วยังมีชื่อเสียง ที่มาก็เพื่อรักษาอาการป่วยของนายน้อยตระกูลฟาง”“นั่นก็คือจะบอกว่าที่ถือหนังสือหมั้นมาเอย พัวพันยุ่งเหยิงกับตระกูลหนิงเอยล้วนเป็นเรื่องหลอก?”“หนังสือหมั้นก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องหลอก”“อะไร? คุณหนูจวินคนนั้นเพื่อรักษาอาการป่วยให้น้องชาย เพื่อช่วยตระกูลฟางชำระแค้น แม้กระทั่งสัญญาหมั้นก็ทิ้งแล้ว?”“ใช่สิ ไม่อย่างนั้นจะบอกว่าเป็นหญิงผู้ไม่ธรรมดาเรอะ”“ข้ารู้สึกว่านี่เหลวไหลทั้งเพ”เพิงน้ำชาที่ประตูเมืองผู้คนพักเท้าหลบร้อนนั่งอยู่เต็ม ที่ถกกันคึกคักย่อมเป็นนิทานเรื่องใหม่ที่สุด ในเมื่อเป็นนิทานย่อมมีความเห็นต่างๆ นานา“แต่งเรื่องก็ต้องมีขอบเขตบ้าง อย่างเช่นตอนนี้พวกเขาตระกูลฟางไม่เหมือนในอดีต อยากได้นายหญิงน้อยที่เชิดหน้าชูตาคนหนึ่งก็เข้าใจได้อยู่ แต่ตั้งฉายาอย่างอื่นสักอันก็ได้ ต่อให้บอกว่าแค่อยู่ที่นี่ทนอัปยศแบกภาระหนักหน่วงเพื่อช่วยสนับสนุนรักษาอาการป่วยนายน้อยตระกูลฟางก็ได้นี่ ใยต้องพูดว่าเป็นหมอเทวดาด้วยเล่า?” คนผู้นี้เอ่ยขึ้น พลางส่ายศีรษะ “พวกเขารู้หรือไม่หมอเทวดาหมายความว่าอะไร?”คำวิจารณ์เช่นนี้ตั้งแต่เรื่องคนฉลาดอุบายปราดเปรื่องเล่าวันแรกก็มีแล้วนิทานยอดเยี่ยมพลิกผันน่าอัศจรรย์ แต่คำว่าหมอเทวดาสองคำในนั้นก็ไม่ได้ถูกผู้คนละเลยดังนั้นจะบอกว่านายน้อยฟางไม่ใช่เสริมมงคลจนหายดี แต่ได้คุณหนูจวินคนนี้รักษาหายดี?ที่จริงคำพูดนี้ตอนที่ตระกูลฟางหยิบราชโองการออกมาถูกเจ้าเมืองหม่าตั้งคำถามบนถนนก็เคยพูดไปแล้ว แต่ทุกคนคิดว่านี่เป็นเพียงคำพูดขายผ้าเอาหน้ารอดของตระกูลฟางต่อทางการเท่านั้นนายน้อยตระกูลฟางช่วงเวลาสิบปีหมอมีชื่อมากมายขนาดนั้นวินิจฉัยว่าไม่อาจรักษาอยู่ไม่พ้นอายุสิบห้า ได้คุณหนูจวินคนนี้รักษาหายดีแบบนี้?บรรดาหมอมีชื่อเหล่านี้ในช่วงสิบปีนี้ก็เล่นละครด้วย หรือหมอมีชื่อเหล่านี้วิชาแพทย์ไม่แตกฉานกันเล่าล้อเล่นรึ นี่ไม่ใช่…“ล้อเล่นไม่ล้อเล่น ไปหาคุณหนูจวินตรวจโรคดูไม่ใช่ก็รู้แล้วเรอะ…” มีคนหัวเราะเอ่ยขึ้นคำพูดนี้ชักนำให้คนพากันกลอกตาเป็นพรืด“ล้อเล่นน่ะ เจ้าลองไปหาดูสิ”“นั่นเป็นถึงตระกูลฟาง ในมือมีราชโองการเชียวนะ รักษาไม่หายบอกว่ารักษาหายแล้ว เจ้าทำอย่างไรได้?”ในเพิงน้ำชาพูดคุยกันครึกครื้น บนถนนใหญ่รถคันหนึ่งกุกกักๆ มาจากที่ไกล หยุดด้านหน้าเพิงน้ำชาผู้ที่คุมรถมาเป็นเด็กหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่ง ดวงตะวันดวงโตอยู่เหนือหัวเร่งเดินทางเหงื่อเต็มหน้าเต็มศีรษะ ตากแดดจนหน้าแดงไปหมด“ผู้ดูแล น้ำชาสามถ้วย” เขาเอ่ยเสียงดังผู้ดูแลขานรับ รินชาพลางทักทายเด็กหนุ่ม“เข้ามานั่งสิ” เขาเอ่ยขึ้นเด็กหนุ่มคนนั้นกลับไม่เข้ามา แต่เลิกม่านรถอย่างระมัดระวัง“ท่านแม่ ท่านพ่อเป็นอย่างไร?” เขาเอ่ยถามผู้ดูแลกำลังยกน้ำชามามองเข้าไปในรถด้วยความสงสัยทีหนึ่ง ตกใจอดไม่ได้ร้องออกมา ทำให้ความครึกครื้นของเพิงน้ำชาหยุดชะงักไปด้วย ทุกคนล้วนมองข้ามมาสีหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้นยิ่งแดงก่ำแล้ว ท่าทางกระดากอายปล่อยม่านรถลง“ขออภัยด้วย บิดาข้าป่วยอยู่…” เขาเอ่ยขึ้นมองผู้ดูแลที่ถอยไปด้านหลัง ลังเลไม่ยื่นมือไปรับชาผู้จัดการได้สติกลับมาแล้ว เอ่ยขออภัยหลายครั้งส่งน้ำชาไปให้“เป็นข้าตกอกตกใจกับเรื่องเล็กน้อยแล้ว” เขารีบเอ่ยขึ้นเด็กหนุ่มกระหายน้ำอย่างที่สุดแล้ว ไม่ได้ปฏิเสธต่อ ส่งน้ำชาไปในรถให้บิดามารดาสองถ้วย ตนเองก็ยกถ้วยขึ้นดื่มคำใหญ่ด้วย“เจ้าหนู ฟังสำเนียงพวกเจ้าเป็นคนเหอหนานรึ?” ผู้ดูแลอดไม่ได้เอ่ยถามด้วยความสงสัยเด็กหนุ่มยิ้มซื่อ“ใช่ ข้าเป็นคนหรู่หนานไช่โจว” เขาบอกหรู่หนาน?สองคำนี้ดังออกมา ด้านในเพิงน้ำชาที่เงียบสงบเสียงเอ๋ก็ดังขึ้น“คนหรู่หนานมาหยางเฉิงของพวกเราได้อย่างไร?” ผู้ดูเลถามออกมาก่อนแล้ว มองรถม้าทีหนึ่ง “นอกจากนี้ยังพาผู้เฒ่าล้มป่วยมาด้วย”เขาถามประโยคนี้ออกมา เด็กหนุ่มกลับเผยสีหน้าประหลาดใจ ราวกับคำถามของเขาถึงจะทำให้คนไม่เข้าใจ“มาหาหมอสิ” เขาว่า “จวินจิ่วหลิงคุณหนูจวินตอนนี้ไม่ได้มาบ้านท่านยายของนางที่หยางเฉิงเรอะ”ด้านในเพิงน้ำชาเงียบไปชั่วครู่เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจ วางถ้วยชาลงส่งเงินให้“ขอถามคุณหนูจวินพักอยู่ที่ใด?” เขาเอ่ยถามไม่มีใครตอบเขาเด็กหนุ่มมองคนเหล่านี้ก็ไม่เข้าใจอยู่บ้าง“หรือพวกเจ้าไม่รู้?” เขาเอ่ยขึ้น “คุณหนูจวินชื่อดังปานนั้น”คุณหนูจวินชื่อดังจริงๆ แต่ชื่อดังที่ทุกคนเข้าใจดูเหมือนจะไม่ใช่ความหมายเดียวกันผู้ดูแลได้สติเป็นคนแรก ชี้ทางให้เขา เด็กหนุ่มคนนั้นขอบคุณเป็นการใหญ่บังคับรถเข้าเมืองไปรอเขาจากไปแล้ว มีคนคว้าผู้ดูแลถามว่าคนในรถเป็นอย่างไร ทำไมทำเขาตกใจสะดุ้งโหยง“บนหน้ามีฝีขนาดใหญ่เม็ดหนึ่ง” ผู้ดูแลยื่นมือวาดเทียบ ทำท่าเหมือนยังผวาอยู่บ้าง “ใหญ่ขนาดนี้”ด้านในเพิงน้ำชาฮือฮาทันที“จริงหรือหลอก?”“มาจากหรู่หนาน”“เหมือนกับที่นักเล่านิทานว่า เป็นหน้าม้าที่ตระกูลฟางจ้างมาสินะ”“เพิ่งบอกว่าเป็นหมอเทวดา ก็มีคนมาขอรักษา บังเอิญขนาดนี้ไม่ใช่หน้าม้าคืออะไร?”“ก็ไม่รู้ว่าตระกูลฟางจ้างมาเท่าไร? จ้างคนนี้คนเดียวย่อมไม่มีความหมายอะไร”คำพูดถากถางของคนผู้นี้ถูกทดสอบอย่างรวดเร็วยิ่งนัก หลังจากนี้เองก็มีคนหรู่หนานมากมายทยอยมาถึงหยางเฉิง คนทั้งหมดถามทางล้วนเป็นประโยคเดียวกันที่พักของจวินจิ่วหลิงคุณหนูจวินอยู่ที่ไหน?นี่ทำให้ข่าวครึกโครมที่เพิ่งจุดขึ้นในหยางเฉิงหนักกว่าเดิม“หลอกลวง? พวกข้ากินอิ่มว่างเรอะมาไกลขนาดนี้มาหลอกพวกเจ้า!” เผชิญหน้ากับการตั้งคำถามของชาวบ้าน คนหรู่หนานที่เร่งเดินทางมาทั้งเหนื่อยทั้งร้อนถามทางด้านหน้าประตูเมืองก็หงุดหงิดยิ่งนัก “คุณหนูจวินเป็นหมอเทวดามีอะไรหลอกได้กัน”พูดจบก็ทั้งโมโหทั้งเหยียดหยันทั้งเวทนามองคนเหล่านี้“พวกข้าเดิมยังอิจฉาพวกเจ้าเลย ที่คุณหนูจวินอยู่กับพวกเจ้าที่นี่ พวกเจ้าช่างเอาเปรียบนัก ไม่คิดเลยพวกเจ้ากลับล้วนตาบอดไม่รู้”พูดจบก็ทำท่าดูแคลนเหมือนคนท้องถิ่นมองคนต่างถิ่น คนในเมืองมองคนบ้านนอกนิดๆ“ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ”อะไรเรียกไม่รู้เรื่องรู้ราว? พวกเขาไม่เคยรู้เรื่องสักนิดเลยต่างหากตกลงมั้ย!คุณหนูคนหนึ่งที่ทำเป็นแต่โวยวายจะแต่งงานกับคุณชายผู้มีชื่อเสียงที่สุดของหยางเฉิงจะเป็นหมอเทวดาได้อย่างไรเล่า?ต่อให้คนที่รอบรู้อีกเท่าใดก็ไม่มีทางนำสองอย่างนี้มาโยงกันได้หรอกคนหยางเฉิงรู้สึกทั้งไม่ได้รับยุติธรรมทั้งโกรธแค้นเป็นเท่าตัว“ถ้าอย่างนั้นให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตาด้วยหน่อยสิ”คนหยางเฉิงที่ไม่ยอมรับจึงตามคนมาหาหมอซึ่งมาจากหรู่หนานเหล่านี้มาถึงตระกูลฟางแต่น่าเสียดายตอนนี้ใครก็เปิดหูเปิดตาไม่ได้แล้ว เพราะคุณหนูจวินไม่อยู่บ้านคนหรู่หนานที่เดินทางมาหาหมอเหล่านั้นล้วนได้ตระกูลฟางจัดการอย่างเหมาะสม นายน้อยตระกูลฟางมารับด้วยตนเอง ทั้งยังสัญญาว่าจะบรรรยาอาการป่วยของพวกเขาเขียนจดหมายส่งไปให้คุณหนูจวิน หากยินดีรอก็ให้อยู่ที่นี่รอคุณหนูจวินกลับมา อาหารที่พักตระกูลฟางรับผิดชอบเองคำสัญญานี้ทำให้คนหยางเฉิงฮือฮาอีกครั้ง“นี่ไม่ใช่หน้าม้าคืออะไร!”“มีคนมาหาหมอที่ไหน ถูกดูแลประหนึ่งบรรพบุรุษ!”“ให้กินให้ดื่ม แล้วจะรักษาไม่คิดเงินแจกยาด้วยหรือไม่เล่า?”แต่ความฮือฮาของคนหยางเฉิงต่อหน้าคนหรู่หนานที่มาหาหมอก็ถูกดูแคลนอีกครั้ง คนที่มาจากหรู่หนานล้วนสีหน้านิ่งสงบกับคำสัญญาของตระกูลฟาง ไม่ได้ตื่นเต้นจนเป็นลมไป“นี่เกินไปนักรึ?” พวกเขามองคนหยางเฉิงที่ตื่นเต้น ท่าทางดูแคลนเหมือนมองลงมาจากข้างบน “พวกเจ้าช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ”นี่ก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกได้อย่างไร?เรื่องเช่นนี้หรือพวกเขาเคยเห็นมาก่อนด้วยรึ?คนหรู่หนานได้ยินคำถามนี้ล้วนหัวเราะ“แน่นอนเห็นมาก่อน” พวกเขาเอ่ยขึ้น “คุณหนูจวินกับนายน้อยฟางตอนอยู่ที่หรู่หนานก็ทำแบบนี้”ตอนอยู่ที่หรู่หนานบรรดาชาวบ้านของหยางเฉิงคิดอออกแล้ว นักเล่านิทานเล่าว่าหญิงผู้ไม่ธรรมดาหนีบคนป่วยอ่อนแอ พาคนเฒ่าพิการ ระหกระเหินกลับหรู่หนานถ้าอย่างนั้นที่หรู่หนานก็มีเรื่องเล่าเรื่องเก่าด้วยรึ?“แน่นอนว่ามี” บรรดาคนของหรู่หนานทำท่าย้อนความหลัง “เรื่องในอดีตที่หรู่หนานนั้นเป็นตำนานเรื่องหนึ่ง”…………………………………….
คอมเม้นต์