Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน ตอนที่ 1042
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1042 กำจัดปัญหาแปลโดย iPAT ฉีช่ายไม่สามารถรักษาความสงบขณะที่ฟางหยวนก็ขมวดคิ้วลึก เขาใช้วิญญาณอมตะดาบบินทำลายอสรพิษปราณแต่มันยังสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว อสรพิษปราณพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวนอย่างไม่หยุดยั้ง ‘วิญญาณดาบบินทรงพลังแต่ฝ่ายตรงข้ามสามารถฟื้นตัวและไม่สามารถทำลายได้โดยง่าย’ ฟางหยวนคิด ก่อนหน้านี้เมื่อเผชิญหน้ากับอสูรโคลนเดียวดาย ฟางหยวนก็รู้สึกเช่นเดียวกันนี้ นี่เป็นเพราะเขาขาดท่าไม้ตายอมตะ หากเขามีท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งดาบ มันจะสามารถแก้ปัญหาของเขา อย่างไรก็ตามทั้งหมดยังอยู่ในการคาดเดาของฟางหยวน ดังนั้นฟางหยวนจึงใช้วิธีหลบหนี แต่เขาไม่คิดว่าศัตรูจะใช้ท่าไม้ตายเพื่อไล่ล่าเขา ตอนนี้ฟางหยวนจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ก่อนหน้านี้เขาเหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามเพราะเขาใช้ท่าไม้ตายระดับมนุษย์ที่หลากหลาย แต่หลังจากใช้วิญญาณอมตะและต่อสู้กันอย่างจริงจัง ฟางหยวนกลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หลังจากทั้งหมดฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดขณะที่ฟางหยวนเป็นผู้อมตะระดับหก ฟางหยวนตระหนักว่าเขาไม่สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้าม แท้จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าเขาสามารถมาถึงจุดนี้ ‘ข้ามีวิญญาณอมตะเพียงสองดวงขณะที่ศัตรูมีการบ่มเพาะที่เหนือกว่าและมีทักษะที่หลากหลาย หากเขามีท่าไม้ตายเขตแดนอมตะ กระทั่งข้าจะใช้วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติ ข้าก็ยังไม่สามารถหลบหนี’ วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติ! โดยปราศจากความลังเล ฟางหยวนใช้วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติพุ่งทะยานออกไปอีกครั้ง “ฮืม ขี้ขลาด!” ฉีช่ายเย้ยหยัน กลยุทธ์ในการต่อสู้ของฉีช่ายคือการลดความแข็งแกร่งของศัตรู เมื่ออสรพิษปราณถูกทำลาย มันยังหลอมรวมเข้ากับท่าไม้ตายเขตแดนและทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป แม้ฉีช่ายจะไม่ใช้วิญญาณอมตะ แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็จะเพิ่มขึ้นโดยใช้พลังงานอมตะน้อยลง ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นกลยุทธ์ที่ดี แต่ฟางหยวนตัดสินใจที่จะหลบหนีอย่างรวดเร็ว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเปลี่ยนสนามรบตลอดเวลาและทำให้ฉีช่ายไม่สามารถสะสมความแข็งแกร่ง ผู้ใช้วิญญาณมีความเร็วในการเคลื่อนที่ที่จำกัด พวกเขามักถูกขังไว้ในสนามรบเดิม แต่ผู้อมตะสามารถเคลื่อนไหวได้หลายพันลี้ในระยะเวลาสั้นๆ นี่คือความแตกต่างระหว่างผู้อมตะและผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเอาชนะผู้อมตะแต่เป็นเรื่องยากที่จะสังหารพวกเขา เว้นเพียงฝ่ายตรงข้ามจะมีท่าไม้ตายเขตแดนอมตะที่สามารถกักขังศัตรูเอาไว้ภายใน อย่างไรก็ตามท่าไม้ตายเขตแดนต้องใช้เวลาในการติดตั้ง เมื่อผู้อมตะเริ่มต่อสู้ พวกเขาจะลอบติดตั้งมันอย่างลับๆ เพื่อให้ศัตรูตกลงสู่กับดัก แม้ฟางหยวนจะหลบหนี แต่ฉีช่ายยังไล่ล่า ฟางหยวนทำลายหมู่บ้านตระกูลหนี่ซึ่งเป็นเขตปกครองของฉีช่าย หากเขาปล่อยฟางหยวนไป เขาจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียว สิ่งสำคัญก็คือฉีช่ายเกรงว่าฟางหยวนจะเป็นสมาชิกของกองกำลังฝ่ายตรงข้าม ตระกูลฉีกำลังจะได้รับชัยชนะในการแข่งขันของนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียง ในช่วงเวลาสำคัญ ฉีช่ายไม่สามารถปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ดังนั้นเขาจึงต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด ‘เหตุใดเขาจึงไล่ล่าข้าอย่างไม่ลดละ?’ ฟางหยวนรู้สึกสับสน ในความทรงจำของเขา ตระกูลหนี่ไม่มีผู้อมตะอยู่เบื้องหลัง แต่การกระทำของฟางหยวนกลับดึงดูดการโจมตีของผู้อมตะสองคน หนึ่งในนั้นยังเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด ฟางหยวนไม่รู้แรงจูงใจของฉีช่ายเพราะเขาไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับการเดิมพันของนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียง ในสถานการณ์นี้ฟางหยวนสามารถล่าถอยเท่านั้น หลังจากต่อสู้และล่าถอยหลายรอบ ฟางหยวนเริ่มได้รับข้อมูลมากขึ้น ‘ผู้อมตะระดับหกผู้นี้ดูเหมือนจะพึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางเรียกผู้อมตะระดับเจ็ดว่าลุงทวด ทั้งสองควรเป็นสมาชิกครอบครัวที่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด’ ‘ผู้อมตะระดับหกไม่ใช่ภัยคุกคาม หากนางสามารถโจมตี นางคงทำไปนานแล้ว แต่ตลอดการต่อสู้ นางกลับนั่งนิ่งและไม่ทำสิ่งใดเลย’ ขณะที่ฟางหยวนได้รับข้อมูลบางอย่าง ฉีช่ายก็เช่นกัน “คนผู้นี้เป็นผู้อมตะระดับหกแต่กลับใช้วิญญาณอมตะระดับเจ็ด ฮ่าฮ่า” ฉีช่ายหัวเราะและรู้สึกพูดไม่ออก ฟางหยวนคิด ‘ตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น ข้าใช้หินวิญญาณอมตะไปแล้วหลายหมื่นก้อน พวกมันล้วนมาจากแต้มผลงานของข้า!’ ‘คนผู้นี้มีกลยุทธ์ที่ดี เขาพยายามทำลายพลังงานอมตะของข้า แม้ข้าจะรู้แผนการของเขาแต่ข้าก็ไม่สามารถทำสิ่งใด’ หากฟางหยวนมีวิญญาณอมตะระดับหก เขาจะสามารถต่อสู้ได้เป็นเวลานานขณะที่สถานการณ์ของเขาจะไม่เลวร้ายเช่นนี้ ด้วยการบ่มเพาะระดับหก มันเป็นเรื่องยากที่จะใช้วิญญาณอมตะระดับเจ็ด ตอนนี้ฉีช่ายไม่สามารถจับตัวฟางหยวนขณะที่ฟางหยวนก็ไม่สามารถหลบหนี การต่อสู้ของพวกเขาเข้าสู่สภาวะชะงักงัน ฟางหยวนต้องขอหินวิญญาณอมตะจากจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาอย่างต่อเนื่อง นั่นทำให้แต้มผลงานของเขาลดลงอย่างรวดเร็ว ด้านฉีช่าย เขาตกตะลึงมากที่ฟางหยวนสามารถยื้อเวลามาจนถึงตอนนี้ ‘ผู้อมตะระดับหกผู้นี้แปลกมาก เขามีความมั่งคั่งที่ไม่ธรรมดา หากข้าได้รับมันมา มันอาจเป็นโชคลาภครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้า’ ดวงตาของฉีช่ายส่องประกายร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขารู้สึกเหมือนฟางหยวนเป็นคลังสมบัติเคลื่อนที่ แต่ในเวลาต่อมา ใบหน้าของฉีช่ายกลับแข็งค้างด้วยความตกใจ เขาคิด ‘ไม่ใช่ว่าเทือกเขาข้างหน้าคือเทือกเขาห้าภูมิภาคงั้นหรือ? โอ้ ไม่ เช่นนั้นนี่ก็คือแผนการของเขา ข้าไม่สามารถปล่อยให้เขาหลบหนีไปที่นั่น!’ เทือกเขาห้าภูมิภาคไม่ใช่เรื่องง่าย มันถูกสร้างขึ้นโดยผู้อมตะระดับแปดที่มีชื่อเสียงของภาคใต้ ชื่อของเขาคือเต๋าซู เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งข้อบังคับซึ่งเป็นสาขาย่อยของเส้นทางแห่งกฎ นี่เหมือนกับเส้นทางแห่งอารมณ์ที่เป็นเส้นทางย่อยของเส้นทางแห่งปัญญา เขาศึกษาเกี่ยวกับกำแพงภูมิภาคและพยายามคิดค้นวิธีการเดินทางผ่านกำแพงภูมิภาค เทือกเขาห้าภูมิภาคถูกสร้างขึ้นจากงานวิจัยของเขา น่าเสียดายที่เขาไม่ประสบความสำเร็จ หลังจากเสียชีวิต เขาทิ้งเทือกเขาห้าภูมิภาคเอาไว้เบื้องหลังและกลายเป็นพื้นที่พิเศษของภาคใต้ ฟางหยวนพยายามหลบหนีจากฉีช่าย เทือกเขาห้าภูมิภาคคือความหวังของเขา ฉีช่ายพยายามลดพลังงานอมตะของฟางหยวนขณะที่ฟางหยวนก็ทำตามความต้องการของฉีช่ายโดยการใช้วิญญาณดาบทะลวงมิติเดินทางมาหลายหมื่นลี้กระทั่งมาถึงเทือกเขาห้าภูมิภาค ฉีช่ายแสดงออกอย่างเย็นชาเมื่อฟางหวนบินเข้าสู่เทือกเขาห้าภูมิภาค เขาลังเลเล็กน้อยก่อนตัดสินใจกล่าวกับฉีอี้ “เจ้าอยู่ที่นี่ ราชสีห์ปราณจะปกป้องเจ้า หลังจากที่ข้าสังหารเขา ข้าจะกลับมาหาเจ้า” “ท่านลุงทวด ระวังตัวด้วย” ฉีอี้เร่งกล่าว ฉีช่ายพยักหน้าก่อนจะทะยานร่างตามฟางหยวนเข้าไปในเทือกเขาห้าภูมิภาค เมื่อฉีช่ายเข้าสู่เทือกเขา เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานลึกลับที่พยายามผลักดันเขาออกไป เทือกเขาแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นให้เหมือนกำแพงภูมิภาค เมื่อผู้อมตะเข้าไป พวกเขาจะรู้สึกถึงแรงกดดันราวกับอยู่ในกำแพงภูมิภาคที่แท้จริง ฟางหยวนเลือกตำแหน่งที่ส่องแสงสีทอง มันคือกำแพงภูมิภาคของภาคกลาง ฉีช่ายเป็นผู้อมตะภาคใต้ เมื่อเขาเข้าไป แน่นอนว่าเขาย่อมถูกกดดัน เขาตระหนักถึงความตั้งใจของฟางหยวน “คนเจ้าเล่ห์ผู้นี้มาที่นี่เพราะการบ่มเพาะของเขาอยู่ในระดับหกส่วนข้าอยู่ในระดับเจ็ด ด้วยการบ่มเพาะที่สูงกว่า ข้าจะถูกกดดันมากกว่า” “ฮืม คนผู้นี้น่าสงสัยมากเกินไป เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเดิมพันของนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียง ข้าจำเป็นต้องฆ่าเขา!” ฉีช่ายเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ทั้งสองฝ่ายหยุดบินและเดินด้วยเท้าอยู่บนเทือกเขา ขณะที่การไล่ล่าเกิดขึ้นอีกครั้งที่นี่ ที่ถ้ำนรกใต้พิภพ การต่อสู้ได้สิ้นสุดลงแล้ว อิงอู๋เซี่ย ไห่ลั่วหลัน และไท่เป่ยหยุนเฉิงยืนอยู่รอบๆซากศพของอสูรวิญญาณ พวกเขากำลังค้นหาแก่นพลังวิญญาณของมัน อสูรวิญญาณจะสร้างแก่นพลังวิญญาณไว้ในร่างกาย มันมีขนาดเท่าไข่ไก่ที่เต็มไปด้วยพลังงานแห่งเต๋า แต่หลังจากค้นหาอยู่นาน พวกเขากลับไม่พบแก่นพลังวิญญาณของอสูรวิญญาณตนนี้ “มันอยู่ที่ใด?” ไท่เป่ยหยุนเฉิงงุนงง ไห่ลั่วหลันกล่าว “ค่ายกลวิญญาณของที่นี่น่าทึ่งมาก ในระยะเวลาสั้นๆ กระทั่งอสูรวิญญาณที่ครอบครองวิญญาณอมตะเสียงภูตผียังตกตาย” อิงอู๋เซี่ยขมวดคิ้ว ‘เป็นเจตจำนงสวรรค์ที่ล่ออสูรวิญญาณตัวนี้มาที่นี่ แม้ข้าจะสามารถสังหารมัน แต่ข้าก็ต้องใช้ค่ายกลวิญญาณ’ ‘ยิ่งใช้ค่ายกลวิญญาณมากเท่าใด กลิ่นอายของมันก็จะรั่วไหลออกไปมากเท่านั้น นั่นจะทำให้ผู้อมตะภาคกลางค้นพบที่นี่ในที่สุด’ เป็นเพียงเวลานี้ที่ซื่อหนิวถ่ายทอดเสียงมาหาอิงอู๋เซี่ยอย่างลับๆ อิงอู๋เซี่ยวิเคราะห์ ‘หือ ไม่นานมานี้จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาใช้สวรรค์สีเหลืองขนส่งวิญญาณขีดจำกัดความมืดให้กับฟางหยวนงั้นหรือ?’ ‘วิญญาณอมตะดวงนี้เคยเป็นของนิกายเงาแต่มันถูกทำลายไปพร้อมกับเทพธิดาเจียงหยู หลังจากจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาก่อตั้งนิกายหลางหยา เขาจึงหลอมรวมวิญญาณอมตะดวงนี้เก็บไว้’ ‘วิญญาณอมตะดวงนี้สามารถซ่อนตัวจากเจตจำนงสวรรค์ ฮ่าฮ่า หากข้าเป็นเป้าหมายของเจตจำนงสรรค์ ฟางหยวนก็คงไม่ต่างกัน บางทีสถานการณ์ของเขาอาจเลวร้ายยิ่งกว่าข้าและกำลังเผชิญหน้ากับผู้อมตะภาคใต้’ อิงอู๋เซี่ยคาดเดาแต่เรื่องจริงแตกต่างจากที่เขาคิดเล็กน้อย ฉีช่ายไม่ประสบความสำเร็จในการสังหารฟางหยวน ทั้งสองต่อสู้กันบนเทือกเขาห้าภูมิภาค ฟางหยวนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เนื่องจากเขามีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำกว่า เขาจึงเคลื่อนไหวได้อิสระมากกว่าและสามารถหลบหนีจากฉีช่ายได้ในที่สุด ฉีช่ายเห็นฟางหยวนหลบหนีไปแล้วขณะที่ตนเองอยู่ในสภาพที่ไม่ดีนัก ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องถอยกลับ เมื่อเขาออกนอกอาณาเขตของกำแพงพลังงานสีทอง เขาพบฉีอี้รออยู่ที่นี่ “ท่านลุงทวด ท่านกลับมาในที่สุด ข้าเป็นห่วงท่านมาก” ฉีอี้เร่งเดินเข้าไปหาฉีช่าย ฉีช่ายรู้สึกอบอุ่นใจแต่เขายังแสดงออกอย่างเคร่งขรึม “ข้าบอกให้เจ้าอยู่กับราชสีห์ปราณ เหตุใดไม่ฟังคำสั่งข้าและมาที่นี่!” ฉีอี้ชะลอฝีเท้าและค่อยๆเดินเข้าไปหาฉีช่ายด้วยศีรษะที่ก้มต่ำลง “ข้า…ข้าขอโทษ…” ฉีช่ายพ่นลมออกมาจากจมูก “ฮืม คนผู้นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาโชคดีที่สามารถหลบหนี หากข้าเจอเขาอีกครั้ง…อา…” ฉีช่ายกรีดร้องและจ้องมองฉีอี้ด้วยดวงตาเบิกกว้าง ดาบเล่มหนึ่งแทงเข้ากลางหน้าผากและทะลุออกด้านหลังศีรษะของเขา ร่างของฉีอี้เปลี่ยนเป็นร่างของฟางหยวนขณะที่เขาเผยรอยยิ้มให้กับฉีช่าย ความตกใจ ความเสียใจ ความหวาดกลัว และความรู้สึกทุกประเภทพุ่งเข้าโจมตีจิตใจของฉีช่าย แต่มันสายไปแล้ว “ตุบ…” เขาล้มลงบนพื้นด้วยเสียงอันแผ่วเบา ฉีช่ายตายแล้ว
คอมเม้นต์