Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 480 กายสุวรรณมรรคอัคคี

อ่านนิยายจีนเรื่อง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 480 กายสุวรรณมรรคอัคคี 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

กระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณตั้งอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่งในสาขายุทธ์วิถี
ยอดคีรีสูงกว่าพันฉื่อ หินผาตะปุ่มตะป่ำ มีชื่อว่ายอดเขามหาสมุทรวิญญาณ
หลังจากหลินสวินตัดสินใจมาดมั่นแล้ว ก็เคลื่อนตัวไปยังที่แห่งนั้นทันที
“เจ้าหมอนี่ตั้งใจจะไต่ขึ้นกระดานจริงๆ สินะ!”
พวกสืออวี่ หนิงเหมิงเห็นดังนี้ ในที่สุดก็ตระหนักว่าหลินสวินไม่ได้ล้อเล่น จึงรีบตามไปด้วย
พวกเขาเองก็สงสัยใคร่รู้เช่นกันว่า จากความแข็งแกร่งและหน่วยก้านของหลินสวินในปัจจุบัน จะสามารถติดอันดับที่เท่าไรในกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ หากคิดจะฝากชื่อไว้บนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณนั้นมีอยู่สองวิธี
วิธีแรกเป็นที่รู้จักกันดี ทุกปีสาขายุทธ์วิถีจะจัดงานประลองใหญ่หนึ่งงาน ใช้วิธีนี้ปรับเปลี่ยนรายชื่อบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ
วิธีนี้พบเห็นได้บ่อยที่สุด
ส่วนวิธีที่สองก็คือทะลวงขึ้นกระดานเพียงลำพัง แต่จำเป็นต้องจ่ายคะแนนสะสมบานตะไท อีกอย่างตอนที่ไต่ขึ้นกระดานยังมีการทดสอบและคัดสรรอันสุดแสนหฤโหด
โดยทั่วไปมีศิษย์ไม่กี่คนที่เลือกวิธีที่สอง หนึ่งคือคะแนนสะสมที่ต้องจ่ายมากเกินไป สองก็คือกระบวนการยากเย็นแสนเข็ญของแบบทดสอบนั้นมีมากเกินไปนั่นเอง
ไม่ต้องพูดถึงศิษย์ธรรมดา แม้แต่ศิษย์ผู้กล้าชั้นยอดเหล่านั้นก็ไม่เลือกวิธีที่สองอย่างหุนหันพลันแล่น
เห็นได้ชัดอย่างยิ่ง ตอนนี้หลินสวินกำลังจะทะลวงขึ้นกระดานโดยใช้วิธีที่สอง!
“เอ๋ นั่นไม่ใช่หลินสวินหรอกหรือ เขายังไม่จากไปอีก คงไม่ใช่คิดจะทะลวงกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณหรอกกระมัง”
ระหว่างทาง ศิษย์สาขายุทธ์วิถีบางส่วนมองเห็นหลินสวินเข้าใกล้สถานที่ตั้งของกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ ต่างพากันอดตื่นตระหนกไม่ได้
“เจ้าหมอนี่ยังไม่ยอมเลิกราจริงๆ สินะ เมื่อกี้ก็ตกเป็นเป้าสายตาครั้งใหญ่ไปแล้ว ตอนนี้ยังคิดจะไปทะลวงขึ้นกระดานอีก นี่เขาต้องการก่อเรื่องหรือไร”
“น่าชังนัก เด็กนี่วางมาดโอหังเกินไป เมื่อครู่บนลานแสดงยุทธ์นั่นยังไม่สาแก่ใจพอหรือ ยังคิดจะไปอวดศักดากับกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณอีก ช่างไม่เห็นพวกเราชาวสาขายุทธ์วิถีอยู่ในสายตาเลยจริงๆ!”
“จะพูดแบบนี้ก็ไม่ได้ หลันอวี่อยู่อันดับห้าบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ ยังพ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือของเขาเลย หากอนุมานเช่นนี้ บนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณนั่นก็ต้องมีที่ยืนให้เขาสักที่แหละน่า”
“แต่ว่าเขาไปทะลวงกระดานเพียงลำพัง เงื่อนไขการทดสอบเข้มงวดหฤโหด เผลอๆ ต่อให้เป็นเขาก็ยังยากจะประสบความสำเร็จได้เลื่อนขึ้นไปอยู่บนนั้น”
“ไป ไปดูกัน!”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นทั่วสารทิศ ก่อให้เกิดการถกเถียงกันหนึ่งระลอก ศิษย์จำนวนมากถูกดึงดูดความสนใจ ต่างทยอยรุดหน้าไปบนยอดเขามหาสมุทรวิญญาณ
ผ่านประสบการณ์การต่อสู้ศึกแล้วศึกเล่าในลานแสดงยุทธ์ก่อนหน้านี้ ทำให้ทัศนคติของศิษย์พวกนี้ที่มีต่อหลินสวินล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย
ต่อให้ไม่สมัครใจ พวกเขาเองก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าหลินสวินเป็นอัจฉริยะด้านการฝึกยุทธ์คนหนึ่ง ครอบครองพลังต่อสู้อันเหนือจินตนาการ
ต่อให้เทียบกับในสาขายุทธ์วิถี ก็ยังนับเป็นอันดับต้นๆ เช่นกัน
ทว่าพวกเขากลับไม่ได้เห็นด้วยต่อความประพฤติของหลินสวิน ต่างคิดว่าหลินสวินบ้าคลั่งเกินไป ไม่เห็นใครในสายตา ขวางโลกไร้ยางอาย วาจาโอ้อวด หยิ่งผยองเอาแต่ใจ ลักษณะนิสัยน่ากังวล!
เพราะฉะนั้นตอนที่สังหรณ์ว่าหลินสวินจะไปทะลวงกระดาน ศิษย์เหล่านี้จึงรู้สึกว่าถูกปลุกปั่นอีกครั้ง ต่างติดตามไปด้วยความรู้สึกเป็นปรปักษ์
พวกเขาอยากดูเสียหน่อยว่าหลินสวินจะอวดดีไปถึงเมื่อไรกันแน่!
……
ยอดเขามหาสมุทรวิญญาณ
ทันทีที่มาถึงหลินสวินพลันรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายเก่าแก่ที่พุ่งปะทะใบหน้า ยอดเขานี้ไม่สูงเท่าใดนัก และก็ไม่ได้งดงาม ทว่ากลับเปี่ยมด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา เสมือนว่าหยัดยืนอยู่จุดนี้เป็นเวลาเนิ่นนานนับไม่ถ้วนแล้ว
ตามคำเล่าลือ ยอดเขาแห่งนี้คงรอดสืบต่อมาจากสมัยโบราณกาลอย่างแท้จริง ภายในแฝงเร้นพลังลึกลับยากคาดเดาเอาไว้ ถูกเจ้าสำนักคนปัจจุบันกลั่นหลอมด้วยฝีมือชั้นยอด เคลื่อนย้ายและสะกดไว้ ณ ที่แห่งนี้
บนยอดเขามีป้ายหินแผ่นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ สูงนับสิบจั้ง ดำขลับทั้งผืน มีแสงสีทองอร่ามลอยเอื่อยอยู่ เรืองรองเจิดจ้า ย้อมอากาศให้กลายเป็นสีเหลืองทอง เจิดจรัสศักดิ์สิทธิ์
บนป้ายหินประทับรายชื่อของศิษย์หนึ่งร้อยอันดับแรกในกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณเอาไว้ แต่ละชื่อล้วนแสดงถึงบุคคลผู้กล้าในสาขายุทธ์วิถี
สำหรับศิษย์สาขายุทธ์วิถีแล้ว การครอบครองพื้นที่หนึ่งบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ นับเป็นเกียรติยศใหญ่หลวงอย่างหนึ่งโดยไร้ข้อกังขา
นั่นเป็นสิ่งที่แสดงถึงฐานะ ชื่อเสียงและตำแหน่งรูปแบบหนึ่ง!
หลินสวินปีนขึ้นไปบนเขา ไม่นานก็มาถึงเบื้องหน้าของป้ายหินเก่าแก่นั้น
“ได้ยินว่าป้ายหินนี้เป็นสมบัติล้ำค่าของสำนักโบราณแห่งหนึ่งในสมัยโบราณกาล สามารถหยั่งถึงพลังการต่อสู้ พรสวรรค์และศักยภาพของผู้ฝึกปราณ อัศจรรย์หาใดเปรียบ จากระยะเวลาหลายพันปีนับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักศึกษามฤคมรกตมาถึงปัจจุบัน ไม่รู้ว่ามีผู้กล้าไร้เทียมทานเท่าไรที่ฝากชื่อไว้บนนี้”
สืออวี่พึมพำหนึ่งระลอก
สมบัติล้ำค่าที่หลงเหลือมาจากโบราณกาลจนถึงบัดนี้ แค่คิดก็รู้ว่าป้ายหินแผ่นนี้มีต้นกำเนิดเหนือธรรมดาแค่ไหน
“หืม? เหตุใดถึงมีคนล่วงหน้ามาก่อนแล้ว”
ทันใดนั้นหลินสวินสัมผัสได้ว่าเบื้องหน้าป้ายหินมีชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ เขาหันหน้าเข้าหาป้ายหิน หันหลังให้ฝูงชน เผยเพียงเงาหลังสายหนึ่งเท่านั้น
เส้นผมสีดำของเขาทิ้งตัวสลวย หลังเอวเหยียดตรงดั่งหอกดุจพู่กัน ทั่วสรรพางค์กายอาบอยู่ในแสงสีทองอ่อนๆ ดูประหนึ่งภาพมายาก็ไม่ปาน ประสานสอดคล้องกับลำแสงสีทองที่ลอยเอื่อยออกจากป้ายหิน หากไม่พินิจให้ถี่ถ้วนก็ยากจะสังเกตเห็นการมีตัวตนของเขา
มีคนเลือกทะลวงขึ้นกระดานเพียงลำพังก่อนหน้าหลินสวินอีกหรือ
พวกสืออวี่ หนิงเหมิง เย่เสี่ยวชี กงหมิงต่างก็นิ่งงันไปอย่างอดไม่ได้ โดยเฉพาะยามที่มองไปทางเงาหลังของชายชุดขาวคนนั้น ดุจดั่งว่าสิ่งที่มองเห็นไม่ใช่คนๆ หนึ่ง หากแต่เป็นร่างวิญญาณที่ผสานกับฟ้าดิน มีความทรงพลังอันไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ทำให้หัวใจพวกเขาต่างเกิดความสั่นคลอน
หมอนี่เป็นใคร?
นัยน์ตาพวกเขาหดลงทันที
‘กลิ่นอายสมบูรณ์แบบ หลอมรวมกับหมื่นมายา อีกทั้งร่างกายยังปรากฏพลังแห่งสัจจะอันเป็นส่วนหนึ่งของมหามรรคอยู่รำไร คนผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย’
ในใจหลินสวินก็สั่นสะเทือนเช่นกัน เขาสามารถสัมผัสได้ว่าชายหนุ่มชุดขาวคนนี้เหมือนกับตน ได้เหยียบย่างสู่ขั้นสมบูรณ์ปลายยอดของระดับมหาสมุทรวิญญาณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะต้องเป็นอัจฉริยะสะท้านโลกผู้หนึ่งอย่างไรข้อกังขา!
กลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์และแปลกแยกนั่น แข็งแกร่งกว่าบุคคลชั้นยอดรุ่นหนุ่มทั้งหมดที่หลินสวินเคยสัมผัสมาก่อนหน้านี้!
เขาเป็นใคร?
สาขายุทธ์วิถีแห่งนี้ยังมีบุคคลเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ
“สวรรค์ ข้าไม่ได้ตาฝาดไปกระมัง นั่นศิษย์พี่กู้อวิ๋นถิง!”
“เป็นเขาจริงๆ หรือ ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่กู้อวิ๋นถิงกำลังปิดด่านอยู่หรือ ทำไมถึงได้มาปราฏตัวอยู่ที่นี่ หรือเขาก็จะทะลวงกระดานเช่นกัน?”
เสียงฮือฮาดังขึ้นหนึ่งระลอก กลับเป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากกลุ่มศิษย์สาขายุทธ์วิถีซึ่งตามหลินสวินมา เดิมทีพวกเขาแค่จะมาดูหลินสวิน ทว่ายามที่มองเห็นเงาร่างของชายหนุ่มชุดขาวผู้นั้น สีหน้าทุกคนต่างฉายแววตกตะลึง
ศิษย์ไม่น้อยถึงกับทอแววเลื่อมใสคลั่งไคล้ โดยเฉพาะศิษย์หญิงบางคนยิ่งตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
“กู้อวิ๋นถิง?”
หลินสวินอดเอ่ยถามเสียงเบาไม่ได้
สืออวี่ค่อยๆ ชี้ไปที่ป้ายหินซึ่งอยู่ไกลๆ ก่อนเอ่ยว่า “เจ้าดูที่ตำแหน่งอันดับสองนั่นสิ”
หลินสวินกวาดสายตามองไป ทันใดนั้นก็เห็นว่าตัวอักษรสามตัวสีทองอร่ามที่อยู่ในอันดับสองนั้น คือ ‘กู้อวิ๋นถิง’
“กู้อวิ๋นถิง เจ้าหมอนี่ไม่ธรรมดาเลย ลือกันว่ายามเขาถือกำเนิด ห้วงฟ้าสาดส่องแสงมงคลสีทองสายหนึ่งลงมา แปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟสายหนึ่งและหลอมรวมเข้ากับร่างของเขา สุดท้ายพัฒนาไปเป็นพรสวรรค์ ‘กายสุวรรณมรรคอัคคี!’ นี่เป็นคุณลักษณะพรสวรรค์อันน่ากลัวที่มีชื่อเสียงโดดเด่นอย่างหนึ่งในสมัยโบราณกาลเชียวนะ ทั่วหล้าหาตัวจับยาก!
สืออวี่กล่าวรัวเร็ว น้ำเสียงเจือแววทอดถอนใจเสี้ยวหนึ่งไว้อย่างอดไม่ได้ “เขาถูกพาตัวมาฝึกในสำนักศึกษามฤคมรกตตั้งแต่เด็ก ได้รับการถ่ายทอดความรู้จากสัตว์ประหลาดเฒ่าคนหนึ่งในสำนักโดยตรง อยู่อย่างสันโดษเรื่อยมา แทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกเลย เห็นชัดว่าลึกลับอย่างยิ่ง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน เขาเป็นบุคคลชั้นยอดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและแปลกแยกคนหนึ่ง”
หลินสวินได้ยินดังนี้แล้วอดทอดถอนใจไม่ได้ บนโลกนี้ไม่เคยขาดแคลนผู้กล้าระดับมารปีศาจจริงๆ เฉกเช่นกู้อวิ๋นถิงคนนี้ ก็เป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้ครอบครองพรสวรรค์ ‘กายสุวรรณมรรคอัคคี’ อย่างกู้อวิ๋นถิง แม้แต่หลินสวินยังเคยได้ยินมาว่า เพราะพรสวรรค์นี้แข็งแกร่งมากเกินไป สะเทือนอดีตสาดส่องปัจจุบัน เล่าลือกันว่าเมื่อฝึกปรานถึงขีดสุด ร่างกายจะประหนึ่งสรรค์สร้างจากทองบริสุทธิ์ แข็งแกร่งไม่แตกสลาย ทั้งยังสามารถขับเคลื่อนลูกไฟ ซัดกระหน่ำพลังอันน่าสะพรึงที่ไม่อาจคาดคิดได้อีกด้วย
สายตาหลินสวินมองไปที่ตำแหน่งอันดับหนึ่งบนป้ายหินแล้วอดนิ่งงันไม่ได้ เพราะเมื่อกี้เขากับสืออวี่ยังพูดถึงชื่อนี้กันอยู่เลย…จ้าวจิ่งเหวิน!
“จ้าวจิ่งเหวินแข็งแกร่งกว่ากู้อวิ๋นถิงอีกหรือ”
หลินสวินอดถามไม่ได้
“นี่เป็นแค่การจัดอันดับของกู้อวิ๋นถิงเมื่อห้าปีก่อน ในห้าปีนี้เขาปิดด่านเก็บตัวมาตลอด ไม่เคยมาไต่ขึ้นกระดานอีก และเพิ่งปีกลายนี่เองที่จ้าวจิ่งเหวินสามารถเขี่ยอันดับของกู้อวิ๋นถิงจากที่หนึ่งลงมาที่สองได้”
เห็นได้ชัดว่าสืออวี่เคยได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับกู้อวิ๋นถิง จึงตอบกลับอย่างไหลลื่น “เจ้าคงพอจินตนาการออก ห้าปีมานี้กู้อวิ๋นถิงปิดด่านมาโดยตลอด มีเพียงจ้าวจิ่งเหวินคนเดียวที่มีความสามารถมากพอจะสั่นคลอนตำแหน่งของเขา จากจุดนี้ก็น่าจะรู้ว่ากู้อวิ๋นถิงมีพลังเย้ยฟ้ามากแค่ไหน”
เป็นอย่างนี้นี่เอง
คราวนี้หลินสวินถึงได้เข้าใจ ตอนที่มองไปยังเงาร่างของกู้อวิ๋นถิงอีกครา ในดวงตาก็เจือแววแปลกประหลาดสายหนึ่งอย่างอดไม่ได้
กายสุวรรณมรรคอัคคี?
นี่เป็นคุณลักษณะพรสวรรค์ระดับไหนกันนะ เทียบกับ ‘หุบเหวกลืนกิน’ ของตนแล้ว ใครจะได้เปรียบเสียบเปรียบ?
จากนั้นหลินสวินก็ส่ายหน้า
ในมุมมองของหลินสวิน คุณลักษณะพรสวรรค์สุดท้ายก็เป็นคุณลักษณะพรสวรรค์อยู่ดี อีกทั้งคุณลักษณะพรสวรรค์แต่ละแบบล้วนยอดเยี่ยมต่างกันออกไปดังเช่นเหมย กล้วยไม้ ไผ่ เบญจมาศ ที่ต่างมีความถนัดช่ำชองคนละแบบ ถูกลิขิตให้ไม่อาจนำมารวมเข้าด้วยกัน ความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอที่แท้จริง สุดท้ายก็ยังต้องขึ้นอยู่กับพลังการต่อสู้ส่วนบุคคลอยู่ดี
“ศิษย์พี่กู้อวิ๋นถิงออกด่านครานี้ เห็นชัดว่าการฝึกปราณเปลี่ยนเป็นยากหยั่งถึงขึ้นไปอีก ที่เขามาอยู่ต่อหน้ากระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณนี้ แสดงว่าเขาต้องการมาชิงอันดับหนึ่งคืน!”
“นั่นน่ะสิ ปิดด่านเงียบหายไปห้าปี ยามนี้ปรากฏตัวโดดเด่น จะต้องเปล่งประกายขจรไกลเป็นแน่!”
“น่าเสียดาย ดูจากหน่วยก้านของศิษย์พี่กู้อวิ๋นถิงแล้ว หากได้ร่วมงานฉลองพระชนมพรรษาจักรพรรดินี คงถูกบุคคลชั้นสูงจากต่างแดนเหล่านั้นเลือกไปฝึกปราณในสำนักโบราณลึกลับตั้งแต่คราแรก”
“ฮ่าๆ คราวนี้มีเรื่องสนุกให้ชมแล้ว เจ้าหลินสวินนี่อยากทะลวงขึ้นกระดานไม่ใช่หรือ ฟ้าลิขิตให้เขาถูกศิษย์พี่กู้อวิ๋นถิงสยบโดยสิ้นเชิงแน่แล้ว!”
ในละแวกใกล้เคียงศิษย์สาขายุทธ์วิถีจำนวนมากทยอยกันเข้ามา เวลานี้ต่างวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา ใบหน้าเจือแววตื่นเต้น หัวข้อสนทนาวนเวียนอยู่กับการสำแดงพลังของกู้อวิ๋นถิง
ด้วยเหตุนี้จึงสามารถมองออกว่าฐานะของกู้อวิ๋นถิงในสาขายุทธ์วิถีนั้นโดดเด่นมากเพียงใด จะต้องบุคคลที่เป็นเป้าสายตาของทุกคนอย่างแน่นอน
“เฮอะ หลินสวินนับเป็นอะไรได้ จะเอาเขามาเทียบกับศิษย์พี่กู้อวิ๋นถิงได้อย่างไร นี่เป็นการดูแคลนอย่างหนึ่งต่อศิษย์พี่กู้อวิ๋นถิงนะ!”
“ใช่ ศิษย์พี่กู้อวิ๋นถิงเป็นบุคคลระดับไหน ต่อหน้าเขา หลินสวินนั่นก็ไม่พ้นเป็นได้แค่ตัวตลกบ้าระห่ำไร้ที่เปรียบคนหนึ่งเท่านั้น”
ศิษย์บางส่วนยังหัวเราะเยาะเย้ย หยิบเอาหลินสวินและกู้อวิ๋นถิงมาเปรียบเทียบกัน ในถ้อยคำเปี่ยมด้วยความปลุกปั่นโจมตี
พวกสืออวี่ หนิงเหมิง เย่เสี่ยวชี และกงหมิงต่างพากันมุ่นคิ้ว ตั้งท่าจะตอบโต้
ในยามนี้เอง กู้อวิ๋นถิงในชุดขาวที่นั่งนิ่งอยู่เบื้องหน้าป้ายหินมาตลอดพลันหยัดตัวเหยียดตรง รอบกายคละคลุ้งด้วยแสงสีทองดั่งภาพฝัน ท่วงท่างามสง่าโดดเด่น
เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นก็ดึงดูดสายตาทุกคนเอาไว้ได้!
…………………

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด