Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 688 คำนวณผลงาน

อ่านนิยายจีนเรื่อง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 688 คำนวณผลงาน 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ทหารยามซึ่งประจำอยู่ในค่ายล้วนเป็นพวกเจนโลกที่ผ่านศึกมากว่าร้อยสมรภูมิ แวบแรกก็มองออกว่าหลินสวินน่าจะเป็นคนมาใหม่
กระทั่งอาจจะเป็นนักล่าสัตว์ผู้ฝึกปราณด้วยตนเองที่ถวายชีวิตให้กับอิทธิพลใหญ่บางแห่ง
อย่างไรเสียรูปร่างหน้าตาก็แปลกตาเหลือเกิน เห็นได้ชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่มุ่งหน้ามายังค่ายหมายเลขเจ็ด
และนี่ก็ทำให้ในสายตาของพวกเขา หลินสวินกลายเป็นแกะอ้วนพีตัวหนึ่งที่สามารถเชือดอย่างโหดเหี้ยมได้ในดาบเดียว
ครั้นได้ยินคำสั่งของหัวหน้าทหารยาม ก็มีทหารยามสิบกว่านายพุ่งกรูออกมาพร้อมไอสังหาร จ้องหลินสวินอย่างมุ่งร้าย
หลินสวินมุ่นคิ้ว ในหนังสือคู่มือหนังสัตว์ไม่ได้อธิบายว่าเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ควรรับมืออย่างไร
แต่ว่า ตอนที่หลินสวินอยู่ในค่ายกระหายเลือดก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียเปล่า เมื่อเห็นดังนี้ เขายืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับแม้เศษเสี้ยว ไอสังหารในสีหน้าท่าทางกลับอันตรธานลับไป เปลี่ยนเป็นสงบเยือกเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ
“มาๆๆ ให้ข้าตรวจสอบก่อนว่าเจ้าเด็กคนนี้เป็นสายลับหรือไม่กันแน่!”
ชายฉกรรจ์ล่ำสันคนหนึ่งพุ่งเข้ามาเบื้องหน้าด้วยอาการเหิมฮึกเป็นคนแรก ถูหมัดเช็ดฝ่ามือ ประสาทสัมผัสด้านการรับกลิ่นของเขาไวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ สังเกตเห็นตั้งแต่ต้นแล้วว่าในสัมภาระบนหลังของหลินสวินมีของดีอยู่ไม่น้อย
ปึง!
เพียงแต่ตอนที่เขาอยู่ห่างจากหลินสวินราวๆ หนึ่งจั้ง ทั้งตัวคล้ายถูกเขาไท่ซานกดทับ เสียงตึงโครมใหญ่ คุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็วยิ่งยวด
ทหารยามเหล่านั้นที่ตามหลังเขามาติดๆ เงาร่างของแต่ละคนก็โซซัดโซเซ หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ถูกพลังอำนาจน่าหวาดกลัวอันไร้รูปกดทับเอาไว้ ประหนึ่งร่ำสุราจนเมามายก็มิปาน
หลังจากนั้นเสียงดังตึงๆ ดังก้องหนึ่งระลอก ทหารยามเหล่านั้นต่างคุกเข่าลง ใบหน้าแดงก่ำทั้งดวง เข่าสองข้างส่งเสียงแกรกกรากไม่หยุด
“พวกเจ้าไม่ใช่ว่าอยากตรวจสอบข้าวของของข้าหรอกหรือ ไฉนจู่ๆ ถึงคุกเข่าลงไปกันเล่า นี่กำลังคารวะต้อนรับข้าอยู่หรือ” หลินสวินทำหน้าประหลาดใจ
ทั่วบริเวณเงียบกริบ
ทหารยามคนอื่นๆ ในละแวกหอสังเกตการณ์ต่างสูดหายใจเย็นเยียบ ตระหนักว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
พวกเขาเหล่านี้ต่างก็เป็นบุคคลโหดเหี้ยมที่คมดาบอาบเลือดกันทั้งนั้น สามารถรอดชีวิตอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดอันแสนดุร้ายและอันตรายมาจนถึงป่านนี้ ล้วนไม่มีบุคคลธรรมดาสามัญสักคน
ทว่าตอนนี้ พวกเขายังไม่ทันได้เข้าใกล้เด็กหนุ่มคนนั้น ก็คุกเข่าลงทันที!
นี่มันน่าตระหนกเกินไปแล้ว
“สามหาว!”
ทหารยามนายหนึ่งซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นแผดเสียงคำราม หมายจะขัดขืนแล้วหยัดกายขึ้น ทว่าเพียงชั่วครู่ก็ถูกกดลงกับพื้นอีกครั้ง กระดูกแทบแหลกลาญ
หลินสวินในยามนี้เป็นผู้อยู่ในขอบเขตราชันที่ก้าวสู่มกุฎมรรคาแล้ว พลังอำนาจของเขามาจากการเคี่ยวกรำผ่านศึกเปื้อนเลือดนับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงทหารยามที่เพิ่งจะอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณพวกนี้ ต่อให้ผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะมา ก็ไม่กล้าต่อต้านประจันหน้า!
แกร๊กๆ!
บนพื้น ทหารยามเหล่านั้นบิดเกร็งทั่วทั้งตัว ดุจดั่งถูกภูผามหึมากดทับร่าง สีหน้าขาวซีด บนหน้าผากชุ่มเหงื่อกาฬ กล้ามเนื้อกระดูกทั่วร่างล้วนกำลังส่งเสียงเสียดสีกันอย่างท้วมทัน จวนเจียนหักพัง
อานุภาพกดดันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ!
ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะต้องถูกกดทับจนเลือดออกเจ็ดทวาร กล้ามเนื้อกระดูกทั่วร่างแตกเป็นเสี่ยงแน่
สิ่งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวในที่สุด ตระหนักได้ว่าเผชิญหน้ากับของแข็งเข้าให้แล้ว นี่ไหนเลยจะเป็นแกะอ้วนพี เป็นหมาป่าที่ห่มหนังแกะตัวหนึ่งชัดๆ!
“สหาย! มีอะไรก็พูดกันดีๆ!”
บนหอสังเกตการณ์ หัวหน้าทหารยามคนนั้นร้องตะโกนอย่างลนลาน เขาเองก็หน้าเปลี่ยนสี สูดลมหายใจเฮือกไม่หยุด อาศัยแค่พละกำลังก็สามารถบดขยี้ทหารยามเหล่านั้นได้แล้ว บุคคลเช่นนี้ทำให้ในใจเขาบังเกิดความกลัวลนลาน
ยามที่เอ่ยวาจา เขาได้พุ่งลงมาจากด้านบนหอสังเกตการณ์แล้ว
“คนที่ไม่อยากพูดกันดีๆ เป็นพวกเจ้ากระมัง” นัยน์ตาของหลินสวินมองสำรวจหัวหน้าทหารยามคนนั้น กลางนัยน์ตาดำเจือแววเย็นเยียบลึกล้ำ
หัวหน้าทหารยามคนนั้นพลันรู้สึกเหมือนถูกใบมีดคมกริบไร้รูปอันหนึ่งพาดบนลำคอ กลิ่นอายอันตรายถึงแก่ชีวิตทำให้ทั่วร่างของเขาราวกับตกอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง เหงื่อกาฬไหลออกมาปานน้ำตก เปียกชุ่มไปทั่วร่าง
สิ่งนี้ทำให้เขาตกใจจนวิญญาณกระเจิง ผู้แข็งแกร่งที่สามารถยืนมั่นอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดล้วนมีลางสังหรณ์อันเฉียบคมต่ออันตรายกันทั้งสิ้น
และหัวหน้าทหารยามคนนี้ก็ยิ่งเป็นผู้เกรียงไกรหนึ่งในนั้น ชั่วพริบตานี้ก็ทำให้เขาตระหนักได้ว่า เด็กหนุ่มที่มุ่งหน้าฝ่าม่านราตรีมาเพียงลำพังคนนี้ จะต้องเป็นคนที่น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบคนหนึ่งอย่างแน่นอน!
“พวกข้ามีตาหามีแววไม่ ทำให้ใต้เท้าขุ่นเคืองแล้ว ขอใต้เท้าโปรดให้อภัย!”
หัวหน้าทหารยามโค้งกายคำนับต่ำ ภายในใจเขายังคงเต้นระส่ำ รับรู้ถึงความกดดันและตึงเครียดอย่างไม่อาจอธิบายได้
หลินสวินเก็บพลังกล่าวว่า “ข้ามาเป็นครั้งแรก ไม่เข้าใจอันใดเลย เมื่อครู่หากล่วงเกินไป ก็หวังว่าทุกท่านอย่าได้ใส่ใจ”
หัวหน้าทหารยามถอนหายใจโล่งอก ปาดเหงื่อเย็นหนึ่งคราแล้วฝืนยิ้มกล่าว “พวกข้ามีตาหามีแววไม่ ทำให้ใต้เท้าขุ่นเคือง ใต้เท้าไม่ถือสานับเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงแล้ว”
“ใช่แล้วๆ” ทหารยามที่ถูกกำราบลงกับพื้นต่างก็ตะกายขึ้นมา สายตาที่มองไปทางหลินสวินล้วนเปลี่ยนไป ปรากฏความกริ่งเกรงอย่างสุดซึ้งเพิ่มขึ้นมาหนึ่งขนัด
ทหารยามที่อยู่ละแวกหอสังเกตการณ์ต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ตระหนักได้ว่าคราวนี้เจอของแข็งเข้าให้แล้ว ต่างก็ไม่กล้าพูดมั่วๆ อีก
นี่ก็คือการสร้างบารมี ไม่ว่าจะเป็นค่ายกระหายเลือดหรือว่าค่ายทหาร คิดจะทำให้พวกเจนจัดเหล่านี้ศิโรราบ การสำแดงพลังออกมาตรงๆ ก็เพียงพอแล้ว
หลินสวินเองก็คร้านจะยื้อยุดกับพวกเขาแล้ว ทิ้งห่อสัมภาระใหญ่มหึมาบนหลังลงกับพื้นเสียงดังปึง แล้วโบกมือกล่าว “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ ในเมื่อพวกเจ้าจะตรวจสอบ ข้าย่อมไม่อาจไม่เห็นด้วย เมื่อครู่ที่ข้าล่วงเกินไปก็เพราะท่าทีของพวกเจ้ามีปัญหา”
ครั้นประโยคนี้เอ่ยออกมา พวกทหารยามต่างก็มีสีหน้าเหลอหลา อักอ่วนไม่สิ้น อันที่จริงพวกเขายังคิดว่าบังเอิญพบแกะอ้วนพีตัวหนึ่งเข้า ที่บอกว่าจะตรวจสอบนั้น ความจริงในใจนั้นถูกความโลภครอบงำต่างหาก
ครั้นเห็นว่าเวลานี้อีกฝ่ายมีท่าทีสุภาพ หัวหน้าทหารยามยิ่งรู้สึกว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้ไม่ธรรมดาเลย เขาเงียบไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า “เอาเถอะ กฎระเบียบไม่อาจละเมิดได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ตรวจสอบสักรอบ จะได้ให้ใต้เท้าผู้นี้เข้าค่ายทหารโดยเร็ว”
ทหารยามที่อยู่ใกล้เคียงส่งเสียงรับกันเกรียวกราว
สิ่งที่เรียกว่าตรวจสอบก็เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ใครๆ ก็ดูออกว่าหลินสวินไม่มีทางเป็นสายลับของพวกเศษสวะเผ่าพ่อมดเถื่อนได้เลยแม้แต่น้อย
แต่ในเมื่อหลินสวินยืนกราน พวกเขาก็จำเป็นต้องให้ความร่วมมือ
เพียงแต่ขณะที่เปิดห่อสัมภาระขนาดใหญ่ปานเนินเขาลูกย่อมๆ ใบนั้นออก ทั่วบริเวณพลันเกิดเสียงสูดหายใจเย็นเยียบระลอกหนึ่ง
ล้วนเป็นทรัพย์หลังศึกที่โชกเลือดละลานตาไปหมด!
เยอะเกินไปแล้ว แน่นขนัดยิ่ง!
ภายในนั้นส่วนใหญ่เป็นทรัพย์หลังศึกที่เก็บเกี่ยวมาจากตัวของจอมพลังเผ่าพ่อมดเถื่อน และไม่ขาดทรัพย์หลังศึกระดับจอมเวทด้วย!
“สวรรค์ มีระดับจอมเวทเกือบสิบเก้าคน ระดับจอมพลังกว่าร้อยคน!”
หัวหน้าทหารยามและทหารยามในที่นั้นต่างสูดหายใจหนาวเยือก สายตาที่มองไปทางหลินสวินเปลี่ยนเป็นกริ่งเกรงขึ้นทุกที เด็กหนุ่มคนนี้ช่าง… โหดเหี้ยมเกินไปแล้วชัดๆ!
เพียงคนเดียวเท่านั้น ก็เก็บเกี่ยวคุณูปการทางทหารโชกเลือดได้ตั้งมากมายขนาดนี้ แค่คิดก็รู้ว่าความแข็งแกร่งของเขาผิดวิสัยมากเพียงใด
“เอ๋! แขนข้างนี้ดูเหมือนจะพิเศษเล็กน้อย”
ทันใดนั้นในค่ายทหารพลันมีเงาร่างสายหนึ่งพุ่งออกมา นั่นคือชายชราชุดคลุมสีเทาคนหนึ่ง เส้นผมและเคราต่างเป็นสีขาว แม้แต่ขนคิ้วก็ยังเป็นสีขาวด้วยเช่นกัน
เวลานี้เขามาใกล้มาถึงแล้ว ดวงตาพลันมองไปที่แขนข้างนั้นตั้งแต่แรก ในสีหน้าท่าทางเจือความประหลาดใจเสี้ยวหนึ่ง จากนั้นเงยสายตามองไปทางหลินสวิน “แขนข้างนี้เจ้าได้มาจากที่ใด”
หลินสวินมุ่นคิ้ว “ท่านคือ?”
“ใต้เท้า ท่านผู้นี้คือใต้เท้าหลู หลูเหวินถิง เป็นนายทหารฝ่ายพลาธิการ ควบคุมดูแลเสบียงปัจจัยวัตถุในค่ายทหารหมายเลขเจ็ดของพวกเรา” หัวหน้าทหารยามที่อยู่ด้านข้างรีบร้อนอธิบาย
หลินสวินร้องอ้อหนึ่งที กล่าวว่า “แขนข้างนี้มีปัญหาหรือ”
หลูเหวินถิงกลับไม่ถือสาท่าทีเฉยเมยของหลินสวิน ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่มีปัญหา เพียงแต่… แขนข้างนี้ดูคล้ายจะมาจากผู้แข็งแกร่งราชนิกุลสายคนเถื่อนมืด นี่มันหายากมากทีเดียว”
เฮือก!
เป็นเสียงสูดหายใจเฮือกอีกระลอก ทหารยามละแวกใกล้เคียงกลุ่มนั้นล้วนตาค้าง แขนข้างหนึ่งของราชนิกุลคนเถื่อนมืด?
สวรรค์!
ใต้เท้าเด็กหนุ่มคนนี้ฆ่าราชนิกุลคนเถื่อนมืดคนหนึ่งไปแล้วหรือ
พวกเขารู้ดีว่าราชนิกุลคนเถื่อนมืดเป็นบุคคลที่อยู่ปลายยอดในบรรดานักฆ่า ดุจดั่งผู้กล้าไร้เทียมทานในหมู่ผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์ แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ
นักฆ่าระดับนี้มีความเชี่ยวชาญในการซ่อนเร้นและหลบหนี เปรียบดังราชันที่ถือกำเนิดในเงามืด แม้จะเป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติลงมือ ก็ยากจะจัดการได้อยู่หมัด!
แต่ตอนนี้ แขนข้างหนึ่งของราชนิกุลคนเถื่อนมืดอยู่ต่อหน้านี่เอง นี่ไม่ได้หมายความว่า…
สายตาของพวกเขามองไปทางหลินสวินโดยพร้อมเพรียงกัน
กลับเห็นว่าหลินสวินนิ่งงันไป กล่าวคล้ายรำพึงรำพัน “ที่แท้เจ้าหมอนั่นก็เป็นถึงราชนิกุลคนเถื่อนมืดคนหนึ่งนี่เอง มิน่าถึงได้ฆ่ายากเสียขนาดนั้น…”
เขานึกถึงชายหนุ่มเงาสีเทาคนนั้นขึ้นมา ภายในใจอดหดหู่เล็กน้อยไม่ได้ น่าเสียดาย อีกแค่นิดเดียวเท่านั้นก็จะฆ่าเจ้าหมอนั่นให้ตายได้แล้ว!
เมื่อได้รับการยืนยันจากหลินสวิน พวกหัวหน้าทหารยามต่างตะลึง นี่ถึงกับเป็นเรื่องจริง…
“คิดว่าสหายน้อยคงจะรีบเร่งมาแลกเปลี่ยนคุณูปการทางทหารกระมัง เชิญตามข้ามาแล้วกัน”
หลูเหวินถิงดูคล้ายจะให้ความสำคัญกับแขนข้างนั้นเป็นพิเศษ และไม่สนใจที่มาของหลินสวิน นำเขารุดหน้าไปทางค่ายทหารโดยตรง
“ก็ดี” หลินสวินพยักหน้า ตามหลูเหวินถิงมุ่งหน้าเข้าสู่ค่ายทหาร
มองส่งพวกเขาจากไป พวกหัวหน้าทหารยามต่างทยอยถอนหายใจเฮือกยาว ภายในใจยังคงขยาดกลัว เมื่อครู่พวกเขาเกือบจะล่วงเกินดาวมฤตยูที่ซ่อนคมในฝักไม่ยอมเผยตัวคนหนึ่งเข้าให้แล้ว!
……
ค่ายทหารมีแสงสว่างจ้า อาคารหลายหลังเรียงรายเลียบแนวภูเขาลูกหนึ่ง ดูแน่นขนัด แต่กลับเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างเห็นได้ชัด
ยามราตรีมาเยือน ภายในค่ายทหารดูคึกคักหาที่เปรียบไม่ได้อย่างชัดเจน ทุกบริเวณล้วนสามารภพบเห็นเงาร่างของผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิ กลิ่นอายแต่ละคนล้วนลึกล้ำยิ่งยวด มีกลิ่นอายดุดันอันเป็นเอกลักษณ์
นี่คือกลิ่นอายที่ต้องเข่นฆ่ามาเป็นเวลานานกว่าจะเคี่ยวกรำออกมาได้ บนตัวของผู้ฝึกปราณทั่วไปแทบไม่มีเลยแม้แต่น้อย
ฝ่ายพลาธิการ
หลูเหวินถิงรีบร้อนจัดให้ผู้ใต้บัญชาสองนายมาช่วยหลินสวินนับทรัพย์หลังศึก ส่วนเขากลับหยิบแขนข้างนั้นขึ้นมา เริ่มสำรวจอย่างละเอียด
เนิ่นนานกว่าเขาจะเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าแปลกๆ จ้องไปทางหลินสวินพลางกล่าวว่า “นี่จะต้องเป็นแขนของทายาทราชนิกุลคนเถื่อนมืดอย่างไม่ต้องสงสัย ฝ่ามือของเขาประทับรอยสัญลักษณ์ ‘กระบี่แห่งเงามืด’ ซึ่งเป็นของราชนิกุลคนเถื่อนมืด ทำเลียนแบบไม่ได้ เพียงแต่…”
ดูเหมือนรู้ว่าหลูเหวินถิงจะถามอะไร หลินสวินพูดตรงๆ ว่า “เขายังไม่ตาย”
หลูเหวินถิงผิดหวังทันควัน กล่าวทอดถอนใจ “ก็จริง บุคคลที่เรียกว่าไร้เทียมทายเช่นนี้ จะถูกฆ่าตายส่งเดชได้อย่างไร”
หลินสวินไม่ได้อธิบาย ถึงแม้เขาจะมั่นใจว่าตนเองสามารถสังหารคู่ต่อสู้ได้ก็ตาม แต่อย่างไรเสียท้ายที่สุดแล้วเจ้าหมอนั่นก็ถูกคนช่วยไว้ก่อนอยู่ดี ต่อให้อธิบายไปก็กลัวแต่ว่าคงไม่มีใครเชื่อ
แต่ว่าปฏิกิริยาของหลูเหวินถิงกลับตอกย้ำการคาดเดาก่อนหน้านี้ของหลินสวิน ชายหนุ่มเงาสีเทาคนนั้นเป็นบุคคลพิเศษซึ่งมีที่มาไม่ธรรมดาคนหนึ่งจริงๆ ด้วย!
“ใต้เทา นับเสร็จสมบูรณ์แล้วขอรับ รวมทั้งสิ้นมีระดับจอมเวทสิบเก้าชิ้น ระดับจอมพลังสองร้อยสิบหกชิ้น รวมกันแล้วสามารถจัดเป็นเหรียญกล้าหาญระดับสองหนึ่งอัน และเหรียญกล้าหาญระดับสามสองอัน”
ผู้ใต้บัญชาสองคนนั้นพูดด้วยความนบนอบ ยามที่สายตาของพวกเขากวาดผ่านหลินสวิน ก็เจือความแปลกประหลาดเสี้ยวหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ คล้ายกับคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มเช่นนี้จะถึงขั้นประสบความสำเร็จระดับนี้ได้!
“ไม่ ยังต้องบวกแขนข้างนี้เข้าไปด้วย”
หลูเหวินถิงครุ่นคิดสักพักก่อนพูดตรงๆ “ก็ถือเสียว่าเป็นเหรียญระดับสองสองอัน! จริงสิ ไม่รู้ว่าสหายน้อยชื่อเรียงเสียงไร มาจากค่ายทหารไหนหรือ”
กล่าวพลาง เขามองไปทางหลินสวินด้วยเชิงขอโทษ เพราะมัวแต่สนใจเรื่องแขนข้างนั้นจนลืมถามไถ่ที่มาของเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ไปสิ้น
——

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด