Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 873 เขตขีดจำกัด
ตอนที่ 873 เขตขีดจำกัด
ลูกศิษย์ ก็หมายความว่ามีอาจารย์!ก่อนจะเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรค หลินสวินเคยได้ยินข่าวลือเรื่องนี้จากไป่เฟิงหลิวแล้วเขาพยับครามถูกยกให้เป็นภูเขาเทพมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล บนนั้นมีสำนักแห่งหนึ่งที่เส้นสนกลในน่ากลัวยึดครองพื้นที่ มีเหล่าอริยะถ่ายทอดวิชาความรู้ เหล่าลูกศิษย์ลูกหาเรือนหมื่นเรือนแสนแต่ภายหลังไม่รู้ด้วยเหตุใด สำนักโบราณแห่งนี้กลับอันตรธานลับหายเพียงชั่วข้ามคืน เลือนลับไปจากสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์เดิมทีหลินสวินก็คิดว่านี่เป็นข่าวลือ ทว่าขณะนี้ดูท่าจะไม่ใช่อย่างที่คิดแล้ว“ต้นโคมสำริดมรรคโบราณถือว่าเป็นต้นไม้แห่งการเผยแพร่มรรค และยามนี้บนป้ายหินมีอักษรคำว่า ‘ลูกศิษย์’ ปรากฏให้เห็น”“เดาได้ว่าหากสมัยบรรพกาลมีสำนักนี้อยู่จริง เช่นนั้นสิ่งที่เรียกขานกันว่าห้าด่านถกมรรค คงเป็นบททดสอบที่สำนักกำหนดไว้แก่เหล่าศิษย์ในสำนัก”“เพียงแต่กาลเวลาล่วงเลยมาถึงปัจจุบัน สำนักนั้นกลับสูญสิ้นไปแล้ว มีเพียงเขาพยับครามและค่ายกลบนนั้นที่ยังหลงเหลือไว้ ทุกๆ ร้อยปีจะทำการสอบถกมรรคที่ว่าหนึ่งครั้ง และกลายเป็นสถานที่ที่เหล่าผู้ฝึกปราณอื่นๆ หวังจะมาเสาะหาวาสนา…”หลินสวินคิดว่าอธิบายเช่นนี้ถึงจะสมเหตุสมผลแล้วทันใดนั้นกลางฟ้าดินสีเทาขมุกขมัวไกลๆ นั่นเริ่มเกิดการแปรเปลี่ยนประหลาด เมฆหมอกสีเทาหม่นรวมตัวเข้าหากัน และค่อยๆ แปลงเป็นรูปร่างคล้ายมนุษย์ขึ้นทีละตนในใจหลินสวินตะลึงงันสิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์เหล่านี้ไม่มีหน้าตา มีเพียงใบหน้าเลือนลางทั้งผืน ทว่าลักษณะพลังของพวกเขากลับประดุจผู้ฝึกปราณจริงๆ บ้างมีชีวิตชีวาเปี่ยมพลัง แบกกระบี่วิญญาณไว้บนหลังบ้างก็มีพลานุภาพเลิศล้ำ สามารถบังคับลมฝนได้ถึงขั้นยังมีรูปลักษณ์คล้ายอิสตรีที่ท่วงท่างดงาม อ่อนช้อยประหนึ่งเซียนก็ไม่ปานแต่ละตนสูดหายใจเข้าออกช้าๆ เบื้องหลังปรากฏจักระเทพแห่งระดับกระบวนแปรจุติ ฉายรัศมีเจิดจรัสจนฟ้าดินพร่างพราวเพียงแค่ชั่วพริบตา ทั่วทุกสารทิศก่อตัวรวมกันกลายเป็นมนุษย์ชนิดนี้นับร้อยนับพัน ประหนึ่งทัพใหญ่ผู้ฝึกปราณบุกประชิดพรมแดน บีบคั้นถึงที่สุดหลินสวินสูดหายใจหนาวเยือก เพียงครู่เดียวจิตรับรู้อันแข็งแกร่งของเขาก็ตัดสินได้ว่า แม้สิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์แต่ละตนจะมีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้น ทว่าหากพูดถึงกลิ่นอายแล้ว สามารถทัดเทียมกับผู้กล้าชั้นยอดในปัจจุบันได้อย่างแน่นอนมีผู้กล้าชั้นยอดเป็นร้อยเป็นพันคน?นี่มากพอจะทำให้ผู้ฝึกปราณไม่ว่าคนไหนต้องหนังศีรษะชาหนึบ รับรู้ได้ถึงความสิ้นหวังแล้ว‘จงจำไว้ พลังแตกต่างกัน ความยากลำบากที่ประสบในการทดสอบก็ย่อมต่างกัน มีเพียงทุ่มสุดกำลัง จึงจะสามารถทลายขีดจำกัดได้’ หลินสวินเหลือบมอง และเห็นอักษรมรรคบรรพกาลบรรทัดนี้อีกครั้งเขาเข้าใจจนถึงแก่นว่าการถกมรรคด่านที่สอง ผู้ฝึกปราณแต่ละคนจะต้องเจอคู่มือที่มีพลังแตกต่างกันเมื่อเป็นเช่นนี้ก็นับว่ายุติธรรมดี ทว่านี่ก็มีนัยว่า ต่อให้หลินสวินมีพลังขอบเขตมกุฎในระดับกระบวนแปรจุติ แต่ก็ไม่อาจครองความได้เปรียบในบททดสอบนี้ได้เลยในทางกลับกัน การทดสอบของเขากลับจะยากเข็ญและวิปริตยิ่งกว่าของคนอื่น!“เขตขีดจำกัด… ในเวลาหนึ่งก้านธูป… ฝ่าทะลวงไปให้ถึงอีกฝั่ง… ดูท่าจำเป็นต้องต่อสู้อย่างถึงที่สุด…”หลินสวินสูดหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าท่าทางดูอหังการขึ้นทันใด นัยน์ตาเย็นยะเยือกราวกับสายฟ้า กวาดสายตาไปทั่วฟ้าดิน เขาย่อมรู้ว่าด่านนี้ไม่อาจออมแรงไว้ได้ ทำได้เพียงสู้สุดพละกำลังที่มี“ฆ่า!”“ฆ่า!”กลางเวหาอันว่างเปล่า ‘ผู้ฝึกปราณ’ นับร้อยนับพันเคลื่อนไหวโจมตี ไอสังหารคละคลุ้งทั่วฟ้าดิน เหาะเหินด้วยลำแสงพุ่งเข้าปะทะหลินสวินเสียงที่เปล่งออกจากปากของพวกเขาเข้าใจยากยิ่ง ยังคงเป็นภาษาบรรพกาล ทว่าอานุภาพเสียงกลับสะท้านโลก พาให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี น่าขวัญผวาอย่างที่สุด“ตาย!”ธารดาราที่ลุกโหมแถบหนึ่งแผ่ขยายไปยังเวิ้งนภาอันว่างเปล่า ปกคลุมทั่วอาณาบริเวณดาราที่ประดุจอัคคีดวงแล้วดวงเล่าระเบิดในชั่วพริบตา บังเกิดเป็นเปลวไฟละลานตาแตกแตกฉานซ่านเซ็นธารดาราหลอมเพลิง!วิชามรรคชั้นเลิศนี้ทรงพลานุภาพน่าเกรงขาม แฝงด้วยความเร้นลับของท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุไฟ เหมาะแก่การโจมตีใส่ศัตรูหมู่มากอย่างที่สุดฮูม!ราวกับเพลิงเผาผลาญลุกลามไปทั่ว ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นต่างส่งเสียงร้องโหยหวน บ้างก็บาดเจ็บปางตาย บ้างก็ถูกแผดเผาในบัดดล กลายเป็นหมอกมัวมลายลับไป‘ที่แท้ก็ไม่มีสติปัญญาจริงๆ แบบนี้ง่ายต่อการจู่โจม…’ หลินสวินขบคิดทว่าสิ่งที่ทำให้หนังหัวชาหนึบก็คือ ในท้องฟ้าเวิ้งว้างกว้างไกลกลับยังมีการรวมตัวกันของ ‘ผู้ฝึกปราณ’ มากยิ่งขึ้น“ฆ่า!”หลินสวินไม่กล้ารีรอ สำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งเร่งรุดฝ่าทะลวงออกไปโดยพลันเวลามีเพียงแค่หนึ่งก้านธูป กระนั้นเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เรียกว่าอีกฟากฝั่งของ ‘เขตขีดจำกัด’ นั้นอยู่ที่ใด สิ่งที่อยู่ตรงนี้นี้เร่งด่วนกว่า ก็คงต้องทุ่มพลังทั้งหมดที่มีฝ่าทะลวงออกไปตูม!ธารดาราหลอมเพลิงอันทรงฤทธิ์พวยพุ่ง แสงเพลิงโหมซัดผลาญทำลายฟ้าดิน แผ่พลานุภาพน่าเกรงขามแผดเผาทุกสรรพสิ่งระหว่างทาง ผู้ฝึกปราณบางส่วนยังไม่ทันเข้าประชิดตัว ก็ถูกเผาผลาญจนมอดไหม้“หืม” เพียงแต่เพิ่งจะฆ่าออกไปได้ไม่ไกล หลินสวินกลับขมวดคิ้ว สีหน้าก็ดูเคร่งขรึมเล็กน้อยสัมผัสอันแสนเฉียบไวของเขารับรู้ได้ว่า ขณะที่บุกทะลวงไปเบื้องหน้าเรื่อยๆ พลังของ ‘ผู้ฝึกปราณ’ เหล่านั้นก็ค่อยๆ แข็งแรงขึ้นตามไปด้วย ยิ่งทะลวงไปไว อานุภาพยิ่งทรงพลัง แม้แต่วิธีต่อสู้ทั้งหมดที่มีก็พลอยทวีความแข็งแกร่ง ศักยภาพโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเพียงครู่เดียว พลังทำลายล้างของธารดาราหลอมเพลิงก็เปลี่ยนเป็นกินแรงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด…ฮูม!กลางฟ้าดินขมุกขมัว มีเงาของผู้ฝึกปราณก่อตัวรวมขึ้นไม่หยุดหย่อน เสมือนว่าฆ่าเท่าไรก็ไม่รู้จักจบจักสิ้นอานุภาพของธารดาราหลอมเพลิงนั้นน่าเกรงขามมาก เพียงชั่วพริบตาก็สามารถกำจัดผู้ฝึกปราณไปได้นับร้อยเพลิงอัคคีที่คุโชนเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งการแผดผลาญอันน่าประหวั่น หากถูกมันปกคลุม ไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัสแต่เมื่อศักยภาพของผู้ฝึกปราณเปลี่ยนเป็นเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ธารดาราหลอมเพลิงก็ยากจะได้ผลชะงัดแล้วสิ่งที่ทำให้หลินสวินคิ้วขมวดที่สุดก็คือ แม้ว่าความเร็วของก้าวย่างชือน้ำแข็งจะรวดเร็ว แต่ไม่ว่าเขาจะหลีกลี้หลบหนีไปทางใด ที่นั่นก็จะมีผู้ฝึกปราณปรากฏตัวออกมาอย่างล้นหลามนี่แสดงให้เห็นว่าในเขตขีดจำกัดนี้ การหลบหนีและถอยร่นต่างก็ไร้ประโยชน์!“ฆ่า!”หลินสวินไม่ชักช้าอีกต่อไป ตรงเข้าบุกทะลวง ไม่ปล่อยให้มีทางหนีทีไล่และถอยร่นใดๆ อีก มิหนำซ้ำเขาละทิ้งวิชาธารดาราหลอมเพลิงไป แล้วเริ่มสำแดงเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ตูม!พลังหมัดอันเจิดจ้าโชติช่วงปะทุออกมา เฉกเช่นมังกรทะยานพุ่งสู่เวหา ประหนึ่งพญาหงส์บินวน พลังดุจทลายภูผาแหวกสมุทร มีพลานุภาพสะเทือนฟ้าสะท้านดินทันใดนั้นผู้ฝึกปราณที่อยู่บนเส้นทางต่างประหนึ่งแผ่นกระดาษก็ไม่ปาน ร่างระเบิดทันใด ถูกหลินสวินกวาดล้างไปเป็นสาย จนกล่าวได้ว่าบุกไปหนใดก็แหลกราบเป็นหน้ากลองเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว พลังของธารดาราหลอมเพลิงแม้จะทรงพลัง แต่หลินสวินยังควบคุมได้เพียงท่วงทำนองแห่งไฟ หาใช่เจตจำนงแห่งมรรคธาตุไฟ จึงไม่สามารถสำแดงพลังของวิชามรรคชั้นเลิศนี้ออกมาได้อย่างเต็มที่กลับกันเขาเคี่ยวกรำเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์นานหลายปี ได้หลอมรวมเข้ากับเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำอย่างสมบูรณ์แบบนานแล้ว พลังที่ปลดปล่อยออกมาจึงทรงอานุภาพยิ่งกว่าธารดาราหลอมเพลิง‘จะให้ถูกพัวพันแบบนี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะต้องตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม ถึงตอนนั้นไม่ต้องเอ่ยถึงการไปให้ถึงอีกฟากฝั่งเลย เกรงว่าคงถูกบีบจนพลังกายหมดสิ้นไปทั้งอย่างนั้น แล้วถูกคัดออกไป…’หลินสวินในยามนี้แววตาดุจสายฟ้า ผมดำแผ่สยาย เลือดลมทั่วร่างปะทุดุจภูเขาไฟ พลังทั่วสรรพางค์กายทั้งในและนอกถูกโคจรไปถึงจุดสูงสุดทั่วร่างของเขาชโลมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์สีใสอันโชติช่วงชั้นหนึ่ง เสมือนกระแสน้ำกำลังโหมซัด สาดลำแสงหมื่นจั้ง มีอานุภาพยิ่งใหญ่ราวกลืนกินภูผาธารา ขับดาราคว้าจันทร์ตูม!ชือน้ำแข็งเจิดจ้ากวัดแกว่งหางทะยานสู่ท้องนภาเพื่อเบิกเส้นทางพลังของผนึกป้าเซี่ยผูกมัดศัตรู พันธนาการพลังของศัตรูประทับปี้อั้นควบรวมออกมา กระแทกอย่างดุดัน เป็นการจู่โจมที่สะเทือนเลือนลั่นครั้งหนึ่ง สามารถกำจัดผู้ฝึกปราณหลายสิบคนได้ในชั่วพริบตาคลื่นเสียงสีทองที่แปรมาจากเสียงคำรามผูเหลาแผ่ซ่าน แต่เมื่อโดนสัมผัส ล้วนมลายกลายเป็นเถ้าธุลีในพริบตา…พลังแห่งมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรและเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ ถูกหลินสวินสำแดงออกมาอย่างหมดเปลือก สองพลังสอดรับประสานเข้าด้วยกัน พลานุภาพเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า!ในอดีต มีเพียงยามต่อสู้กับบุคคลโดดเด่นแห่งยุคอย่างซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์เท่านั้น หลินสวินถึงจะรับมือด้วยพลังระดับนี้แค่คิดก็รู้ได้ทันทีว่า บททดสอบด่านที่สองนี้อันตรายและยากเข็ญเพียงใด…ขณะที่หลินสวินเข้ารับการทดสอบด่านที่สองอยู่นั้น ในสถานที่ที่ต่างออกไป เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันล้วนปรากฏกับผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมถกมรรคคนอื่นๆเพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบโดยละเอียด จะสังเกตได้ไม่ยากว่าการทดสอบของผู้กล้าแต่ละคนนั้น ระดับความยากจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเห็นชัดว่านี่คือการทดสอบที่ยุติธรรมอย่างถ่องแท้“อ๊า!”“ไม่ ข้าไม่ยอม นี่มันเพิ่งเริ่มต้น ข้าจะแพ้ทั้งอย่างนี้ได้อย่างไร”“บ้าเอ๊ย วิปริตเกินไปแล้ว บททดสอบเช่นนี้ใครจะสามารถฝ่าไปได้กัน”“ข้าไม่ยอม!”ตามเวลาที่ล่วงเลยไป ในเขตขีดจำกัดที่แตกต่างกันทยอยปรากฏผู้กล้าที่ไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้ ต้องถูกคัดออกไปคนแล้วคนเล่า ต่างก็ตะโกนร้อง บ้างบันดาลโทสะ บ้างตกตะลึง ไม่ก็ตะโกนโหวกเหวกด้วยความไม่พอใจในเวลาเดียวกันก็ยังมีบางคนสำแดงความสามารถได้อย่างล้ำเลิศและสะดุดตายิ่ง ฟาดฟันอยู่ในเขตขีดจำกัดอย่างกร้าวแกร่งทรงพลังดังเช่นบุคคลโดดเด่นแห่งยุคอย่างจี้ซิงเหยาแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉา เหลยเชียนจวินแห่งเผ่ามหาอสนี มู่เจี้ยนถิงแห่งอารามพรางมรกตเป็นต้นเพียงแต่ไม่นานพวกเขาก็ได้ประสบสถานการณ์เช่นเดียวกับหลินสวิน นั่นก็คือเมื่อบุกทะลวงไป ศักยภาพของผู้ฝึกปราณที่เจอจะค่อยๆ ทวีความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การก้าวย่างของพวกเขาต้องพบกับอุปสรรค และเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าลงไม่น้อย‘ได้ยินผู้อาวุโสกล่าวว่า นับแต่โบราณมาจวบจนบัดนี้ หากสามารถผ่านบททดสอบเขตขีดจำกัดนี้ไปได้ ศักยภาพของตนก็จะเหมือนผ่านการเคี่ยวกรำมาอย่างโชกโชนโดยไม่ต้องสงสัย มีผลพลอยได้ที่คาดไม่ถึง’เหลยเชียนจวินพึมพำในใจ อานุภาพดุดันของเขาดั่งเทพอสนี ควบคุมพลังสายฟ้าที่สว่างจ้าบาดตา บุกทะลวงเข้าใส่กลางกองทัพขนาดมหึมาของศัตรู“ข้าอยากจะเห็นนักเชียว บททดสอบครั้งนี้จะบีบเค้นขีดจำกัดข้าได้หรือไม่!”เจตกระบี่ทั่วร่างมู่เจี้ยนถิงพวยพุ่ง ทั้งตัวประหนึ่งกระบี่สมบัติอันเลิศล้ำเล่มหนึ่ง เข้าฟาดฟันเปิดเส้นทางเลือดที่ซากศพกองพะเนิน ดุดันอย่างที่สุด“สาแก่ใจนัก! ไม่ได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดเช่นนี้มาเสียนาน!”ซาหลิวฉานแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะเสียงดัง“น่าสนใจ มีเพียงสามคนแรกที่สำแดงพลังได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุดถึงจะได้รับรางวัล ข้าเฝ้ารอคอยนัก”จงหลีอู๋จี้ย่างก้าวไปเบื้องหน้า แสงเย็นเยียบแผ่พุ่งในนัยน์ตา…คนโดดเด่นแห่งยุคคนแล้วคนเล่าฝ่าทะลวงไปด้วยความห้าวหาญ สำแดงพลังทั้งหมดที่ตนมี หากอยู่โลกภายนอกเกรงว่าคงพาให้เกิดความตื่นตะลึงและสะเทือนเลือนลั่นแก่ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนไปแล้วทว่าในเขตขีดจำกัดนี้พวกเขาต่างก็ต้องต่อสู้เพียงลำพัง ไม่อาจดึงดูดความสนใจและการเหลือบมองจากคนอื่นๆ“ผู้อาวุโสคาดการณ์ไว้ไม่ผิด มหาสงครามกำลังมาเยือน การทดสอบ ‘เขตขีดจำกัด’ บนเขาพยับครามในครั้งนี้ก็เปลี่ยนไปจากเดิม จะต้องมี ‘รางวัล’ แสนพิเศษอย่างแน่นอน ในอดีต… ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้มาก่อน!”“จากตรงนี้สามารถคาดการณ์ได้ว่า ‘ของวิเศษ’ ชิ้นนั้นที่ทำให้ผู้อาวุโสไม่อาจลืมเลือน เกรงว่าจะแอบซ่อนอยู่ในรางวัลสุดท้ายของการทดสอบครั้งนี้”“ครั้งนี้ข้าจะต้องเอารางวัลนั้นมาให้จงได้ เพื่อเติมเต็มความปรารถนาของผู้อาวุโส!”ในเขตขีดจำกัดแห่งหนึ่ง ร่างของอวี่หลิงคงส่องแสงศักดิ์สิทธิ์ไปทั่วอาณาบริเวณ สว่างพร่างพรายถึงขีดสุด ราวกับโอรสแห่งเทพราชันองค์หนึ่งก็ไม่ปาน พุ่งทะยานไปเบื้องหน้า ระดับความเร็วว่องไวเสียจนน่าอัศจรรย์ ยากจะมีผู้ใดทัดเทียม!
คอมเม้นต์