Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 700 หวนคืนสู่หุบเขาพยัคฆ์

อ่านนิยายจีนเรื่อง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 700 หวนคืนสู่หุบเขาพยัคฆ์ 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

จินอู้อัดอั้นจนแทบกระอักเลือด
ถูกเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งตามฆ่าตลอดทางก็น่าขายหน้ามากพอแล้ว ตอนนี้เขายังปล่อยไก่ต่อหน้าเฟิงคุนอีก เขาไม่รู้จะเอาหน้าแก่ๆ ของเขาไปไว้ที่ไหนแล้ว
“ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เฟิงคุนนิ่วหน้า เงาร่างของเขาราวบรรพต ผิวหนังปรากฏรังสีแข็งกระด้างราวหินผา อานุภาพเต็มไปด้วยแรงกดดันถึงขีดสุด
จินอู้สูดหายใจลึก เล่าเรื่องที่บังเอิญเจอหลินสวินก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้เล่ารายละเอียดที่ตนหวาดกลัวแล้วหลบหนี
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เฟิงคุนกลับพอเดาได้ไม่มากก็น้อย สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดทันใด ในที่สุดก็อดไม่ได้หัวเราะออกมา
ใบหน้าชราของจินอู้ร้อนผ่าว คำรามด้วยความหงุดหงิดและอับอายว่า “หัวเราะกับผีน่ะสิ เจ้ายังไม่เคยเห็นคันธนูในมือไอ้สวะตัวจ้อยนั่น รอเจ้าได้เห็นแล้วรับรองว่าขำไม่ออกแน่ จะบอกเจ้าให้ เสอเจิ้นก็แข็งแกร่งพอตัวใช่ไหมล่ะ แต่กลับถูกเจ้าหนูนั่นทำให้บาดเจ็บสาหัสด้วยธนูดอกเดียว อีกนิดก็จะตายคาที่ จนถึงตอนนี้ยังพักฟื้นตัวอยู่ในหุบเขาพยัคฆ์อยู่เลย”
เฟิงคุนร้องอ้อคำหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาแล้วเอ่ยพึมพำว่า “จากที่เจ้าพูด สิ่งที่เจ้าเด็กนี่พึ่งพิงก็คือธนูกระดูกขาวลึกลับในมือคันนั้นใช่ไหม”
จินอู้กัดฟันกรอด “หากไม่ได้คันธนูคันนี้ พวกข้าจะสะบักสะบอมจนต้องขอให้ช่วยเช่นนี้ได้อย่างไร”
“ธนูกระดูกคันหนึ่ง กลับทำให้เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งครอบครองพลังเย้ยฟ้า ทำให้พวกเสอเจิ้นต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส ดูท่าธนูกระดูกคันนั้นต้องมีที่มาที่ไปยิ่งใหญ่แน่!”
เฟิงคุนแววตาร้อนเร่า “บอกตำแหน่งกับเส้นทางที่เจ้าเด็กนั่นปรากฏตัวให้ข้าที ข้าจะไปฆ่ามัน!”
เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็หวั่นไหว อยากจะไปฆ่าหลินสวินเพื่อชิงธนูวิญญาณไร้แก่นสาร
จินอู้สับสนยิ่งนัก เขาทั้งอยากให้เฟิงคุนไปฆ่าหลินสวิน แต่ก็ไม่ต้องการเห็นเฟิงคุนชิงธนูกระดูกขาวคันใหญ่ในมือของหลินสวินไป
“เมื่อกี้ยังอยู่ใกล้ๆ เขาน่าจะยังไปไม่ไกลนัก” ในที่สุดจินอู้ก็ตัดสินใจว่าจะเคลื่อนไหวกับเฟิงคุน เขาไม่ยอมให้ธนูใหญ่คันนั้นตกอยู่ในมือของเฟิงคุน
“เจ้านำทาง พวกเราเคลื่อนไหวด้วยกัน”
เฟิงคุณชำเลืองมองเขาครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าต้องเตือนเจ้าประโยคหนึ่ง ครั้งนี้พวกเราเก้าสายคนเถื่อนเคลื่อนกำลังยอดฝีมือมามากมาย ไม่เพียงแต่ข้า รอบหุบเขาพยัคฆ์นี้ยังมีคนที่ไม่ต่างจากข้าอีกมากกำลังตามหาร่องรอยของเผ่ามนุษย์เหล่านั้น ถ้าเจ้าไม่ร่วมมือกับข้าอย่างจริงใจ เช่นนั้นธนูใหญ่คันนั้นก็อาจจะถูกคนอื่นชิงไปได้”
จินอู้จิตใจสั่นสะท้านหะหนึ่ง เอ่ยว่า “วางใจได้ ข้าแทบอยากจับเจ้าเด็กนั่นมาสับเป็นหมื่นเป็นพันชิ้น ย่อมไม่อ้อมค้อมแน่”
“รีบเคลื่อนไหวเถอะ จากการสันนิษฐานของตาเฒ่าคนหนึ่งในสายคนเถื่อนโบราณ สมบัติที่อยู่ในหุบเขาพยัคฆ์ชิ้นนั้นอย่างมากสุดไม่เกินสามวันก็จะโผล่ออกมา ปรากฏโดยสมบูรณ์ พวกเราชิงไปฆ่าเจ้าเด็กหนุ่มนั่นก่อน แล้วรีบกลับมาก่อนสมบัตินั้นจะโผล่ออกมา”
สีหน้าของเฟิงคุณบังเกิดความเย็นชาโหดเหี้ยม
จินอู้ก็ไม่ลังเลอีก กลับไปตามทางที่ผ่านมาก่อนหน้านี้อีกครั้งเพื่อเริ่มตามรอยหลินสวิน
……
“อย่างมากที่สุดไม่เกินสามวันก็จะปรากฏขึ้นมาหรือ”
เฟิงคุนและจินอู้จากไปไม่นาน ในกองหินผาที่อยู่ห่างจากตำแหน่งเดิมของพวกเขาไปพันจั้งก็บังเกิดหมอกอำพรางราวภาพนิมิตชั้นแล้วชั้นเล่าขึ้น
หมอกอำพรางนั้นลี้ลับยิ่งนัก สีสันลวงตาจนกลืนเป็นเนื้อเดียวกับทิวทัศน์รอบข้างโดยสมบูรณ์ หากไม่มองดูอย่างละเอียดย่อมแยกแยะได้ยากยิ่ง
และเงาร่างของหลินสวินก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นจากหมอกอำพรางนั้น
นี่คือ ‘ไอซวนหนี’!
มรดกวิชาลับร่างที่ห้าของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร!
ซวนหนี สัตว์เทพบรรพกาล ม่านหมอกที่มันกลืนเข้าไปสามารถปิดกั้นขอบเขต อำพรางหนึ่งเขตแดน ไร้รูปไร้ลักษณ์ ต่อให้เป็นผู้ฝึกปราณก็มองทะลุความลึกลับภายในนั้นได้ยาก
และมรดกลับ ‘ไอซวนหนี’ นี้ก็คือวิชาลี้ลับที่สามารถอำพรางร่องรอย บดบังกายา สามารถปิดฟ้าข้ามทะเลได้
วิชานี้เมื่อสำแดงออกมาแล้ว เงาร่างประหนึ่งหายลับไปในอากาศ พลังปราณไม่มีอยู่ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทิวทัศน์โดยรอบ แม้จิตวิญญาณเฉียบแหลมเป็นที่สุดก็มองทะลุการดำรงอยู่ได้ยาก!
หลินสวินเพิ่งหยั่งรู้ปริศนาบางอย่างของไอซวนหนีได้ ตอนนี้อย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงบดบังพลังปราณของตน อำพรางเงาร่าง ทว่าทันทีที่เขาเคลื่อนไหวเงาร่างก็จะเผยออกมาโดยพลัน
แต่เมื่อเขาหยั่งถึงปริศนาของไอซวนหนีอย่างถ่องแท้ ถึงระดับสมบูรณ์ ไม่เพียงสามารถกำบังกายตัวเอง ยังสามารถทำให้ภูผาธาราและสรรพสิ่ง กระทั่งโลกฝั่งหนึ่งล้วนถูกกำบังไม่ให้ผู้ใดสังเกตได้!
‘เป็นอย่างที่หูทงสันนิษฐานไว้ดังคาด เพื่อป้องกันไม่ให้ความลับในหุบเขาพยัคฆ์รั่วไหลออกไป เผ่าพ่อมดเถื่อนได้ใช้ยอดฝีมือมากมายมาตามฆ่าพวกเราเหล่าผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิ…’
หลินสวินครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็รู้ชัดถึงทิศทางที่ไปยังหุบเขาพยัคฆ์ เงาร่างหายวับแล้วเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว
เขาเคยรับปากพวกหูทงไว้ว่าจะช่วยถ่วงเวลาให้พวกเขาหนีกลับไปยังค่ายจักรวรรดิ
แต่คิดจะทำเช่นนี้ ก็ต้องควบคุมศัตรูที่ลงมือตามสังหารเหล่านั้น
ศัตรูมากมายนัก เขาเพียงคนเดียวยากจะต้านทานศัตรูทีละคน
แต่ว่าสำหรับหลินสวินแล้ว คิดจะทำให้เป้าหมายนี้เป็นจริงก็ไม่ใช่ไม่มีวิธี นั่นก็คือไปก่อเรื่องใหญ่โตที่หุบเขาพยัคฆ์!
สมบัติที่หุบเขาพยัคฆ์กำลังจะปรากฏ ดึงดูดผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อน หากที่นั่นเกิดความวุ่นวาย ศัตรูที่ไปตามฆ่าพวกหูทงเหล่านั้นย่อมต้องทิ้งทุกอย่างกลับมาช่วยที่หุบเขาพยัคฆ์
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับสลายการตามฆ่าครั้งนี้ทางอ้อม ชิงเวลาและโอกาสให้พวกเขาได้กลับค่าย!
……
ในหุบเขาพยัคฆ์ เสอเจิ้นที่ใบหน้าเดือดดาลหัวเราะเหี้ยมเกรียม “ครั้งนี้มีผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทรวมสิบกว่าคนร่วมกันลงมือ อีกทั้งแต่ละคนต่างมีพลังไม่ด้อยไปกว่าข้า หากเจ้าสวะตัวจ้อยนั่นยังรอดชีวิตไปได้ เช่นนั้นถึงเรียกว่าเรื่องตลก!”
เคียวโลหิตฟ้าคำรามอย่างเขา บุคคลร้ายกาจชื่อกระฉ่อนผู้หนึ่ง เวลานี้กลับสีหน้าซีดเซียว หว่างคิ้วบังเกิดแววอ่อนแอ
ก่อนหน้านี้เขาถูกลูกธนูดอกหนึ่งโจมตีจนแทบสิ้นชีพ แม้แต่ในตอนนี้ อาการบาดเจ็บสาหัสบนร่างก็ยังไม่ฟื้นตัวดี
เหยียนชื่อสิงที่อยู่ข้างๆ ก็มีโทสะ กัดฟันกรอดเช่นกัน เขาย่ำแย่กว่าเสอเจิ้นเสียอีก ช่วงท้องลงไปถูกลูกธนูนั้นโจมตีจนแหลกสลาย เหลือเพียงครึ่งร่าง
แม้ว่ายังสามารถฟื้นฟูกลับมาได้ แต่กลับทำให้พลังดั้งเดิมได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง ไม่อาจฟื้นคืนได้โดยสมบูรณ์ในเวลาอันสั้น
“วางใจเถอะ ครั้งนี้ค่ายเราเคลื่อนกำลังพลชั้นยอดมา ต่อให้พบกับบุคคลชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติในจักรวรรดิมนุษย์ก็กวาดให้ราบได้ นับประสาอะไรกับเจ้าสวะตัวจ้อยระดับหยั่งสัจจะเล็กๆ คนหนึ่งเล่า”
อีกด้านหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนมืดคนนั้นส่งเสียงเคืองแค้น
เขามีนามว่าอินเป่ยกู้ อันที่จริงสภาพเลวร้ายที่สุด ทั้งร่างถูกหุ้มด้วยผ้าพันแผล ไม่มีผิวหนังที่สมบูรณ์เลยสักแห่ง ร่างกายเหมือนแหลกเละ กล้ามเนื้อกระดูกและเลือดเนื้อแหลกสลาย ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ช่างเหลือเชื่อ
“เป็นการเหยียดหยามยิ่งนักนะ!” เสอเจิ้นเคียดแค้นยากสงบใจได้
พวกเขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวท ห้ำหั่นโรมรันในสมรภูมิกระหายเลือดมานานปี วันนี้กลับถูกเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ถ้าข่าวกระจายออกไป ต้องกลายเป็นตัวตลกของเผ่าพ่อมดเถื่อนแน่
“เจ้าเด็กนี่รอดชีวิตได้ยากแน่แล้ว ก็ไม่ต้องประสาทเสียเพราะมันหรอก” เหยียนชื่อสิงกับอินเป่ยกู้ที่อยู่ด้านข้างล้วนเอ่ยปลอบ
ตู้ม!
ก็ในตอนนี้เอง เสียงระเบิดลั่นสั่นสะท้านดังออกมาจากทางเข้าหุบเขาพยัคฆ์พร้อมกับเสียงร้องโหยหวน ทุกคนที่อยู่ในส่วนลึกของหุบเขาพยัคฆ์ล้วนได้ยิน
“เกิดอะไรขึ้น” เสอเจิ้นหยัดตัวขึ้นโดยพลัน แม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ยังมีพลานุภาพน่ากลัวดังเดิม
เหยียนชื่อสิงกับอินเป่ยกู้ก็สีหน้าฉงนไม่ว่างเว้น เวลาเช่นนี้ยังมีใครถึงกับกล้ามายังหุบเขาพยัคฆ์ได้
“แย่แล้ว! ยอดฝีมือเผ่าพ่อมดเถื่อนของเราต่างไปตามฆ่าผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์เหล่านั้น ตอนนี้ในหุบเขาไม่มียอดฝีมือสั่งการ!” เหยียนชื่อสิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“ไม่มีปัญหา รอบทิศของหุบเขาพยัคฆ์ปกคลุมไปด้วยค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อน ต่อให้เป็นราชันระดับสังสารวัฏเผ่ามนุษย์มา ก็เลิกคิดว่าจะทลายเข้ามาได้ในเวลาอันสั้น” อินเป่ยกู้ดูเยือกเย็นนัก
เมื่อได้ยินวาจา เสอเจิ้นกับเหยียนชื่อสิงก็สงบใจลงเล็กน้อย ทว่าในสมองของทั้งสองนึกถึงภาพเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ยามเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนนั้นจากไป ในตอนนั้นก็สามารถใช้ฝ่ามือเดียวตบให้ค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อนแตกเป็นโพรงได้…
คงไม่ใช่เขา!
ทั้งสองคนไม่ยอมรับโดยไม่รู้ตัว ว่าหลินสวินที่หนีไปนานแล้วจะยังกลับมา
ทางเข้าหุบเขาพยัคฆ์
หลินสวินเหยียบย่ำฝุ่นดิน เดินสาวเท้าไปข้างหน้าเพียงลำพัง ระหว่างทางมีพ่อมดเถื่อนมือฉมังพุ่งประจันบาญมาทางเขา
ต่างถูกดาบหักในมือเขาฟาดฟัน ศีรษะกลิ้งตกลงไป เลือดกระเซ็นคาที่
ไกลออกไปมีพ่อมดเถื่อนมือฉมังคนหนึ่งจำหลินสวินได้ก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เจ้าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์สมควรตายคนนี้ไม่ได้หนีไปแล้วหรือ เหตุใดถึงกลับมาอีกเล่า
เขาอ้าปากคิดจะร้องเตือนเสียงดัง ประกายดาบคมกริบยิงพุ่งออกมาดังฟุ่บ ศีรษะของเขาก็ถูกฟันขาดกระเด็นไปในห้วงอากาศ
“สวะเผ่ามนุษย์หรือ เจ้าคนเดียวถึงกับกล้ามากำเริบเสิบสานที่หุบเขาพยัคฆ์ ช่างไม่รู้ดีรู้ชั่วเสียจริง!”
พ่อมดเถื่อนมือฉมังมากมายเพิ่งถูกระดมพลมาเป็นกำลังเสริม จึงไม่รู้จักหลินสวิน ทั้งยังไม่รู้เรื่องที่เด็กหนุ่มตรงหน้าเคยสำแดงแสนยานุภาพใหญ่โตที่นี่มาก่อนด้วย
ไอสังหารของพวกเขาพวยพุ่ง รังสีอำมหิตของแต่ละคนเผยออกมาอย่างหมดจน ไม่ขาดแคลนผู้แข็งแกร่งระดับจอมเวท
หลินสวินสีหน้าเย็นชา ไม่พูดไม่จาสักคำ ถือดาบหักเล่มหนึ่งก้าวไปข้างหน้า ราวดึงลากธารดาราสีเงินเจิดจ้า
โครม!
เสียงคำรามเดือดดาลดังลั่นฟ้า พ่อมดเถื่อนมือฉมังสิบกว่าคนพุ่งตัวมา โหดเหี้ยมน่าหวาดหวั่น อำมหิตและน่าพรั่นพรึง
ฟุ่บๆๆ… เพียงแต่การเคลื่อนไหวของหลินสวินว่องไวกว่า คมดาบราวสายฟ้า เพียงชั่วเสี้ยวพริบตาเท่านั้น ก็ฟันสังหารพ่อมดเถื่อนมือฉมังไปสิบกว่าคนจนแขนขากระเด็นเกลื่อนกลาด เลือดสาดกระเซ็นย้อมผืนดินให้เป็นสีแดงสด
พ่อมดเถื่อนคนอื่นเห็นเช่นนี้ต่างตกใจจนตัวสั่น เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนหรือปีศาจกันแน่ ตัวคนเดียวเท่านั้นกลับมีพลังทำลายล้างมหาศาล น่ากลัวเกินไปแล้ว
เมื่อหลินสวินมาถึงหุบเขาพยัคฆ์ เดิมทีก็ระมัดระวังรอบคอบหาใดเทียบ แต่หลังจากสืบข่าว เขากลับค้นพบอย่างเหนือความคาดหมายว่ายอดฝีมือที่ป้องกันที่นี่ไม่อยู่แทบทุกคน เหลือเพียงกำลังพ่อมดเถื่อนมือฉมังหลายคน แม้มีจำนวนมาก แต่สำหรับหลินสวินแล้วกลับไม่ถือเป็นภัยคุกคาม
นี่ทำให้เขาตัดสินได้ในทันทีว่า ยอดฝีมือของอีกฝ่ายน่าจะไปตามสังหารพวกหูทงแล้ว นอกจากนี้อีกฝ่ายก็ไม่คิดว่าตนจะย้อนกลับมาโจมตีอีกครั้ง
“แย่แล้ว! มียอดฝีมือมาจู่โจม!”
“เร็วเข้า! รีบหลบเข้าไปในค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อน!”
เมื่อเห็นการนองเลือดแต่ละฉาก พ่อมดเถื่อนมือฉมังเหล่านั้นล้วนตกใจจนหนีอย่างน่าอดสู หลบเข้าไปอยู่ในค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อน
“เจ้าสวะตัวจ้อย เจ้ารอก่อนเถอะ ยามยอดฝีมือเผ่าข้ากลับมาก็จะเป็นเวลาตายของเจ้า!”
พ่อมดเถื่อนมือฉมังตะคอกดัง ไม่หวั่นกลัวอีกแล้ว ด้วยเชื่อมั่นว่ามีค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อนอยู่ หลินสวินก็ไม่อาจเข้ามาได้แล้ว
เพียงแต่ภาพต่อมากลับทำให้พวกเขาตื่นตะลึงโดยสิ้นเชิง
หลินสวินถือดาบก้าวมาข้างหน้า ยามก้าวย่างออกไป ค่ายกลใหญ่เบื้องหน้าก็ถูกสะเทือนจนเกิดโพรง จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาอย่างสบาย…
นี่…
ทั้งหุบเขางงงวย
ส่วนกองกำลังพ่อมดเถื่อนมือฉมังที่ป้องกันอยู่ภายในหุบเขา ในที่สุดตอนนี้ก็จำหลินสวินได้ อดไม่ได้ส่งเสียงร้องแหลมพรั่นพรึงออกมาว่า…
“สวรรค์ เจ้ามารหนุ่มนั่นกลับมาอีกแล้ว!”
____

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด