Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 493 จากไปอย่างผ่าเผย

อ่านนิยายจีนเรื่อง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 493 จากไปอย่างผ่าเผย 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก นับตั้งแต่หลินสวินทำการโต้กลับ จนถึงฉีอวี้ถูกกำราบอยู่บนพื้น เกือบจะจบลงในชั่วพริบตาเดียว
ผู้ฝึกปราณบางคนยังตอบสนองไม่ทัน รู้สึกเพียงว่าตาลาย ฉีอวี้ที่แต่เดิมมีพลังเขย่าสวรรค์ ทรงอำนาจดั่งเทพเซียนกลับคุกเข่าลงกับพื้น!
พวกเขาเบิกตากว้าง ท่าทางนิ่งอึ้ง ต่างไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง ทายาทสายตรงของตระกูลฉีตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ผู้อยู่ในระดับหยั่งสัจจะแห่งสาขายอดยุทธศาสตร์คนหนึ่ง ยังไม่ทันปลดปล่อยความทรงพลัง ก็คุกเข่าลงทั้งอย่างนี้แล้ว?
ภาพนี้น่าสะท้านมากเกินไป หากฉีอวี้ถูกผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ในระดับหยั่งสัจจะกำราบ บางทีอาจยังพอเข้าใจได้ ทว่าเขาในตอนนี้กลับพ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือของเด็กหนุ่มระดับมหาสมุทรวิญญาณคนหนึ่งเท่านั้น!
อีกทั้งไม่มีการชิงชัยที่ดุเดือด ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกกำราบเอาไว้ได้ นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
ทอดสายตาไปทั่วหล้า นับแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน ล้วนหาตัวอย่างที่คล้ายคลึงกันไม่เจอ!
ด้วยอย่างไรนี่ก็เป็นความแตกต่างถึงหนึ่งระดับใหญ่ ผู้อ่อนด้อยเอาชนะความแข็งแกร่ง ใช้ความแข็งแกร่งของพลังแห่งระดับมหาสมุทรวิญญาณต้านทานผู้ที่อยู่ในระดับหยั่งสัจจะ!
หากไม่ได้เห็นสิ่งนี้กับตาตัวเอง เกรงว่าไม่ว่าใครต่างไม่กล้าเชื่อทั้งนั้น
องค์หญิงหลิงหวงก็อึ้งค้างอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาเบิกโต ริมฝีปากแดงชุ่มอ้าขึ้นน้อยๆ เบิกตาอ้าปากค้างราวกับถูกสายฟ้าฟาด
นางเองก็คิดไม่ถึงเช่นเดียวกันว่าฉีอวี้จะพ่ายแพ้ด้วยวิธีเช่นนี้ นี่มันน่าอับอายเกินไปจริงๆ ระดับหยั่งสัจจะถูกระดับมหาสมุทรวิญญาณสยบจนคุกเข่าลงกับพื้น หากแพร่ออกไปละก็ ชื่อเสียงคงถูกลิขิตให้ย่อยยับในคราวเดียว กลายเป็นตัวตลกอย่างแน่นอน!
อาภรณ์ขาวของกู้อวิ๋นถิงปลิวไสว ท่วงท่าเป็นเอกลักษณ์ รอบกายมีพลังลึกลับโคจรรายล้อม เมื่อครู่เขาเพิ่งข้ามด่านเคราะห์เลื่อนสู่ระดับหยั่งสัจจะ เมื่อเทียบกับที่ผ่านมา ตอนนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง เดิมทีมองว่าตนเป็นพญาอินทรีและเห็นหลินสวินเป็นมด ถูกลิขิตให้เป็นผู้ที่อยู่คนละโลกกัน อังนั้นเขาจึงไม่เคยเห็นหลินสวินอยู่ในสายตาเลย
ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งตระหนักว่า เด็กหนุ่มตรงหน้าที่ปีนขึ้นยอดภูผาบันไดสวรรค์พร้อมกับตนคนนี้ มีพลังต่อสู้ที่เรียกได้ว่าพลิกฟ้า สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายและตกตะลึงเช่นกัน ไม่อาจรักษาความเฉยเมยและแยกตัวโดดเดี่ยวอย่างก่อนหน้านี้เอาไว้ได้
หากพวกเขารู้ว่าก่อนหน้านี้ยามหลินสวินอยู่แดนวิญญาณโบราณ ก็ได้สังหารมหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะมากกว่าหนึ่งคนไปแล้ว คงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้
หลินสวินในตอนนั้นชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดยังไม่ก่อตัวสมบูรณ์ แต่เขาในตอนนี้ ทั้งด้านพลังปราณ จิตวิญญาณ และร่างกายล้วนแต่ก้าวไปอยู่ในระดับสมบูรณ์แล้ว!
ในเวลานี้เพื่อต่อกรกับฉีอวี้ หลินสวินใช้พลังทั้งหมดออกมาขณะที่อีกฝ่ายเผอเรอ ในระหว่างที่ไม่ทันตั้งตัว ฉีอวี้จึงไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด
ถึงอย่างไรตั้งแต่เริ่มฉีอวี้เองก็คงคิดไม่ถึง ว่าผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณคนหนึ่งอย่างหลินสวินจะดุดันถึงเพียงนี้
“อ๊าก…”
ฉีอวี้คำรามด้วยความโกรธ ดวงตาแทบถลน ใบหน้าเขียวคล้ำบิดเบี้ยว พยายามดิ้นรนหยัดตัวขึ้น
เขาฝึกปราณมาจนถึงตอนนี้ แม้บุพูดไม่ได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งอันดับสองของรุ่น แต่ก็นับเป็นผู้กล้าโดดเด่นในสายตาผู้คนคนหนึ่ง ไหนเลยจะเคยพานพบความอัปยศใหญ่หลวงถึงเพียงนี้
ถูกเด็กหนุ่มในระดับมหาสุมทรวิญญาณกำราบจนคุกเข่ากับพื้นเชียวนะ นี่มันทรมานยิ่งกว่าการฆ่าเขาเสียอีก ทำให้เขาโกรธจนจัดจนแทบคลั่ง
“คุกเข่าสำนึกเสียโดยดี!”
เสียงเพียะดังขึ้น มือขวาของหลินสวินกดกระหม่อมฉีอวี้เอาไว้ มือซ้ายตบเข้าที่ไหล่ฉีอวี้หนึ่งฉาด เล่นเอาฉีอวี้เกร็งไปทั้งตัว ไม่อาจสำแดงพลังออกมาได้
เห็นหลินสวินไม่เกรงใจเพียงนี้ ฝูงชนใกล้เคียงก็อดสูดหายใจเฮือกไม่ได้ เจ้าหมอนี่เหี้ยมโหดจริงๆ!
ด้านฉีอวี้คับแค้นอับอายเหลือล้น อัดอั้นเจียนจะบ้า เขาผู้เป็นศิษย์สาขายอดยุทธศาสตร์ ผู้กล้าในระดับหยั่งสัจจะ แม้แต่อาจารย์ทั่วไปเห็นเขายังต้องเคารพสามส่วน
ทว่าตอนนี้กลับถูกหลินสวินกดกำราบให้คุกเข่ากับพื้น ความอัปยศเช่นนี้ทำให้เขาแค้นจนดวงตาเปี่ยมโลหิต สีหน้าบิดเบี้ยว ไม่มีมาดสง่าผ่าเผยอันเป็นเอกลักษณ์เหมือนเมื่อครู่นี้อีก
“หลินสวิน ถ้ากล้าเจ้าก็สังหารข้าเสีย มิเช่นนั้นวันหน้าข้าจะฉีกเส้นเอ็นถลกหนัง บดกระดูกเจ้าให้เป็นเถ้าถ่าน ไม่ให้เจ้าตายดีไปชั่วกัปชั่วกัลป์!”
เสียงของฉีอวี้คล้ายกับเค้นออกมาจากทรวงอก เผยให้เห็นความเกลียดชังและไอสังหารไร้สิ้นสุด
ฝูงชนหนาวสั่นไปทั่วร่าง พวกเขาเชื่อมั่นว่าในเมื่อฉีอวี้กล่าวเช่นนี้ ย่อมกล้าทำเช่นนี้อย่างแน่นอน มองหลินสวินเป็นศัตรูตัวฉกาจไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
เพียะ!
หลินสวินตบแก้มฉีอวี้หนึ่งฉาด เสียงดังกังวาน ทิ้งรอยประทับห้านิ้วที่บวมแดงเอาไว้ ทำให้ผู้คนในบริเวณนั้นต่างรู้สึกลนลานไปด้วย
“ในฐานะศิษย์ เจ้าเหยียบย่ำกฎระเบียบสำนักศึกษา ไม่เคารพผู้อาวุโส ตอนนี้ให้เจ้าคุกเข่าสำนึกผิด เจ้ากลับไม่รู้จักสำนึก ยังกล้าทำตัวอันธพาล คิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้า”
ในเวลานี้หลินสวินมีท่าทางเคร่งขรึม ดูเถรตรงน่าเกรงขาม นัยน์ตาดำลุ่มลึกเย็นเยียบ ไอสังหารพวยพุ่ง ไม่มีปิดบังแม้แต่น้อย
ถูกกำราบให้คุกเข่า ทั้งยังโดนตบเสียงดังฟังชัด ทำให้ฉีอวี้ทึ่มทื่อไปอยู่บ้าง ไม่กล้าคิดเลยว่าบนโลกใบนี้ถึงขั้นมีคนกล้าทำเช่นนี้กับตน เขาไม่กลัวตายจริงๆ หรือ
ไม่เพียงแต่ฉีอวี้ คนอื่นๆ ในละแวกนั้นก็ยังตกประหม่า ในที่สุดตอนนี้พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหลินสวินถึงได้กล้าบังคับให้หลิงเทียนโหวคุกเข่า เจ้าหมอนี่เดิมทีก็เป็นพวกขวางโลก บ้าบิ่นไร้ยางอายคนหนึ่งนี่เอง!
ฉีอวี้เพิ่งคิดจะโพล่งประโยครุนแรง ทว่าตอนที่สบตากับหลินสวิน ในใจพลันหนาวเยือกขึ้นมา
เขารับรู้ได้อย่างแรงกล้า ว่าหากตนยังคงดิ้นรนขัดขืนอีก เจ้าคนตรงหน้าคนนี้จะต้องฆ่าตนโดยไม่ลังเลสักนิดเป็นแน่!
สิ่งนี้ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสี เป็นครั้งแรกที่รู้สึกถึงภัยคุกคามร้ายแรงถึงชีวิตได้ชัดเจนเพียงนี้
“หลินสวิน เจ้าอย่าได้กำเริบเกินไปนัก ให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ปล่อยฉีอวี้เสียตอนนี้ มิเช่นนั้นต่อให้เจ้าจะมีความสามารถพลิกฟ้าแค่ไหน วันนี้ก็ต้องวินาศ!”
องค์หญิงหลิงหวงสีหน้าเยียบเย็น แผ่ความน่ายำเกรงกดทับผู้คนออกมา
ทุกคนต่างสะท้านไปทั้งใจ องค์หญิงหลิงหวงสง่างามโดดเด่น แม้แต่น้ำเสียงยังไพเราะเสนาะหู ทว่าคำพูดของนางในตอนนี้กลับเผยแววเข่นฆ่า เปี่ยมด้วยการข่มขู่ ทำให้ผู้คนใจสะท้าน
ไม่มีใครกล้าสงสัย เพราะนี่เป็นถึงธิดาองค์เล็กของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน สถานะดั่งจันทร์กระจ่างบนเวิ้งนภา สูงส่งจนไม่อาจบรรยายได้ เพียงประโยคเดียวก็สามารถตัดสินความเป็นตายของคนได้!
กลับเห็นหลินสวินไม่ไหวติง เอ่ยเสียงราบเรียบ “ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย เจ้ากลับมาขู่ข้าก่อน คิดว่าตัวเองเป็นทายาทราชวงศ์แล้วจะทำตัวไร้ขื่อไร้แปได้จริงหรือ จำไว้ ที่นี่คือสำนักศึกษามฤคมรกต สถานะของเจ้าก็เป็นแค่ศิษย์คนหนึ่ง หากกล้าทำตัวอันธพาล ข้าจะสั่งสอนเจ้าเองว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร”
เฮือก!
ทั้งสนามสูดหายใจเย็นเยียบ อะไรที่เรียกว่ากำเริบเสิบสาน ไม่สนใจสิ่งใด? ก็นี่อย่างไรเล่า!
ดุด่าไข่มุกกลางฝ่ามือจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเช่นนี้ เกรงว่ามีแค่หลินสวินคนเดียวเท่านั้นที่กล้าทำ
“นี่เจ้ากำลังยั่วโมโหข้าหรือ”
องค์หญิงหลิงหวงเย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง เห็นชัดว่าโกรธอย่างสิ้นเชิงแล้ว ด้วยฐานะของนาง ต่อให้ผู้นำตระกูลทรงอิทธิพลมาก็ยังไม่กล้าสั่งสอนนาง แต่หลินสวินกลับไม่เห็นนางอยู่ในสายตาซ้ำแล้วซ้ำอีก นี่เป็นการหมิ่นศักดิ์ศรีของนางอย่างใหญ่หลวงชัดๆ
“คงไม่เรียกว่ายั่วโมโหหรอก เพียงแต่อยากจะบอกเจ้าว่า ตอนที่ข้ากำราบหลิงเทียนโหว จักรพรรดินีองค์ปัจจุบันก็ไม่เคยขัดขวาง หากเจ้าอยากซ้ำรอยเดิมของหลิงเทียนโหวจริงๆ วันนี้ข้าสามารถทำให้เจ้าสมปรารถนาได้”
น้ำเสียงของหลินสวินราบเรียบ เขายืนอยู่ตรงนั้น เรือนผมดำแผ่สยาย เงาร่างสูงโปร่งสง่างาม มือข้างหนึ่งกดอยู่บนกระหม่อมฉีอวี้ สอดคล้องกับคำพูดที่กล่าวออกมาเวลานี้ มีความทรงอำนาจที่เย้ยหยันใต้หล้าอย่างหนึ่ง
ฝูงชนต่างประหลาดใจ ทว่าในใจก็ไม่อาจไม่ยอมรับ แม้หลินสวินจะโอหังและบ้าดีเดือดแค่ไหน แต่ความกล้าหาญและจิตใจที่แสดงออกมาในยามนี้น้อยคนมากจะทัดเทียมได้
“เจ้า…!”
องค์หญิงหลิงหวงกัดฟันกรอด โกรธจนตาแทบลุกเป็นไฟ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบเจอคนบ้าดีเดือดขนาดนี้อย่างหลินสวินข ช่างต่ำทรามยิ่งนัก ควรได้รับโทษตายเป็นหมื่นครั้ง!
“เจ้าหนุ่ม ต่างฝายต่างถอยคนละก้าว แล้วหยุดเพียงเท่านี้เถอะ”
และเวลานี้เองในหอกิจวิญญาณที่อยู่ไม่ห่าง ชายชราผู้หนึ่งเดินออกมาพลางเอ่ยเสียงขรึม
นี่เป็นผู้อาวุโสซึ่งได้รับการเรียกขายอย่างเคารพว่า ‘ผู้เฒ่าพยับเมฆินทร์’ สถานะไม่ธรรมดา เป็นนผู้ดูแลหอกิจวิญญาณเรื่อยมา ที่มายากหยั่งถึง พลังอำนาจดั่งชลาสินธุ์ ไม่อาจอนุมานได้
“ไม่ได้!”
องค์หญิงหลิงหวงเอ่ยปากอย่างเด็ดเดี่ยว
“ข้าก็ไม่เห็นด้วย”
หลินสวินตัดสินใจจะแตกหักแล้ว ไหนเลยจะยอมถอยให้ “ข้าก็แค่ไม่เต็มใจสละเขาวัวขุยเท่านั้น ก็ถูกศิษย์พวกนี้ยั่วโมโหให้อดสูไม่หยุดหย่อน หนำซ้ำยังกล้าลงมือกับข้าอีก! ควรรู้ว่าข้าเป็นอาจารย์ด้วยซ้ำ พวกเขายังกล้าทำขนาดนี้ นี่มันไร้ขื่อไร้แปชัดๆ เห็นกฎระเบียบสำนักศึกษามฤคมรกตไร้ความหมาย!”
คำพูดรุนแรง ดังสนั่นกึกก้อง สั่นสะเทือนฟ้าดิน ทำให้ทั่วลานสั่นสะท้าน ตระหนักได้ว่าหลินสวินทำเช่นนี้ เพราะเห็นชัดว่าไม่อาจลอมชอมได้ คิดจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่อย่างสมบูรณ์
แน่นอน หลินสวินก็คิดจะทำเช่นนี้จริงๆ ไม่ก่อเรื่องไม่ได้แล้ว ล่วงเกินไปแล้ว เขาก็ไม่รังเกียจที่จะทำให้สถานการณ์ยิ่งใหญ่ขึ้น ให้ดีคือทำให้รู้กันทั่วทั้งสำนักศึกษามฤคมรกตไปเลย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
บริเวณไกลๆ เริ่มมีคนแตกตื่นตามๆ กัน รีบมุ่งหน้ามาทางนี้ไม่หยุด
เห็นดังนี้ผู้เฒ่าพยับเมฆินทร์ที่เดินออกมาจากหอกิจวิญญาณอดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ เมื่อครู่เขาอยู่ในโถงตลอด เห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา ย่อมรู้ดีถึงที่มาที่ไปของเรื่องเป็นธรรมดา
“หลินสวิน ข้าเชื่อว่าเรื่องในวันนี้สำนักศึกษาจะให้คำอธิบายที่น่าพอใจแก่เจ้า หวังว่าเจ้าจะรามือเสียตอนนี้ อย่าได้ก่อเรื่องต่อไปอีกเลย”
ผู้เฒ่าพยับเมฆินทร์เปล่งเสียง ครั้งนี้เสียงของเขาเปลี่ยนเป็นทรงพลังขึ้น มีพลังสั่นสะท้านที่กดข่มหัวใจผู้คนเอาไว้
ทั่วลานส่งเสียงฮือฮา รู้สึกเหนือความคาดหมาย เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าพยับเมฆินทร์ยืนอยู่ในสถานะเป็นกลาง ไม่ได้ลำเอียงเข้าข้างพวกองค์หญิงหลิงหวง!
ได้ฟังถ้อยคำนี้แล้ว สีหน้าองค์หญิงหลิงหวงเคร่งขรึมอีกครั้ง หัวเสียถึงขีดสุด หมายจะเอ่ยวาจาแต่กลับถูกกู้อวิ๋นถิงที่อยู่ด้านข้างห้ามไว้ก่อน เอ่ยว่า “ให้เป็นเช่นนี้ชั่วคราวเถอะ มีคนใหญ่คนโตมากมายจับจ้องที่นี่ ไม่เหมาะจะก่อเรื่องอีกต่อไป”
ดวงหน้างดงามขององค์หญิงหลิงหวงอึมครึม นัยน์ตาเปี่ยมด้วยความโกรธ จดจ้องหลินสวินอยู่เป็นนาน ท้ายที่สุดก็แค่นเสียงเย็นหนึ่งคราและไม่พูดมากความอีก
ส่วนทางฝั่งฉีอวี้ สีหน้าปั้นยากถึงขีดสุด คนที่เข้ามามุงดูเหตุการณ์ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และจนถึงตอนนี้เขายังคงถูกกดลงกับพื้น สิ่งนี้ทำให้เขาอับอายจนแทบอยากปาดคอฆ่าตัวตายไปให้สิ้นเรื่อง
“หลินสวิน พอเท่านี้เถิด ในเมื่อผู้เฒ่าพยับเมฆินทร์ออกปากแล้ว เชื่อว่าคงจะให้คำตอบที่น่าพอใจแก่เจ้าได้”
ทันใดนั้นข้างๆ หูหลินสวินก็มีเสียงของเสิ่นทั่วปรมาจารย์สลักวิญญาณแห่งสาขาสลักวิญญาณดังขึ้น เห็นได้ชัดว่าเสิ่นทั่วเองก็รีบมาที่นี่ด้วยความแตกตื่นเช่นเดียวกัน
หลินสวินนิ่งเงียบอยู่สักพัก จากนั้นจึงประสานมือคารวะแล้วกล่าวกับผู้เฒ่าพยับเมฆินทร์ “ในเมื่อผู้อาวุโสออกปาก ผู้น้อยไหนเลยจะมีเหตุผลให้ไม่ทำตาม เพียงแต่ผู้น้อยหวังว่าเรื่องในวันนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก มิเช่นนั้นกฎระเบียบของสำนักศึกษามฤคมรกตของเราก็จะกลายเป็นเพียงเครื่องประดับเท่านั้น”
กล่าวจบเขาก็หมุนกายจากไปทันที
ตั้งแต่ต้นจนจบแทบไม่ได้มองพวกฉีอวี้ องค์หญิงหลิงหวง และกู้อวิ๋นถิงอีกเลยแม้แต่ปราดเดียว
“เจ้ารอข้าก่อนเถอะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะซ่อนอยู่ในสำนักศึกษาได้ตลอดไป!”
องค์หญิงหลิงหวงโกรธจนตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง แค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
‘หลินสวิน หากข้าไม่ฆ่าเจ้า ข้าก็ไม่ใช่คนแล้ว!’
ฉีอวี้คำรามอยู่ในใจเช่นกัน สายตาเปี่ยมด้วยความเคียดแค้นและไอสังหาร
กู้อวิ๋นถิงมองดูหลินสวินจากไปด้วยท่าทีสันโดษเฉกเช่นเคย เพียงแต่ในดวงตากลับเจือแววเย็นยะเยือกอยู่รำไร
เรื่องในวันนี้ สำหรับทั้งสามคนแล้วล้วนเรียกได้ว่าเป็นความอัปยศอย่างหนึ่ง ไม่ว่าใครต่างก็รู้ดี พวกเขาจะไม่ยอมกล้ำกลืนฝืนทนไว้เช่นนี้เป็นแน่!
——

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด