Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 491 ชิงเขาวัวขุย

อ่านนิยายจีนเรื่อง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 491 ชิงเขาวัวขุย 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

หลินสวินมาทำอะไรที่นี่?
ผู้คนจำนวนมากในหอกิจวิญญาณล้วนสงสัยใคร่รู้
พลันเห็นหลินสวินตรงดิ่งมายังบริเวณที่แลกเปลี่ยนวัตถุดิบวิญญาณ ก่อนล้วงป้ายประจำตัวออกมาแล้วยื่นให้แก่ชายชราผู้หนึ่งที่เฝ้ายามสถานที่แห่งนี้ พลางกล่าวว่า “แลกเปลี่ยนเขาวัวขุย รบกวนผู้อาวุโสแล้ว”
ทันใดนั้นดวงตาชายชราพลันเบิกกว้าง หยัดตัวขึ้นพลางร้องอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้าทะลวงผ่านบันไดสวรรค์แล้วหรือ”
“บันไดสวรรค์อะไร”
ศิษย์บางกลุ่มฉงน
“ภูผาบันไดสวรรค์ ยอดเขาที่ประทับร่องรอยมหามรรคลูกหนึ่ง ลือกันว่าผู้ที่สามารถปีนขึ้นไปบนนั้นได้ ไม่มีใครไม่ใช่ผู้กล้าที่ร้ายกาจที่สุดในโลก ณ ตอนนั้น เพราะการทอดสอบบันไดสวรรค์นั้นยากเกินไป หลายร้อยปีมานี้ต่างไม่เคยมีใครสามารถเหยียบย่างขึ้นไปบนนั้นได้เลย”
ไม่นานก็มีคนเอ่ยอธิบาย พลันดึงดูดเสียงร้องอุทานตกใจทั่วบริเวณ
“ไม่ใช่กระมัง! หลินสวินคนนี้จะเหี้ยมหาญเกินไปแล้วกระมัง”
“ไม่ใช่เรื่องเท็จอย่างแน่นอน ไม่ได้ยินหรือ เขาต้องการแลกเปลี่ยนเขาวัวขุย จากที่ข้ารู้มา มีเพียงผ่านการทดสอบบันไดสวรรค์เท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติแลกเปลี่ยนสมบัติชิ้นนี้ได้”
“เมื่อวานเขาเพิ่งจะไต่ขึ้นอันดับหนึ่งของกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณไป วันนี้ยังทะลวงผ่านการทดสอบบันไดสวรรค์ที่หลายร้อยปีมานี้ไม่เคยมีใครทะลวงผ่านไปได้อีก นี่ยังจะให้ศิษย์สาขายุทธ์วิถีอย่างพวกเรามีชีวิตต่อไปอย่างไรกัน”
ภายในห้องโถงใหญ่เกิดเสียงอึกทึก สายตาทุกคู่ที่มองไปทางหลินสวินล้วนเจือแววกังขา มีท่าทีเหมือนมองดูสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น
แน่นอน นี่ดูเหลวไหลอย่างเห็นได้ชัด หลินสวินปรมาจารย์สลักวิญญาณหนุ่มน้อยแห่งสาขาสลักวิญญาณคนหนึ่ง กลับมีความสามารถพลิกฟ้าถึงเพียงนี้ในด้านการฝึกยุทธ์ นี่เหมือนปีศาจตนหนึ่งชัดๆ ทำให้ผู้คนต่างไม่รู้ว่าควรใช้มาตรฐานอะไรไปเทียบวัดเขาแล้ว
หาตัวจับยากเกินไปแล้ว!
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือปีนี้เขาเพิ่งอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น ก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างโดดเด่นทั้งในวิถีสลักวิญญาณและวิถียุทธ์แล้ว นี่มันพลิกฟ้าชัดๆ!
“ทะลวงผ่านแล้วจริงๆ…”
ชายชราตรวจสอบป้ายประจำตัวของหลินสวินสักพัก เมื่อแน่ใจว่าสิ่งที่หลินสวินกล่าวมานั้นเป็นความจริงก็พลันสติหลุด สั่นสะเทือนถึงขีดสุดอีกครั้ง
ท้ายที่สุดเขายื่นกล่องหยกดำขลับที่ปิดผนึกกล่องหนึ่งให้หลินสวิน ภายในนั้นบรรจุเขาวัวขุยเอาไว้หนึ่งอัน
“ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว”
หลินสวินผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์ มีเขาวัวขุยแล้ว ก็เท่ากับครอบครองวัตถุดิบวิญญาณหลักในการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณแล้ว ขอแค่รอเสิ่นทั่วเตรียมวัตถุดิบวิญญาณอื่นๆ ให้ครบ ก็จะสามารถดำเนินการหลอมอาวุธของเขาที่หอคอยหลอมวิญญาณชั้นเก้าแห่งนั้นได้เสียที
“ช้าก่อน”
ขณะที่หลินสวินกำลังเดินออกจากหอกิจวิญญาณก็ถูกคนขวางไว้เสียก่อน
อาภรณ์สีขาวยิ่งกว่าหิมะ แขนเสื้อพลิ้วไสว ผมดำนุ่มสลวยเปล่งประกายแวววาว ท่วงท่าเป็นสง่าเหนือปวงชน อิริยาบถแปลกแยกดั่งเซียนปลีกวิเวก เป็นกู้อวิ๋นถิงนั่นเอง!
เมื่อเห็นกู้อวิ๋นถิง บริเวณนี้ก็เริ่มปะทุขึ้น ศิษย์จำนวนมากต่างชะงักฝีเท้า สายตามองไปที่กู้อวิ๋นถิงอย่างคลั่งไคล้
หลินสวินอาจจะเจิดจ้าหาใดเปรียบ ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ใช่ศิษย์ของสาขายุทธ์วิถี แต่กู้อวิ๋นถิงนั้นต่างออกไป ตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน เขาก็เลื่องชื่อระบือทั่วสำนักศึกษา กลายเป็นดวงอาทิตย์ส่องแสงที่เป็นเป้าสายตาของฝูงชน
และในปัจจุบันเขาปิดด่านห้าปี ครั้นออกด่านก็สะเทือนโลกหล้า ก้าวเดียวไต่ขึ้นกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณที่ประหนึ่งตำนาน บุคคลที่โดดเด่นเป็นสง่าถึงเพียงนี้ ย่อมกลายเป็นที่คลั่งไคล้ศรัทธาของผู้คนเป็นธรรมดา
“มีอะไรหรือ”
หลินสวินรู้สึกประหลาดใจโดยพลัน คิดไม่ถึงว่ากู้อวิ๋นถิงที่ปรากฏตัวด้วยท่าที ‘สูงเด่นเหนือปวงชน’ ผู้นี้จะถึงขั้นเป็นฝ่ายปรากฏกายอยู่ต่อหน้าตนก่อนได้
เพียงแต่หลินสวินไม่ได้มีความตื่นเต้นใดๆ ถึงขนาดเดาออกว่าสาเหตุที่เจ้าหมอนี่เป็นฝ่ายมาหาตนก่อน จะต้องมีข้อเรียกร้องอะไรเป็นแน่!
“ข้าต้องการเขาวัวขุย จะเอามันให้ข้าได้หรือไม่ วางใจเถิด ข้าจะชดเชยให้เจ้าในมูลค่าที่เท่ากัน”
กู้อวิ๋นถิงเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขายืนอยู่ตรงนั้น เห็นชัดว่าโดดเด่นเหนือฝูงชน อาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ ท่วงท่าสง่าผ่าเผย
หลินสวิบลอบเอ่ยว่าตนเองทายถูกจริงๆ ด้วย
เขาส่ายหน้าโดยไม่ต้องคิด “ขออภัย ข้าเองก็ต้องการเขาวัวขุยเช่นเดียวกัน”
หัวคิ้วกู้อวิ๋นถิงมุ่นเข้าหากันน้อยๆ “เจ้าน่าจะรู้ดี เดิมทีข้ามีโอกาสแลกเปลี่ยนเขาวัวขุยก่อนเจ้าเสียอีก”
หลินสวินพยักหน้า “นั่นน่ะสิ เจ้ากับข้าปีนขึ้นภูผาบันไดสวรรค์พร้อมกัน แต่น่าเสียดาย เจ้าช้าไปหนึ่งก้าว”
ได้ยินดังนั้นเหล่าศิษย์ในละแวกนั้นล้วนตื่นตระหนก ตระหนักว่าที่แท้เมื่อเร็วๆ นี้ ไม่เพียงแต่หลินสวินเท่านั้นที่ปีนขึ้นภูผาบันไดสวรรค์ แม้แต่กู้อวิ๋นถิงก็ทำได้ขั้นนี้แล้วเช่นเดียวกัน!
เรื่องราวที่ไม่เคยเกิดขึ้นในหลายร้อยปี มาวันนี้ถึงกับปรากฏขึ้นสองกรณีเลยเชียว!
ทันใดนั้นสายตาที่ศิษย์เหล่านั้นมองไปทางกู้อวิ๋นถิงก็แตกต่างไปจากเดิม ยิ่งคลั่งไคล้และเลื่อมใสมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เสียแรงที่สามารถอยู่ในกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ ไม่ให้โอกาสหลินสวินได้โดดเด่นเพียงลำพังเลยสักนิด
กลับเห็นกู้อวิ๋นถิงสะบัดแขนเสื้อ ในห้วงอากาศปรากฏกลุ่มแสงเจิดจรัสระยิบระยับขึ้นแถบหนึ่ง
ผู้คนทั่วลานตื่นตะลึงในทันที ต่างเบิกตากว้าง
นั่นเป็นถึงวัตถุดิบวิญญาณและยาวิญญาณหายากยิ่งในโลกมากกว่าสิบชนิด! มูลค่าของแต่ละชนิดล้วนไม่ด้อยไปกว่าเขาวัวขุยนั่นเลย!
อย่างหลินจือโลหิตที่สามพันปีกว่าจะงอกออกมาหนึ่งดอก สีแดงสดอวบอิ่ม เปล่งประกายแวววาม ย้อมห้วงอากาศให้เป็นสีแดง ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ผู้คนที่ได้ดอมดมล้วนรู้สึกประหนึ่งจิตวิญญาณมัวเมา
หรืออย่างเหล็กทองแดงแปดเหลี่ยม แค่ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือยังมีมูลค่ามหาศาล ถูกขนานนามว่าเป็นสิ่งล้ำค่าอัศจรรย์ของโลก แต่ชิ้นที่อยู่เบื้องหน้านี้มีขนาดใหญ่เท่ากับหนึ่งกำปั้น แค่คิดก็รู้ว่ามีมูลค่าน่าตกตะลึงเพียงใด
นอกจากนี้ของหายากมากมาย อาทิ หญ้าวิญญาณสุวรรณมรกต โป่งรากสนหยกชอุ่ม ดอกเก้าดาราพราวระยับเป็นต้น ทำเอาผู้คนมองจนตาลาย จับจ้องไม่หวาดไม่ไหว
ทั่วลานเกิดเสียงสูดหายใจไม่หยุด บางคนตาแดงก่ำน้ำลายหก บางคนก็ตื่นตะลึงสติหลุด ต่างคิดไม่ถึงว่าทรัพย์สินของกู้อวิ๋นถิงจะอุ่นหนาฝาคั่งถึงเพียงนี้ ลำพังแค่มูลค่าของวัตถุวิญญาณกองนี้ก็ไม่สามารถใช้เงินทองวัดค่าได้แล้ว!
หลินสวินเองก็อดตะลึงไปไม่ได้เช่นเดียวกัน ในฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ เขาย่อมเข้าใจว่ามูลค่าของวัตถุวิญญาณเหล่านี้สะท้านโลกมากเพียงใด
“เจ้าสามารถเลือกตามใจชอบได้สองอย่าง คิดเสียว่าเป็นการชดเชยที่ยอมยกเขาวัวขุยให้ ข้าเชื่อว่าเจ้าได้เห็นความจริงใจของข้าแล้ว”
กู้อวิ๋นถิงกล่าวโดยไม่คิดอะไร ยังคงมีท่าทีเนิบนาบราบเรียบ คล้ายกับมั่นใจมากว่าหลินสวินไม่อาจปฏิเสธความยั่วยวนนี้ได้
เนื่องจากของชดเชยนี้มีมูลค่าเกินกว่าเขาวัวขุยเป็นไหนๆ
ผู้คนมากมายต่างอดอิจฉาหลินสวินไม่ได้ เจ้าหมอนี่ช่างโชคดีจริงๆ หากเปลี่ยนเป็นพวกเขา คงไม่กล้าเพ้อฝันว่าจะได้รับการปฏิบัติแบบใจป้ำเช่นนี้แน่
ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ นัยน์ตาดำขลับของหลินสวินนั้นใสกระจ่างและสงบนิ่ง ปฏิเสธอีกครั้งโดยไม่มีหยุดคิด “สำหรับข้าแล้วเขาวัวขุยประเมินค่าไม่ได้ ไม่ว่าเจ้าเอาอะไรออกมา ข้าก็ไม่อาจยกให้”
ฝูงชนต่างตะลึงพรึงเพริศ เขาถึงขั้นปฏิเสธเชียวหรือ!?
แม้แต่กู้อวิ๋นถิงเองก็อึงงันไปเล็กน้อย อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ไม่พอใจหรือ เอาเถิด ข้าให้เจ้าเลือกวัตถุวิญญาณสามอย่างก็ได้”
หลินสวินมุ่นคิ้วทันที เจ้าหมอนี่พูดจาใหญ่โตจริงเชียว ไม่ได้ยินหรือว่าตนไม่คิดจะยกของสิ่งนี้ให้
“หลินสวิน รู้จักพอเสียบ้าง!”
“ศิษย์พี่กู้อวิ๋นถิงแสดงความจริงใจออกมาขนาดนี้แล้ว หากเจ้ายังได้คืบเอาศอกอีก ก็ชักจะเกินไปหน่อยแล้ว”
“หลินสวิน ได้รับการปฏิบัติอย่างสุภาพเช่นนี้จากศิษย์พี่กู้อวิ๋นถิง เจ้าควรจะรู้สึกเป็นเกียรติจึงจะถูก”
ศิษย์กลุ่มหนึ่งในละแวกนี้ทยอยส่งเสียง ช่วยพูดแทนกู้อวิ๋นถิง
หลินสวินหัวเราะทันที กวาดสายตามองรอบบริเวณ ท้ายที่สุดก็คร้านจะพูดอะไรอีก เบือนหน้าแล้วเดินไปทันใด เขาไม่มีใจมาเสียเวลากับเจ้าพวกนี้หรอกนะ
ท่าทีเพิกเฉยเช่นนี้ของเขายั่วโมโหผู้คนจำนวนมากได้ในทันที ทว่าติดที่ความน่าเกรงขามที่หลินสวินสร้างไว้เมื่อวานนี้ จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปขวางหลินสวินเลยสักคน
หว่างคิ้วของกู้อวิ๋นถิงเคลือบแววเย็นชาอย่างอดไม่ได้ เนื่องจากจำเป็นต้องหลอมอาวุธชิ้นหนึ่ง เขาจึงมุ่งมั่นต้องเอาเขาวัวขุยมาให้จงได้ เดิมนึกว่ามอบความจริงใจออกไปมากเพียงพอแล้ว ไม่คิดเลยว่าหลินสวินยังคงไม่เห็นคุณค่าของมัน สิ่งนี้ทำให้เขาไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
“เจ้าก็คือหลินสวินหรือ ข้าหวังว่าเจ้าจะยอมสละเขาวัวขุยเสีย”
พลันนั้นน้ำเสียงเสนาะหูสายหนึ่งดังขึ้น สาวน้อยนางหนึ่งเดินมาจากไกลๆ ดวงหน้าของนางแช่มช้อยอรชร ผิวพรรณดั่งหิมะรยางค์หยก มีประกายแสงใสไหลเวียนทั่วร่าง รูปร่างสูงเพรียว งดงามสูงสง่า เอวเล็กคอดหนึ่งฝ่ามือโอบได้รอบ มีสัดส่วนเว้าโค้งสมบูรณ์แบบสะกดผู้คน หาที่ติไม่ได้สักจุด
นี่คือความงามเจิดจ้าประดุจหงส์ก็ไม่ปาน
เมื่อเห็นนาง ทั่วลานล้วนสั่นสะท้านทันที
“องค์หญิงหลิงหวงเสด็จ!”
“ห้าปีก่อน นางก็มีความสัมพันธ์อันดีกับกู้อวิ๋นถิง คิดไม่ถึงว่ากู้อวิ๋นถิงเพิ่งออกด่าน นางก็ตามมาแล้ว ปรากฏกายในสำนักศึกษาอีกครา!”
องค์หญิงหลิงหวงคือธิดาที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันโปรดปรานมากที่สุด มีรูปโฉมโดดเด่น งดงามสูงสง่า พรสวรรค์ด้านการฝึกปราณน่าตะลึงหาใดเปรียบ สถานะก็เรียกได้ว่าทรงสง่าไร้ผู้เทียบเทียม เป็นอัญมณีเม็ดงามแห่งราชวงศ์ปัจจุบัน
ห้าปีก่อนนางเคยฝึกปราณที่สาขายุทธ์วิถี กระทั่งกู้อวิ๋นถิงปิดด่าน นางจึงหวนกลับราชวงศ์แบบปุบปับ และไม่เคยปรากฏกายในสำนักศึกษาอีกเลย
และตอนนี้กู้อวิ๋นถิงเพิ่งออกด่าน องค์หญิงหลิงหวงก็ปรากฏตัวในสำนักศึกษาด้วย สิ่งนี้ทำให้ผู้คนจำนวนมากอดจินตนาการไปต่างๆ นานาไม่ได้
ยามนี้นางขวางอยู่หน้าเส้นทางของหลินสวิน รูปโฉมดั่งหยกงดงาม ราวกับหงส์ร่อนถลามาเยือนโลกมนุษย์
ในความเป็นจริงนางก็เหมือนพญาหงส์เย่อหยิ่งตัวหนึ่งจริงๆ ยามเอ่ยวาจา ปลายคางกลมกลึงไร้ที่ติเชิดขึ้นน้อยๆ ผุดเผยลำคอขาวผ่องดุจหงส์ฟ้า เย่อหยิ่งหาใดเปรียบ
“ไม่ผิด ข้าก็คือหลินสวิน แต่ข้าเคยบอกแล้วว่าไม่คิดจะยกเขาวัวขุยให้ ข้าเองก็หวังว่าเจ้าจะไม่ขวางทางข้าเช่นกัน”
หลินสวินยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยปาก แต่ในใจของเขาชักจะหมดความอดทนแล้ว เหตุใดกู้อวิ๋นถิงกับองค์หญิงหลิงหวงคนนี้ถึงได้เหมือนกันนัก ต่างมีท่าทีจะกินตนให้ได้ ออกจะปฏิบัติกับตนจริงจังเกินไปหน่อยแล้วกระมัง
ผู้คนมากมายต่างตกใจ ลอบแลบลิ้นกับตนเองอยู่เงียบๆ รู้สึกว่าความใจกล้าของหลินสวินนี่ช่างมีมากเกินไปแล้ว แรกเริ่มก็ปฏิเสธกู้อวิ๋นถิง ตอนนี้แม้กระทั่งองค์หญิงหลิงหวงปราฏกาย เขายังไม่ไว้หน้าแม้แต่นิดเดียว เขาไม่กลัวว่าจะล่วงเกินคนมากไปแล้ว และจะเกิดผลกระทบตามมาไม่สิ้นสุดหรือ
“ได้ยินมานานว่าเจ้า หลินสวินใจกล้าคับฟ้า กำเริบเสิบสาน ในที่สุดวันนี้ก็ได้ประจักษ์แล้ว แต่ในเมื่อวันนี้ข้ามาแล้ว เจ้าคงต้องยกสละเขาวัวขุยนี้ออกมาเสีย”
คิ้วเรียวขององค์หญิงหลิงหวงขมวดขึ้น ทั่วกายเปี่ยมด้วยกลิ่นอายสูงส่งเอาแต่ใจ ถึงแม้น้ำเสียงของนางจะเสนาะหู แต่คำพูดสื่อนัยออกคำสั่งชี้นิ้วบัญชา เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางทำเช่นนี้
หลินสวินหมดความอดทนอย่างสมบูรณ์แล้ว โบกมือพลางกล่าว “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร วันนี้ต่อให้เทพเซียนมาก็ไม่มีประโยชน์ รีบหลบทางซะ!”
ฝูงชนในละแวกนั้นต่างสูดหายใจเฮือก หลินสวินคนนี้ช่างบ้าคลั่งถึงขั้นไม่มีขื่อไม่มีแปแล้วจริงๆ นี่เป็นถึงองค์หญิงหลิงหวง ผู้สืบเชื้อสายแห่งจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเชียวนะ ผู้ใดกล้าพูดกับนางเช่นนี้บ้าง
“บังอาจ! กล้าทำให้องค์หญิงขุ่นเคือง เชื่อหรือไม่ว่าวันนี้จะเอาผิดเจ้า มอบบทลงทัณฑ์แก่เจ้า”
ด้านข้าง ชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนต่อว่าด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ทั่วกายเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งการบีบบังคับ
“เจ้านับเป็นต้นหอมต้นไหนอีก หลบไปอยู่ข้างๆ นู่น!”
นัยน์ดำของหลินสวินเยียบเย็น เดิมทีเขาไม่อยากก่อเรื่องอะไรอีกก่อนหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ ทว่าคิดไม่ถึงเลย หลังจากยอมอดทนมาตลอด อีกฝ่ายยังคงบีบคั้นเขาราวกับเป็นมะพลับนิ่ม[1]อยู่ได้
ฝูงชนละแวกใกล้เคียงรู้สึกโง่งมขึ้นมาน้อยๆ สถานะชายหนุ่มคนนั้นก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน เป็นถึงทายาทสายตรงของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงตระกูลฉี นามว่าฉีอวี้ บรรลุระดับหยั่งสัจจะได้ตั้งแต่ปีกลาย และเข้ามาฝึกปราณที่สาขายอดยุทธศาสตร์ เป็นแนวหน้าที่พาให้คนตกตะลึงอย่างถึงที่สุด ทั้งด้านสถานะ ตำแหน่ง และความแข็งแกร่ง
ทว่าตอนนี้หลินสวินกลับผรุสวาทใส่ฉีอวี้โดยไม่เกรงใจสักนิด ความใจกล้านี้ช่างอ้วนพีเกินไปแล้วกระมัง!
——
[1] มะพลับนิ่ม เป็นคำอุปมาถึงคนอ่อนแอไร้ทางสู้

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด