Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 94
ดูท่าก็คงเป็นเพราะเหตุนี้ หัวหน้ากองพันลู่จึงเอ่ยวาจาต่อหน้าคนน้อยนักมีคนพูดกันเป็นการส่วนตัวว่าโบราณมีหลานหลินหวัง[1]รูปงามปิดบังโฉมหน้า วันนี้มีหัวหน้ากองพันลู่เสียงเฉื่อยสงบคำแน่นอนว่าการนำขุนนางโหดเหี้ยมที่ใส่ร้ายสังหารชีวิตคนพวกเดียวกับจวิ้นเฉินโจวซิ่ง[2]คนหนึ่งกับหลานหลินหวังที่ปกบ้านป้องเมืองมาเทียบกัน ย่อมชักพาคำเสียดสีและด่าทอสาปแช่งของคนจำนวนหนึ่งแน่นอน นี่ล้วนเป็นการส่วนตัวและแน่นอนอีก แม้ว่าเป็นการส่วนตัว คนเหล่านี้ก็เกิดเรื่องอย่างน่าประหลาดเช่นกัน เป็นซิ่วไฉถูกค้นพบว่าพกโพยในการสอบ จากนั้นสูญเสียเส้นทางบัณฑิต เป็นขุนนางถูกค้นพบว่าทุจริตรับสินบน บ้างถูกตัดสินคดีอยุติธรรมใส่ร้ายผิดพลาด ที่ลดขั้นลดขั้นที่ปลดขุนนางเป็นประชาชนเป็นประชาชน นานาชนิดเช่นนี้เห็นได้ทั่วไป ท้ายที่สุดล้วนต้องตอบแทนคำพูดที่ตนเองเอ่ยเพียงแต่การตอบแทนนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาปรารถนาจริงๆ แต่เรื่องราวบนโลกนี้ก็ยากจะได้ครบทั้งสองเช่นนี้ลู่อวิ๋นฉีลุกขึ้นยืนคำนับพูดถึงตำแหน่งขุนนางเขาไม่สูง ขันทีแซ๋กัวชื่อหนูเอ๋อร์คนนี้ตรงหน้าเป็นขันทีข้างกายองค์ฮ่องเต้ ด้านขันทีพิธีการก็เป็นอันดับหนึ่งอันดับสองเช่นกันเห็นลู่อวิ๋นฉีลุกขึ้น กัวกงกงก็ยิ้มก้าวไวๆ มาข้างหน้า สีหน้านอบน้อม“ฝ่าบาทมีรับสั่งหรือ?” เขาเอ่ยถามขึ้นตรงๆกัวกงกงขานรับ“ฝ่าบาทตรัสว่าเรื่องนี้ท่านทราบแล้ว เรื่องผ่านไปนานเกินไป ท่านก็จดจำไม่ได้แล้วว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น” เขาพูด“ข้าน้อยจะไปสืบ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น ก้าวเท้าจากไปกัวกงกงอุทานตกใจรีบดึงแขนเขาไว้“ใต้เท้าของข้า ข้ายังพูดไม่จบเลย” เขายิ้มเอ่ยขึ้น “แต่ฝ่าบาทตรัสว่าราชโองการนี้มีอยู่จริง อดีตฮ่องเต้เคยเขียนราชโองการดุจพระองค์เสด็จเองทั้งหมดสองฉบับ ฉบับหนึ่งซ่อนเร้นชื่อไว้ ฉบับหนึ่งมอบให้เฉิงกั๋วกง ตอนนี้ดูท่าฉบับที่ซ่อนเร้นชื่อนั้นก็คงเป็นตระกูลฟางแห่งหยางเฉิงนี้”ลู่อวิ๋นฉีมองเขา ใบหน้าไร้อารมณ์“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ต้องการให้พวกเขาเร้นหายไปตลอดกาลหรือไม่?” เขาเอ่ยถามกัวกงกงรีบยิ้มส่ายศีรษะ“ใต้เท้า ฮ่องเต้ตรัสว่าเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็ก การแต่งงานของใต้เท้าท่านกับองค์หญิงจิ่วหลีถึงเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องอื่นล้วนไม่ต้องสนใจมัน” เขาเอ่ยขึ้นฝ่าบาทตรัสว่าท่านทราบแล้ว ฝ่าบาทตรัสว่าเรื่องอื่นไม่ต้องสนใจลู่อวิ๋นฉีพยักหน้า“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ขอตัว” เขาเอ่ยขึ้นพูดจบก็ยกเท้าก้าวเดิน กัวกงกงยังไม่ทันตอบรับ ลู่อวิ๋นฉีก็ก้าวออกประตูไปแล้วนี่เป็นดาบที่คมกริบทั้งใช้ง่ายเล่มหนึ่งจริงๆ หนา มิน่าฮ่องเต้ถึงให้ความสำคัญกับเขาเช่นนี้“ใต้เท้าลู่ ใต้เท้าลู่” กัวกงกงรีบตามออกมา มองลู่อวิ๋นฉีทั้งร่างอาภรณ์สีแดงสดยืนอยู่ใต้แสงตะวันลู่อวิ๋นฉีหยุดเท้าหันกลับมามองต่อให้ยืนอยู่ใต้แสงตะวัน ต่อให้ที่ใส่อยู่คือสีแดงสดเข้ม ทั้งร่างของเขาก็แลดูเย็นเยือก ราวกับแม้กระทั่งแสงตะวันก็หลบเลี่ยงเขาท่าทางคงเป็นเพราะสีหน้าอ่อนโยนทั้งเฉยชาดุจศิลาแกะสลักของตัวเขา แล้วก็คงเป็นเพราะเรื่องเร้นลับที่เขาทำคนที่เขาสังหารมากเหลือเกินทุกคนล้วนพูดว่าคนผู้นี้หาเรื่องไม่ได้ ที่จริงพูดให้ถึงที่สุดแล้วก็เป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่ง เทียบกับพวกเขาขันทีเหล่านี้ดีกว่าถึงที่ไหน?กัวกงกงเค้นรอยยิ้มที่เปี่ยมไมตรีออกมา“ถึงเวลาพวกเราก็จะไปขอสุรามงคลของใต้เท้ากับองค์หญิงสักจอกด้วยนะขอรับ” เขายิ้มเอ่ยขึ้นลู่อวิ๋นฉีมองเขา มุมปากเม้มนิดหนึ่งนี่คงจะเป็นรอยยิ้ม?ที่แท้ใต้เท้าลู่ก็ไม่ได้หน้าไร้อารมณ์ ยังยิ้มเป็นด้วยกัวกงกงก็รีบยิ้มกว้างขึ้น“ในบ้านเก็บเรียบร้อยแล้วหรือไม่?” เขาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย “มีสิ่งใดต้องการความช่วยเหลือใต้เท้าเพียงแค่เอ่ยปาก”ลู่อวิ๋นฉีหรุบตา ก้มศีรษะคำนับเล็กน้อย“ขอบคุณกงกง” เขาเอ่ยขึ้น “ล้วนเก็บเรียบร้อยแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นรีบไปเถิด รีบไปเถิด” กัวกงกงยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทตั้งพระทัยพระราชทานอนุญาตให้พักงานหนึ่งเดือน ใต้เท้าอย่างเพิ่งว้าวุ่นใจเรื่องเหล่านี้ แต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดสำคัญที่สุด”ลู่อวิ๋นฉีไม่เอ่ยวาจาอีก คำนับหมุนตัวก้าวเดินจากไปเงาร่างสีแดงสดใต้แสงตะวันค่อยๆ เดินไกลออกไปกัวหนูเอ๋อร์ตอนนี้ถึงสั่นเทา เนื้อทั่วร่างสั่นระริก“ช่างแปลกจริงประหลาดจริง คนผู้นี้ดูอย่างไรก็ทำให้คนกลัว ไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนั้นองค์หญิงจิ่วหลิงใช้ชีวิตกับเขาอย่างไร” เขาพึมพำกับตนเอง แล้วส่ายศีรษะหัวเราะคึคึ “บางทีก็คงเพราะใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ ถึงรนหาที่ตายด้วยตนเอง ยังจะรักภรรยาดุจชีวิต ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกจริงๆ”หัวเราะครู่หนึ่งก็ปรับสีหน้า เดินพลางฮัมเพลงไปยังด้านในพระราชวัง ไม่ทันสังเกตขันทีตัวน้อยที่ยืนรอคำสั่งก้มหน้าอยู่หลังร่างเขาตลอดเงยหน้าขึ้น แววตาสว่างวูบจ้องเงาแผ่นหลังของเขาทีหนึ่ง จากนั้นก็หลุบตาก้มศีรษะก้าวสั้นๆติดตามไปอย่างถ่อมตนและระมัดระวัง…ลู่อวิ๋นฉีเดินออกประตูวัง ด้านนอกทหารขององครักษ์เสื้อแพรที่ร่างสวมชุดปลาบิน เอวห้อยดาบปักวสันต์กลุ่มหนึ่งก็ยืนรออยู่ก่อนแล้ว เห็นเขาเข้ามาก็คำนับกันอย่างพร้อมเพรียงลู่อวิ๋นฉียังไม่ทันขึ้นม้าก็มีองครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งออกมาจากในราชวังองครักษ์เสื้อแพรก็เป็นหนึ่งในองครักษ์ของฮ่องเต้เช่นกัน ในวังก็แบ่งกะเข้าเวรด้วยองครักษ์เสื้อแพรผู้นี้ก้าวไวๆ มาข้างหน้า คำนับหมอบกราบตรงหน้าลู่อวิ๋นฉีทีหนึ่ง ตอนนี้ถึงลุกขึ้นตรงหน้าลู่อวิ๋นฉีกระซิบริมหูหลายประโยคหน้าของลู่อวิ๋นฉีไม่เปลี่ยน ราวกับถูกแสงตะวันส่องจนร้อนยกมือกดเบาๆ ที่มุมปาก“เขาบอกว่าเขามองไม่ออกหรือ?” เขาเอ่ยขึ้นองครักษ์เสื้อแพรคนนั้นถอยหลังหลุบตานิ่งรอคำสั่งของเขา“ถ้าเช่นนั้นก็ให้เขามองไปเถอะ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น พูดจบก็พลิกกายขึ้นม้าองครักษ์เสื้อแพรคนนั้นขานรับถอยหลังไปอีกครั้ง มองม้าของลู่อวิ๋นฉีเหยียบบย่างไปข้างหน้า ส่วนคนอื่นก็ออตามไปสองข้างด้านหลังเพราะด้านหน้าราชวังไม่มีพวกคนวุ่นวายเท่าไร แต่ผ่านประตูกรมต่างๆ สองข้าง คณะของพวกเขาก็ดึงคนไม่น้อยเหลือบสายตามา“ไม่ใช่จะแต่งงานแล้วหรือ?”“ยังจะออกมาเดินอีกหรือ?”“ไม่รู้ที่ไหนจะโชคร้ายอีก”“ตอนนี้จะงานมงคลครั้งใหญ่แล้ว ยังจะลงมือหรือ”“แต่งงาน แต่งงานเขาก็ยังเป็นยมราชนี่ ยมราชออกจากบ้านย่อมต้องช่วงชิงชีวิต”หลังขบวนคณะนี้เดินผ่านไป ทิ้งเสียงซุบซิบนินทาไว้ตลอดถนนคำซุบซิบเหล่านี้ด้านหลังร่าง คณะของลู่อวิ๋นฉีไม่สนใจสักนิด มาถึงด้านหน้าประตูกรมแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ที่แห่งนี้แตกต่างกับด้านหน้าประตูกรมเหล่านั้นก่อนหน้านี้ที่คึกคัก แลดูเก่าผุพังทั้งยังวังเวง ป้ายอันหนึ่งที่แขวนอยู่ด้านบนไม่สะดุดตาสักนิด ป้ายไม่สะดุดตาอย่างมากแต่อักษรด้านบนกลับทิ่มแทงดวงตายิ่งนักกรมสืบสวนฝ่ายเหนือมีหัวหน้าหน่วยหลายคนก้าวมาข้างหน้าคำนับ เตรียมรับม้าอยู่ก่อนแล้วลู่อวิ๋นฉีกลับทำท่าว่าไม่ต้อง เขาตรงเข้าไปข้างหน้า ผู้คนที่ติดตามก็ตามต่อเดินออกจากถนนใหญ่ของกรมขุนนาง ก็มาถึงบนถนนค่อนข้างเปลี่ยวสายหนึ่ง ที่แห่งนี้มีจวนหลังหนึ่งอยู่ แล้วยังมีวังอ๋องหลังหนึ่งอยู่ด้วย แยกตั้งอยู่ที่สุดปลายฝั่งตะวันออกกับตะวันตกของถนนที่แห่งนี้แทบจะวังเวงยิ่งกว่ากรมสืบสวนฝ่ายเหนือเมื่อครู่ มีเพียงเสียงกีบเท้าม้าของพวกเขาคนม้าหนึ่งคณะสะท้อนก้องที่ผ่านไปแรกสุดคือวังอ๋อง เหมือนดังเช่นวังอ๋องทั้งหมดสร้างขึ้นอย่างหรูหรางดงาม ป้ายหน้าประตูแขวนไว้สูงเขียนว่า วังไหวอ๋อง สามคำทว่าแตกต่างจากวังอ๋องที่อื่น ที่แห่งนี้ไม่มีคนเฝ้าประตูมากมาย ยิ่งไม่มีข้ารับใช้ไปมา ประตูใหญ่ปิดสนิทราวกับร้างไม่มีคนอาศัยลู่อวิ๋นฉีหยุดที่หน้าประตูครู่หนึ่งกำหนดการแต่งงานกับองค์หญิงจิ่วหลีใกล้เข้ามาแล้ว ว่าที่สามีพบหน้าว่าที่ภรรยาก็ไม่มีสิ่งใดตำหนิได้ นอกจากนี้เขายังเป็นลู่อวิ๋นฉีผู้คนที่ติดตามหยุดรอคำสั่ง แต่เพียงชั่วครู่ลู่อวิ๋นฉีก็กระตุ้นม้าเดินหน้าอีกครั้ง มาถึงด้านหน้าจวนสุดฝั่งตะวันตกอย่างรวดเร็วที่แห่งนี้ไม่เหมือนกับวังอ๋องด้านนั้น มีคนมากมายยุ่งวุ่นวายเข้าๆ ออกๆ จวนที่เดิมทีหรูหราถูกจัดแต่งจนยิ่งงดงามโอ่อ่า อักษรจวนสกุลลู่บนป้ายที่แขวนอยู่สูงถูกทาสีเสียใหม่“ใต้เท้า”“ใต้เท้ากลับมาแล้ว”มองเห็นลู่อวิ๋นฉีคนมากมายก็ทะลักออกมาพากันคำนับ เด็กรับใช้เฝ้าประตูก็จะมารับม้าเช่นกันลู่อวิ๋นฉียังคงไม่ลงจากม้าเช่นเดิม เขามองจวนที่คึกคักนี่ครู่หนึ่งก็รั้งสายตากลับไป กระตุ้นม้าอีกครั้งคนม้าเลี้ยวผ่านตรอกหลายสายเดินมาถึงถนนใหญ่การปรากฏตัวของพวกเขาคนกลุ่มนี้ทำให้ความครึกครื้นบนถนนใหญ่เปลี่ยนกลายเป็นยิ่งครึกครื้น แต่ความครึกครื้นชนิดนี้คือการลอบมอง หลบซ่อน หลีกหลบ คิดแค้น หลีกเลี่ยง แปลกประหลาดทุกสิ่งลู่อวิ๋นฉีมองแต่แสร้งไม่เห็น เพียงแค่มองด้านหน้าเร่งม้าเดินเท่านั้น ราวกับจะไปที่ไหนแล้วราวกับไม่ได้ไปที่ใด เพียงแต่เดินไปตามทางเท่านั้นคนคณะนี้ตัดผ่านไปตามถนนผ่านประตูเมืองหายลับไปจากในสายตา คิ้วของหนิงอวิ๋นเจาที่ยืนอยู่ด้านข้างถนนขมวดแน่น“เจ้าวายร้ายคนนี้จะไปทำสิ่งใดอีก?”“พักนี้ไม่ได้ยินว่ามีเรื่องใหญ่อะไรนะ?”บรรดาสหายด้านข้างเอ่ยถก หันหน้ามองเห็นหนิงอวิ๋นเจาที่ท่าทางราวกับขบคิดอยู่“อวิ๋นเจา เจ้ารู้ว่าเป็นเรื่องอะไรไหม?” พวกเขาเอ่ยถามหนิงอวิ๋นเจาส่ายศีรษะ“ไม่รู้” เขาเอ่ยบรรดาสหายสำรวจเขา“ตอบฉับไวเช่นนี้ ใช่ปิดบังเรื่องใดกับพวกเราอยู่หรือไม่?” พวกเขายิ้มเอ่ยหนิงอวิ๋นเจารั้งสายตากลับมายิ้ม“ข้าเก็บตัวอ่านหนังสืออยู่ด้วยกันกับพวกเจ้าทุกวัน ที่พวกเจ้ารู้ข้ารู้ ที่ข้ารู้พวกเจ้าก็รู้” เขาเอ่ย “มีสิ่งใดปิดบังพวกเจ้าเล่า”พูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปครู่หนึ่ง พยักหน้า“มีก็มีอยู่หรอก”สหายสองคนดวงตาสว่างวาบ“อะไร?” พวกเขาเอ่ยถามหนิงอวิ๋นเจามองเด็กรับใช้อายุน้อยวิ่งหอบแฮกๆอยู่กลางฝูงชนบนถนนใหญ่“เรื่องที่บ้าน” เขาว่า พลางยกมือส่งสัญญาณ “เสี่ยวติง”เด็กรับใช้อายุน้อยคนนั้นเข้ามาหาด้วยความดีใจ ส่งจดหมายฉบับหนึ่งในมือข้ามมา“คุณชาย จดหมายมาแล้วขอรับ” เขาเอ่ย ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่โชกเต็มศีรษะ……………………………………….[1]หลานหลินหวัง (兰陵王) หนึ่งในสี่ยอดบุรุษรูปงามของจีน เป็นแม่ทัพฝีมือฉกาจผู้มีใบหน้างดงามอ่อนหวาน ดังนั้นเล่ากันว่ายามออกรบ หลานหลิงหวังจึงต้องสวมหน้ากากปิดบังรูปโฉมที่งดงามจนไม่อาจสร้างความหวาดกลัวให้ศัตรูได้ของตนเองไว้[2] จวิ้นเฉิน (俊臣) และ โจวซิ่ง (周兴) เป็นขุนนางโหดเหี้ยมในสมัยจักรพรรดินีอู่เจ๋อเทียน
คอมเม้นต์