Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย ตอนที่ 466
ชูฮันเห็นแววตาของซูเฟิงที่มองมา แววตาของชูฮันในตอนนี้ไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนกับก่อนหน้านี้ หากมันเต็มไปด้วยความจริงจังอย่างถึงที่สุด “มันไม่ใช่เพื่อนรักที่คุณรู้จักในอดีตอีกต่อไป มันจะไม่กระดิกหางให้คุณอีก มันจะไม่วิ่งวนรอบๆไปมาเพราะเห็นแท่งกระดูกอีก มันไม่มีแม้แต่รูม่านตาสำหรับการมองเห็นด้วยซ้ำ เหงือกของมันใหญ่บวม น่าตาประหลาดๆ มันคือสายพันธุ์ซอมบี้อย่างสมบูรณ์แบบ!” หลิงโหลวมองชูฮันด้วยแววตาประหลาดใจเล็กน้อย หัวใจของเธอเต้นแกว่ง เฉินช่าวเย่ที่ฟังอยู่ไกลออกไปรู้ว่าหัวหน้าของเขามีสติสัมปชัญญะที่จะเห็นแก่นแท้ของสิ่งต่างๆและนั่นคือเหตุผลที่เขาเลือกจะมุ่งมั่นติดตามชูฮันตลอดไป “คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ?” ชูฮันยังคงพยายามอย่างต่อเนื่อง “ไม่ใช่ว่าหลิงโหลวฆ่าหมาของคุณแต่เธอช่วยมันต่างหาก มันตายไปแล้วตั้งแต่วินาทีที่มันกลายพันธุ์” ซูเฟิงตะลึง แน่นอนว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ชูฮันพูดมาทั้งหมดดีแต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่อยากจะเผชิญหน้ากับความจริงนี้เอง โดยเฉพาะการต้องอยู่ตัวคนเดียวในโลกาวินาศแบบนี้ ที่ซึ่งมนุษย์ถูกทำลายล้าง ศีลธรรมและความเชื่อมั่นระหว่างผู้คนเป็นศูนย์ ในเวลานี้เขามีความสุขกับการอยู่หมาของเขาและเดินทางไปด้วยกันมากกว่า แต่หมาของเขาไม่เหมือนกับในอดีตอีกแล้ว “ไม่! มันมีแค่ตัวเดียวเท่านั้น!” ซูเฟิงทนไม่ไหวและเริ่มต่อต้าน เขาไม่อยากจะยอมรับความจริง ชูฮันเข้าใจว่าสมองของปรมาจารย์นั่นมักจะแตกต่างกับคนธรรมดาทั่วไป มันเป็นความจำเป็นที่ต้องฆ่าหมาทิ้งแต่ซูเฟิงกลับไม่ยอมทำ ดังนั้นชูฮันเลยใช้วิธีการใหม่เขาคว้าหูกระต่ายของหวังไคขึ้นมาจากกระเป๋า ซูเฟิงและหลิงโหลวมองตามกระต่ายที่โดนชูฮันโยนออกมา จากนั้นก็เบนสายตากลับมามองชูฮัน นี่มันหมายความว่ายังไง? “กระต่ายของฉันก็มีแค่ตัวเดียวในโลก มันสามารถพูดได้ อยากได้ยินมั้ยล่ะ?” ชูฮันที่คว้าหวังไคขึ้นมาพูดพร้อมใช้นิ้วดันหลังหวังไค จากนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “หวังไค ร้องเสียงหมาสิ” หวังไคช็อคค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก มันรู้สึกตลกสิ้นดีกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากหลุดอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่งมันก็ค่อยๆขยับปาก “โฮ่ง” ทันทีที่เสียง ‘โฮ่ง’ ดังออกมา ทันใดนั้นหวังไคก็รู้สึกว่าชีวิตของมันคงจบสิ้นแล้ว ซูเฟิงและหลิงโหลวที่อยู่ตรงข้ามได้แต่ยืนตะลึงค้างตกใจอย่างมากจนทำอะไรไม่ถูก จากนั้นก็หันไปมองกระต่ายที่รู้วิธีเห่าเหมือนหมา ชูฮันตบเรียกสติหวังไคที่ช็อคค้างไปแล้วให้กลับมา พลางเผยรอยยิ้มอ่อนโยนและแสดงถึงความเข้าอกเข้าใจให้ซูเฟิง “คุณเห็นมั้ย มันก็มีแค่ตัวเดียวเหมือนกัน กระต่ายที่สามารถเห่าเหมือนหมาได้ หรือจะให้ฉันช่วยคุณหาหมาที่สามารถส่งเสียงกระต่าย?” ลำคอของซูเฟิงแห้งผากและไม่สามารถส่งเสียงพูดออกมาได้ “สรุปว่ายังไง? คุณอยากจะตามฉันไปด้วยกันมั้ย?” ชูฮันยังคงวางเบ็ดต่อไป “คุณคิดว่า ในโลกนี้มันจะมีหมาที่เรียนรู้วิธีส่งเสียงแบบกระต่ายมั้ย?!”“กระต่าย แต่ปกติกระต่ายมันไม่ส่งเสียงนะ” ซูเฟิงไม่สามารถตามความคิดประหลาดๆของชูฮันได้ทัน “โอ้ะ ขอโทษที งั้นฉันจะหาหมาที่สามารถวิ่งเหมือนกระต่ายให้ละกัน” ชูฮันยิ้ม หวังไคมีแค่ตัวเดียวในโลกเท่านั้น แน่นอนว่าหมาที่สามารถวิ่งแบกระต่ายได้นั่นไม่มีอยู่จริงแต่เขาสามารถบอกให้หลูปิงเซ่อทำให้สัตว์เชื่องได้! ปัญหาที่กำลังถกเถียงกับชูฮันอยู่นั่นเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายของซูเฟิง ไม่ว่าทั้งเรื่องกระต่ายหรือหมา ซูเฟิงหมดความคาดคิดที่จะสู้กับหลิงโหลวต่อและจิตสังหารที่เขาปล่อยแผ่กระจายออกมาก่อนหน้านี้ก็สลายหายไปหมดแล้ว “ดี! งั้นฉันจะคิดว่านั่นคือคำตอบตกลงละกัน” ชูฮันตัดสินใจให้ซูเฟิงแทน จากนั้นก็หันไปยิ้มกับหลิงโหหว “ส่วนสำหรับเธอ ต้องการเข้าร่วมกับฉันมั้ย? ซางจิงในตอนนี้แตกต่างจากเมื่อตอนในอดีต เธอจะผิดหวังเมื่อไปถึงที่นั่น” “ขอโทษ แต่ฉันจะไม่เข้าร่วมกับคุณ” น้ำเสียงของหลิงโหลวเย็นชา แววตาที่มองซูเฟิงแสดงถึงความไม่เป็นมิตร “ฉันไม่อยากเข้าร่วมกับผู้ชายคนนี้” “อย่าใช้ความเกลียดชังแบบนั้นมาตัดสินสิ เธอไม่จำเป็นต้องเกลียดฝังลึกขนาดนี้และเขาก็ไม่ได้พูดจาดูถูกเธอซะหน่อย” ชูฮันค่อนข้างเสียใจกับคำปฏิเสธของหลิงโหลว “คุณ! คุณอยากตายใช่มั้ย?!” ความโกรธของหลิงโหลวปะทุขณะเดียวกันจิตสังหารของเธอก็ล้นทะลักพุ่งเข้ามาปะทะชูฮัน “อย่าพูดอย่างนั้น” โดยไม่คาดคิด ชูฮันกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับอารมณ์รุนแรงของหลิงโหลวเลย กลับกันเขายังมีท่าทีผ่อนคลายอีกด้วยซ้ำ “ฉันแค่คิดว่าเธอไม่ใช่คนโง่!” หลิงโหลวที่ปล่อยจิตสังหารรุนแรงออกมาทว่าข้างในใจเธอกลับรู้สึกอิจฮาชูฮัน เธอไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของชูฮันด้วยซ้ำ แม้แต่ภายใต้พลังผันผวนระยะ 6 ของเธอ เขายังกล้าเผยชื่อตัวเองให้รับรู้? เขาควรจะเก็บเงียบชื่อของเขาไว้ในใจ ไม่ใช่พูดมันออกมาง่ายๆแบบนี้! ซูเฟิงที่หลบข้างสังเกตสถานการณ์อยู่เองก็สังเกตเห็นรายละเอียดนี้เช่นกัน เขามองชูฮันด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ “ก็ ในเมื่อคุณพูดแบบนั้น งั้นก็มาพูดถึงอีกปัญหากันเถอะ” ทันใดนั้นชูฮันก็เผยรอยยิ้มเรียบๆออกมาและชี้นิ้วไปที่ข้างล่างภูเขา “รอยแตกขนาดใหญ่บนภูเขานั่นมันอะไรกัน? และเพราะรอยแตกนั่น ทีมของฉันและตัวฉันจึงต้องปีนเขาขึ้นมาแทน แต่โชคร้ายที่การปีนเขาพังทลายลงเพราะหิมะถล่มที่เกิดจากการต่อสู้ของพวกคุณทั้งสองคน ตอนนี้มากกว่าหนึ่งร้อยคนของหน่วยทหารของฉันได้หายตัวไป ใครจะเป็นคนรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้? รอยแตกนั่นเกิดจากพวกคุณสองคนใช่มั้ย?” ในเมื่อความขัดแย้งได้รับการแก้ไขแล้ว ชูฮันจึงยกเรื่องต่อไปมาพูด รอยแตกที่ทำให้ชูฮันรู้สึกแปลกๆนั่นน่าจะต้องเกี่ยวข้องกับทั้งสองคนนี้อย่างแน่นอน แต่นี้มันยิ่งกว่าเหลือเชื่อ รอยแตกนั่นมันต้องสำหรับคนที่แข็งแกร่งมากต้องเป็นวิวัฒนาการระยะ 9 หรือมากกว่า ไม่เช่นนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เกิดรอยแตกใหญ่ขนาดนี้ได้? และเห็นได้ชัดว่าซูเฟิงและหลิงโหลวในตอนนี้ยังไม่ทรงพลังมากขนาดนั้น เมื่อมองไปที่รอยยิ้มของชูฮันที่ขัดแย้งกับน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยนัยนะบางอย่างกับคำถาม ซูเฟิงและหลิงโหลวที่อยู่ระดับสูงก็มีสีหน้าหงิกงอ “คุณต้องการจะถามอะไรเรากันแน่?” ดวงตาของหลิงโหลวส่องประกายอันตราย ซูเฟิงเป็นนอกคอกเพราะพฤติกรรมที่แปลกประหลาดกว่าคนทั่วไปของเขา เขาไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเพราะจู่ๆเขาก็เริ่มสนใจในคำพูดของชูฮัน การพูดของผู้ชายคนนี้มักจะเหนือความคาดหมายของเขาเสมอ ชูฮันไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวต่อทั้งสองคนตรงหน้าที่มีระยะสูงกว่าและแข็งแกร่งกว่าเขา อีกทั้งยังสบตากับหลิงโหลวจากนั้นก็ชี้นิ้วใส่ตราตำแหน่งตรงหน้าอกตัวเอง “ทีมสำรองของเขี้ยวหมาป่าถูกยุบไปแล้ว ถ้าเธอไม่เชื่อเธอจะไปที่ค่ายซางจิงแล้วถามกับผู้บัญชาการมู๋เลยก็ได้ ซึ่งมันหมายความว่าตอนนี้เธอเป็นแค่คนธรรมดา ไม่มีประวัติใดๆในการเข้าร่วมกับกองทัพ และเพราะฉะนั้นฉันเป็นถึงพลเอกจึงมีสิทธิถามคำถามเธอ ไม่ใช่เหรอ?” หลิงโหวนิ่ง หัวใจเต้นรัว แน่นอนว่าเธอไม่สามารถเอาชนะสิ่งที่ชูฮันพูดมาได้และเธอก็หมดคำที่จะเถียงเช่นกัน หลังจากพูดจัดการหลิงโหลวเสร็จ ชูฮันก็หันไปมองซูเฟิงอีกครั้ง “สำหรับคุณเนื่องจากคุณจะเข้าร่วมกับฉัน คุณจะคือผู้ใต้บังคับบัญชาของฉันและฉันคือหัวหน้าคุณ ฉันสามารถถามคำถามคุณได้มั้ย?” ซูเฟิงเองก็ตะลึงและพูดไม่ออก หากมันไม่ใช่เพราะเขาโง่เง่าแต่มันแค่ดูไม่ควรจะพูดมากกว่า เฉินช่าวเย่ที่ยืนอยู่ห่างไกลออกไปก็ยกนิ้วโป้งให้หัวหน้าของเขา สุดยอดที่สุด!
คอมเม้นต์