Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย ตอนที่ 433
หลิวยี้พูดอย่างที่คิดจริงๆออกมา ผู้หญิงในทีมของเฉินเสี้ยนกาวเป็นเสี้ยนหนามในใจพวกเขามานานแล้ว หากเป็นเพราะความกลัวที่มีต่อชูฮันที่ทำให้พวกเขาต้องกดมันไว้ ไม่เพียงแต่นอกจากจะใส่เสื้อผ้าที่ควรเป็นของพวกเขาแล้ว แต่ทีมของเฉินเสี้ยนกาวยังไม่สนใจจะทำอะไรเพื่อส่วนรวมเลย ซึ่งพวกเขาไม่พอใจอย่างมาก! คนรอบตัวต่างแสดงสีหน้าแตกต่างกันไปกับคำพูดของหลิวยี้ ส่วนใหญ่ในหมู่ทหารสองร้อยนายรู้สึกว่าคำพูดของหลิวยี้ถูกต้องแล้ว ตลอดสองวันที่ผ่านมา พวกเขาไม่ได้บอกความไม่พอใจแก่ชูฮัน ส่วนใหญ่พวกเขาแค่ปะทะกับเฉินเสี้ยนกาวและพรรคพวกในเรื่องของอาหารกันไปมา อย่างไรก็ตาม ชูฮันไม่ได้ออกมาจากรถจี๊ปเลยตลอดสองวันที่ผ่านมา พวกเขาจึงต้องจัดการเรื่องทุกอย่างกันเอาเองและมักมีปัญหากับอีกฝ่ายอยู่เป็นประจำ ความกลัวที่มีต่อชูฮันค่อยๆลดลง เช่นเดียวกับความไม่พอใจที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ชูฮันที่อยู่ในรถจี๊ปนั่งเคาะนิ้วดูสถานการณ์ข้างนอกผ่านหน้าต่าง หลังจากมองหน้าหลิวยี้จนจำได้ ชูฮันก็ก้มหน้ากินต่ออย่างไม่สนใจ… เฉินช่าวเย่และหลิวยู่ติงเหลือบมองตากันไปมา คำพูดของหลิวยี้ทำให้ทั้งสองรู้สึกอึดอัดใจ โดยเฉพาะเฉินช่าวเย่ที่แทบอยากจะระเบิดหลิวยี้ทิ้ง ติงเซวและชูเซี่ย ทั้งสองอยู่ในเมืองตงกับชูฮันและผ่านสงครามมาด้วยกัน อีกทั้งติงเซวก็ยังเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนในมหาวิทยาลัยกับชูฮันและเป็นผู้ตรวจสอบห้องเรียนอีกด้วย การที่เธออยู่ในทีมนี้เป็นคำสั่งโดยตรงของชูฮันเอง ไม่ต้องสนใจการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มของเฉินเสี้ยนกาวและหลี่บี๋เฟิง ความจริงแล้วคนควบคุมที่แท้จริงในเรื่องการใช้วัตถุดิบต่างๆนั้นคือติงเซว เธอเป็นคนที่รู้ว่าต้องจัดการอะไรยังไง ของทุกอย่างที่ถูกเบิกออกไปใช้จากการมอบหมายของเธอนั้นได้ผ่านการยินยอมจากชูฮันแล้ว ชูฮันจะมองและพยักหน้ารับผ่านทางหน้าต่างโดยไม่มีการสื่อสารผ่านคำพูด มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ แต่เฉินช่าวเย่และหลิวยู่ติงจะไม่รู้ได้อย่างไรในเมื่ออยู่ในรถคันเดียวกัน? เพราะงั้นเมื่อหลิวยี้พูดแบบนั้นออกมาสายตาของทั้งคู่จึงเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมขึ้นมาทันที “หัวหน้า” เฉินช่าวเย่ไม่ได้โกรธอย่างนี้มานานมากแล้ว โดยเฉพาะตั้งแต่ที่พลังพรสวรรค์ของเขาถูกกระตุ้นออกมา การได้เห็นคำพูดและท่าทางของอีกฝ่ายแบบนี้ทำให้เฉินช่าวเย่ทนไม่ไหว ได้เห็นภาพผู้ตรวจสอบของหัวหน้าในมหาวิทยาลัยถูกข่มเหงแบบนี้ เฉินช่าวเย่แทบชักปืนขึ้นมาเดี๋ยวนี้ หากเขาก็ต้องรอให้ชูฮันพยักหน้าอนุญาตก่อน ชูฮันมองเฉินช่าวเย่ สายตาแปลกๆและถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยขึ้นมา “แกชอบติงเซวเหรอ?” “พุฟ—-” หลิวยู่ติงที่กำลังมีสายตาดุร้ายถึงกับสำลักออกมาทันที เขาอยากจะบอกชูฮันว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะมาเล่นตลก แต่เขาเองก็รู้ว่าเฉินช่าวเย่มักจะแอบมองติงเซว ทั้งหน้าของเฉินช่าวเย่ขึ้นสีแดงก่ำด้วยความเขิน สายตาล่อกแลกไปมา ไม่รู้ว่าจะวางสายตาไว้ตรงไหน เขากัดริมฝีปากอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี พรึบ! พรึบ! หลิวยู่ติงหยิบชิ้นเนื้อที่ตกขึ้นมา ส่วนเนื้อที่อยู่ที่มือของหวังไคที่ซ่อนอยู่ในมุมกลับตกลงพื้นแทน หนึ่งคนและหนึ่งกระต่ายต่างตะลึงและมองไปที่ชายอ้วนตรงหน้า…เฉินช่าวเย่ชอบติงเซว? “ก็ ผมชอบติงเซว” หลิวยู่ติงมองชูฮันด้วยสายตาแปลกๆ นายมองไอ้เด็กอ้วนนี่ออกได้ยังไง? ทำไมเขาถึงมองไม่ออกเลยสักนิด? ชูฮันมองเจ้าหมูเฉินช่าวเย่ที่ตัวแดงไปทั้งตัวอย่างไม่รู้จะช่วยยังไง ไม่มีใครสามารถเข้าใจลักษณะนิสัยของเฉินช่าวเย่ได้ดีกว่าเขา เฉินช่าวเย่เป็นคนขี้เกียจและไม่คิดจะทำอะไร เฉินช่าวเย่ไม่สนใจอะไรนอกจากทำตามคำสั่งของเขาเท่านั้น แต่วันนี้เมื่อติงเซวโดนดูถูก เฉินช่าวเย่กลับมีปฏิกิริยาแตกต่างไปจากปกติ ปฏิกิริยาของเฉินช่าวเย่มันชัดเจน! และในขณะที่บรรยากาศในรถจี๊ปกำลังแปลกๆอยู่นั้น กลุ่มคนด้านนอกก็เริ่มทะเลาะกันรุนแรงขึ้นไปอีก “กินของเรา ใส่เสื้อผ้าของพวกเรา แล้วยังไม่พอใจกับเนื้อที่เราเหลือไว้ให้อีก?!” “ไอ้หมาเนรคุณ!” “แถมยังต้องเดินถนน แต่พวกแกได้นั่งรถ พวกแกคิดว่าตัวเองเลิศเลอมาจากไหน” “เหอะ! ในเมื่อมีผู้หญิงอยู่สองคน ทำไมไม่ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อยล่ะ?” มีเสียงดังโหวกเหวกโวยวายขึ้น เฉินเสี้ยนกาวและพรรคพวกโกรธจัด ผู้หญิงเพียงสองคนในทีมของพวกเขาคือติงเซวและชูเซี่ยตัวสั่นเทิ้ม ติงเซวโกรธจัดขณะจ้องไปที่กลุ่มคนตรงหน้า เธอรับไม่ได้กับสิ่งที่คนพวกนี้พูด “พวกแกพูดอะไร!” นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเสี้ยนกาวระเบิดอารมณ์แหกปากออกมารุนแรงขนาดนี้ เขาแหกปากใส่กลุ่มทหารสองร้อยนายตรงหน้า “หุบปากของพวกแกทุกตัวซะ ติงเซวและชูเซี่ยเป็นส่วนหนึ่งของทีมฉัน!” “เหรอ แล้วฉันพูดอะไรผิด?” หลิวยี้มองเฉินเสี้ยนกาวด้วยสายตาเฉื่อยชา และจ้องไปที่ติงเซวที่ยืนอยู่ด้านหลังเฉินเสี้ยนกาวอย่างหยาบคาย “แน่นอนว่าพวกเธอก็เป็นส่วนหนึ่งของทีมงั้นก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อทุกคน มาสนุกด้วยกันสิ!” “ฮ่าฮ่าฮ่า!” กลุ่มทหารต่างหัวเราะกันดังลั่นอย่างสนุกสนาน สายตาของหลายคนจับจ้องมาที่ผู้หญิงสองคนอย่างหยาบโลน “หุบปาก!” หลี่บี๋เฟิงตะคอก “ยังไงอาหารและเสื้อผ้าก็หมดไปแล้ว จะโจมตีผู้หญิงสองคนนี้ไปเพื่ออะไร?” หลี่บี๋เฟิงที่ในใจก็ยังกลัวต่อชูฮันอยู่ เขายังไม่กล้าที่จะทำให้ชูฮันโกรธขึ้นมา ถึงอย่างไรก็ตามความจริงแล้วของพวกนี้ก็เป็นของชูฮันถ้าจะพูดกันตามจริง พวกเขาไม่มีสิทธิจะไปกล่าวอ้างว่าเป็นของตัวเอง มันมากเกินไปที่จะพูดว่าของพวกนั้นเป็นของพวกเขา และการจ้องอย่างหยาบโลนใส่ผู้หญิงในทีมของเฉินเสี้ยนกาวแบบนั้นมันก็ไร้มนุษยธรรมเกินไป อีกอย่างผู้หญิงสองคนนั้นก็ทำหน้าที่ทำอาหารให้ทุกคนกิน ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่มีอาหารอร่อยให้กินกันแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นชูเซี่ยอายุแค่ 15 ปีเอง หลี่บี๋เฟิงจึงรู้สึกทนฟังคำพูดพวกนี้ต่อไปไม่ไหว “หลี่บี๋เฟิง นี่นายทำสมองหายไปแล้วเหรอไง?” เมื่อเห็นว่าหลี่บี๋เฟิงกำลังช่วยพวกของเฉินเสี้ยนกาว หลิวยี้จึงผลักหลี่บี๋เฟิงออกมาจากกลุ่ม “และสองสาวนั้น พวกเธอควรจะสร้างสีสันให้พวกเราหน่อย ยังไงวันนี้ฉันต้องได้ผู้หญิง!” ติงเซวเป็นคนสวยอยู่แล้ว เธอเคยเป็นหนึ่งในสี่ดอกไม้งามของมหาวิทยาลัยหมิงชิ และเป็นหญิงที่มีชื่อเสียงในเมืองหมิงชิวอีกด้วย ตั้งแต่เธอได้เจอกับชูฮันหลังจากการปะทุเธอก็เริ่มมีชีวิตที่ดีขึ้น รูปร่างหน้าตาก็เริ่มกลับมาโดดเด่นเหมือนเดิม เพราะไม่ได้ยากลำบากอย่างตอนแรก มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่การอยู่ท่ามกลางผู้ชายร่วมสามร้อยคน จะไม่มีใครคิดไม่ดีกับเธอ หลิวยี้เองก็เป็นหนึ่งในนั้น แถมความต้องการของเขายังแรงกล้ามากอีกด้วย!
คอมเม้นต์