Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย ตอนที่ 377
“2 คนนั้น หนึ่งในนั้นเราเคยเจอแล้วในอันลู” หลังจากเดินห่างออกจากค่ายตวนมาไกล หวังไคที่รออยู่ก็พูดขึ้นมา “อืม” คนพวกนี้มาตามหาเขา “ตอนนั้นที่เราอยู่ในซิงเฉิน มีกลุ่มคนมา” หวังไคพยายามนึก “ฉันไม่รู้ชื่อ แต่ตำแหน่งเขาค่อนข้างสูง” “ไม่ว่าพวกมันจะเป็นใครก็ตาม พวกมันมาที่นี้เพื่อตามหาฉัน” ชูฮันไม่ได้เร่งรีบ เขาเดินไปเรื่อยๆตามถนนเพื่อหาที่ตั้งของพวกซอมบี้ “แล้วทำไมนายไม่ได้อยู่กับพวกเขาล่ะ? แล้วนายจะได้ไปซางจิงโดยตรงเลยทันที นายก็ไม่ได้เร่งรีบอะไรขนาดนั้นหนิ นายจะกลับไปที่อันลูก่อนจะไปซางจิงก็ได้ เรื่องของชิ้นส่วนระบบมันก็ขึ้นอยู่กับนาย เพราะนายน่าจะกังวลเรื่องนี้มากกว่าใครทั้งนั้น?” หวังไคถามคำถามจำนวนมาก “แน่นอน” ชูฮันพุ่งเข้าไปในกลุ่มซอมบี้และไล่ฆ่าพวกมัน สำหรับชูฮันแล้วพวกมันก็เหมือนกับลูกหมาที่ทำอะไรเขาไม่ได้ ชูฮันไล่เปิดกระโหลกของพวกมันทุกตัว ไม่ว่าพวกมันจะเป็นซอมบี้ระยะ 2 หรือ 3 พวกมันคือศัตรูของเขา จากนั้นชูฮันก็พูดกับหวังไคด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ตอนนี้ที่เมืองอันลู ฉันคาดว่านอกจากหยางเทียน มันยังมีคนอื่นรอฉันอยู่อีก ถ้าฉันไปปรากฏตัวที่เมืองอันลูตอนนี้ฉันจะพลาดโอกาสไป แต่อีกฝ่ายก็กลัวเกินกว่าจะกล้ามาเผชิญหน้ากับฉัน จุดประสงค์ไม่ได้แค่เพื่อต้องการตามหาตัวฉันเท่านั้น?” ชูฮันหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ส่วนพันโทสองนายที่มุ่งหน้าไปซางจิงนั่นก็น่าตลกสิ้นดี ถ้าเรากดดันบางอย่างมากเกินไปผลสุดท้ายเราอาจจะเสียมันไปเลยก็ได้” “มนุษย์นี่ช่างซับซ้อนเหลือเกิน” หวังไคถอนหายใจยาว “ปัญหาของซอมบี้ก็ยังแก้ไขไม่ได้ แถมยังมีลูกผสมสายพันธุ์ใหม่กำเนิดขึ้นมาอีก นี่ยังไม่ใช่จุดจบของมนุษยชาติ วิกฤตที่แท้จริงมันพึ่งจะเริ่มต่างหาก” “มันซับซ้อนจริงๆแหละ” ชูฮันรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยอยู่ในอก “ฟางหลงและเติ้งเวยป๋อยังคงอยู่ในค่ายผู้รอดชีวิตในซางจิง และก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของพวกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ส่วนฟานฮงเหวียนทั้งหมดที่รู้ก็แค่เขาอยู่ทางใต้ ตอนนี้มันก็เป็นเวลาเกือบ 6 เดือนแล้วตั้งแต่เกิดการปะทุขึ้น ไม่เพียงแต่ต้องช่วยชีวิตแม่และตามพ่อให้เจอ แต่ยังต้องช่วยชีวิตคนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้อีก แต่ฉันข้องแวะกับผู้คนมากเกินไปและมันก็ทำให้มีคนมากมายที่อยากจะฆ่าฉันให้ตาย หลายอย่างมันอยู่เหนือการควบคุม มันมาถึงภาวะที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก” หวังไคฟังอย่างนิ่งเงียบ มันไม่เข้าใจการกระทำของชูฮันที่เหมือนจะไล่ตามวิญญาณชั่วร้ายด้วยวิญญาณชั่วร้าย มันไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของชูฮันที่แทรกตัวไปอยู่ในทุกๆที่ ก็เหมือนกับซงเสี่ยวที่ก่อนหน้านี้ในค่ายตวน และชูฮันก็กึ่งบังคับให้ตวนเจียงเหว่ยรู้สึกเป็นหนี้ ทว่าชูฮันก็ยังไม่พอใจ อะไรคือสิ่งที่ชูฮันต้องการ และทำไมมันต้องซับซ้อนวุ่นวายขนาดนี้? เมืองอันลู สมาคมนักล่า สถาบันวิจัยซิงเฉิน ค่ายตวน ค่ายหนานตู้ และที่ชูฮันมักจะหลีกเลี่ยงค่ายซางจิงอยู่ตลอด ความเกี่ยวข้องทั้งหลายมันเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่หวังไคก็ยังรู้สึกกลัว ทุกอย่างมันใหญ่โตเกินจะควบคุมแล้ว ——– ด้านนอกของค่ายเล็กๆนอกเมืองอันลู หยางเทียนยืนอยู่หน้าโต๊ะของซางจิ่วตี้ ติงซือเย้าที่นั่งจิบชาอยู่อย่างสบายอารมณ์ เขามองไปที่คนสองคนที่เห็นได้ชัดถึงความแตกต่างด้านพละกำลัง คนหนึ่งที่ยืนกับคนหนึ่งที่นั่งอยู่ ช่างเป็นภาพที่ทำให้รู้สึกค่อนข้างตลก บางครั้งติงซือเย้าก็รู้สึกว่าค่ายแห่งนี้เป็นที่พักผ่อนที่ดีทีเดียว เพียงแค่ว่าน่าเสียดายที่โลกาวินาศไม่อนุญาตให้ทุกคนอยู่อย่างสุขสบายโดยไม่ทำอะไรได้ ตอนนี้หยวนซีเยก็ปักหลักอยู่ที่นี้และทางซางจิงก็ยังไม่ได้ถอนภารกิจของเขา มันมีอะไรเกิดขึ้นกัน? เขาไม่อยากจะรู้และไม่อยากจะเสียเวลาไปคิด ทั้งบ้านเงียบสงบอย่างมากจนได้ยินเสียงขยับปากกาในมือซางจิ่วตี้ที่กำลังนั่งเขียนเอกสารบางอย่างอยู่ สำเนาของแผนการถูกปรับเปลี่ยนหลายต่อหลายครั้ง ชูฮันให้เวลาพวกเขาทั้งหมดแค่ 6 เดือน ทว่าแค่ร่างแผนงานก็ใช้เวลาไปแล้ว 1 ใน 3 ที่มี “ฉันอยากฉลองปีใหม่” หยางเทียนเปิดปากพูดก่อน ซางจิ่วตี้เพียงแค่เงยหน้าขึ้นมามองหยางเทียนที่มีแววตาคลับคล้ายกับชูฮัน หยางเทียนเอ่ยปากถาม “แล้วเงินทุน?” ตาของหยางเทียนเป็นประกาย “นี่เป็นปีใหม่ปีแรกของค่ายเรา ทุกคนต้องอยากให้มันออกมาดี” ติงซือเย้าหยุดนิ่งขณะมองไปที่ซางจิ่วตี้ด้วยสำหน้าจริงจัง ในขณะนี้ค่ายยังคงอยู่ในระยะดั้งเดิมแรกเริ่มอยู่ เทียบไม่ได้เลยสักนิดกับค่ายอื่นๆที่พัฒนาไปไกล ทว่าตอนนี้ปัญหาเรื่องการขาดอาหารได้ถูกแก้ไขแล้วเรียบร้อยและยังมีโครงสร้างอีกมากมายที่รอเริ่มดำเนินการอยู่ ซางจิ่วตี้ย่นคิ้วเล็กน้อย วัสดุในค่ายไม่ได้ขาดแคลนทว่ามันหาได้ยากมากในตอนนี้ที่ช่วงเวลาสอดคล้องกับปีใหม่ และถ้าเป็นเช่นนั้นมันจะทำให้ผู้รอดชีวิตทั่วไปสูญเสียความรู้สึกของความเป็นอยู่แบบปกติในค่ายไป ถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะทำยังไงต่อ? มือของซางจิ่วตี้ที่จับปากกาอยู่เริ่มกลายเป็นสีขาว บนหน้าผากก็เริ่มมีเหงื่อซึมออกมา ถ้าชูฮันอยู่ที่นี้ เขาคงมีทางออก หยางเทียนรู้สึกผิดที่เอ่ยคำขอดังกล่าว หยางเทียนมองไปที่ความลำบากใจบนหน้าของซางจิ่วตี้ แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าทำไม เพราะหลังจากการจัดการทุกอย่างภายใต้การดูแลของซางจิ่วตี้ ค่ายก็เป็นระบบระเบียบดีขึ้นอย่างมาก ทุกอย่างเป็นไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ค่ายมีการพัฒนา เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างมีอำนาจในมือพอสมควร อย่างไรก็ตาม…คำถามของเรื่องปีใหม่ก็มีมาเรื่อยๆจากผู้คนในค่าย อะไรคือความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างคนที่อาศัยอยู่ในฐานและคนที่พลัดถิ่น?…มันคือการติดต่อหรือความผูกพัน ถ้าทางฐานไม่สามารถดึงความผูกพันอย่างน้อยที่สุดระหว่างผู้คนในฐานได้ มันก็ไร้ประโยชน์ ทุกคนจะเลือกอยู่สบายอย่างไม่สนใจอะไร ในตอนนี้ค่ายเมืองอันลูเพียงแค่พึ่งจะพัฒนาเท่านั้น ซึ่งมันก็เพียงพอได้แค่ให้สถานที่ธรรมดาเรียบง่ายให้ผู้คนได้อยู่อาศัย หยางเทียนเข้าใจถึงความเป็นจริงข้อนี้ ซางจิ่วตี้เองก็เช่นกัน แต่ตอนนี้มันไม่มีหนทาง…ปีนี้กำลังจะจบลงแล้วอย่างนั้นเหรอ? “ฉันว่า” เมื่อมองไปที่สองคนที่เอาแต่เงียบ ทันใดนั้นติงซือเย้าก็พูดขึ้นมา “ถ้าชูฮันอยู่ที่นี่ เขาจะจัดงานปีใหม่มั้ย?” “เขาจะทำให้งานปีใหม่ปีแรกของค่ายมีชีวิตชีวาอย่างแน่นอน” ซางจิ่วตี้ยิ้มออกมาทว่ามันก็จางหายไปในพริบตา “แล้ว—-เราจะจัดงานปีใหม่มั้ย?” หยางเทียนไม่กล้าที่จะพูดอะไรมาก แม้เขาจะรู้ว่าชูฮันจะไม่มีทางปล่อยให้ปีใหม่ผ่านไปอย่างแน่นอน ทว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือตอนนี้ชูฮันไม่ได้อยู่ที่นี้ และมันเป็นไม่ได้สำหรับเขาและซางจิ่วตี้ที่จะทำมันเอง “คิดสิ ว่าถ้าชูฮันอยู่ที่นี้ เขาจะทำยังไง?” จู่ๆติงซือเย้าก็พูดออกมา ถึงแม้ตัวติงซือเย้าเองก็หาทางออกไม่ได้ แต่จากแบบแผนความคิดของชูฮัน ชูฮันมักจะหาจุดที่ฝ่าปัญหาออกไปได้เสมอ “ชูฮัน? ถ้าเป็นเขา เขาจะทำอย่างไร?” ซางจิ่วตี้คิดถึงประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมาคนเดียว ในขณะนั้นเอง เจียงฮงหยูที่อยู่ด้านนอกตัวบ้านจู่ๆก็เคาะประตูและเดินเข้ามา “มีคนมา 2 คน?” ซางจิ่วตี้ขบคิดอยู่ในใจ ใครกัน? เจียงฮงหยูตอบ “พลตรีที่มาจากซางจิงและบางคนที่อ้างว่ามาจากสถาบันวิจัยของจีน” แย่แล้ว!ซางจิ่วตี้มีท่าทีวิตก…มาในช่วงเวลาอ่อนไหวแบบนี้ พวกเขาต้องการจะทำอะไรกัน!?
คอมเม้นต์