Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 299

อ่านนิยายจีนเรื่อง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 299 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

รุ่ยชิงร้องตะโกนขึ้นอย่างขัดเคือง ทำให้สายตาของชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานผู้นั้นจ้องเขม็งไปที่ร่างของหลินสวิน
เพียงดูจากรูปลักษณ์ภายนอก หลินสวินเป็นเพียงเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา อบอุ่นไร้พิษสงผู้หนึ่ง แต่เมื่อได้สบดวงตาสีดำลุ่มลึกและเย็นชานั้นของหลินสวิน ใจของชายวัยกลางคนท่าทางภาคภูมิก็เต้นโครมครามอย่างบอกไม่ถูก
นัยน์ตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย กวาดไปรอบทิศ แล้วพูดขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เมื่อครู่นี้ที่นี่ดูเหมือนเกิดการต่อสู้โหดร้ายขึ้นรึ”
หลินสวินหัวเราะในใจ รู้ว่าชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานผู้นี้เป็นจิ้งจอกเฒ่าตัวหนึ่ง สังเกตได้แล้วว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง
“ใช่” หลินสวินพยักหน้า
รุ่ยชิงที่อยู่ด้านข้างร้องขึ้นว่า “ท่านพ่อ เหตุใดถึงต้องพูดพร่ำทำเพลงกับเขาอีกขอรับ ฆ่าเขาเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว!”
หลินสวินพูดไปยิ้มไป “สหายท่านนี้ เมื่อครู่หากข้าไม่ได้โยนเจ้าออกไปจากหอสุรา เจ้าคิดว่าจะมีชีวิตมาถึงตอนนี้หรือ”
เขาพูดพลางชำเลืองมองหอสุราซึ่งกลายเป็นซากไปนานแล้วที่อยู่ไกลออกไป
รุ่ยชิงพูดอย่างเดือดดาลว่า “แบบนี้เจ้าเรียกว่าช่วยข้าหรือ ข้าต้องให้เจ้าช่วยหรือ”
เขาพูดพลางพุ่งขึ้นไป มือหนึ่งก็ตวัดไปที่ใบหน้าหลินสวิน ประหนึ่งว่ามีบิดาเป็นที่พึ่ง ยามเขาลงมือไม่ต้องหวั่นกลัวอะไร
แต่เมื่อรุ่ยชิงจะเคลื่อนไหว ผู้เป็นบิดาก็นิ่วหน้าก้าวมาข้างหน้า พลันยกมือขึ้นตบหน้าเขาเสียจนเงาร่างโซซัดโซเซ ก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น ลูบหน้าร้องโหยหวนไม่หยุดหย่อน
“ท่านพ่อ…ท่าน…ท่านทำอะไรขอรับ”
รุ่ยชิงทำหน้ายากเชื่อได้ รวมถึงผู้รับใช้ที่ติดตามมาเหล่านั้นก็พากันมีสีหน้าตื่นตะลึง สับสนงงงวยไปหมด
กลับเห็นว่าชายวัยกลางคนท่าทางสง่างามผู้นั้นไม่สนใจรุ่ยชิงเลย แต่กุมมือคารวะให้หลินสวิน พูดด้วยใบหน้าซาบซึ้งว่า “ขอบพระคุณสหายน้อยที่ไม่ถือโทษโกรธเคือง ใช้ความดีตอบโต้ความชั่ว หากไม่ได้เห็นทุกอย่างนี้กับตา ข้าผู้แซ่รุ่ยเกือบจะถูกเจ้าลูกหมาหลอกลวง ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด”
“ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
หลินสวินเอ่ย
“ท่านพ่อ ท่านเชื่อคำพูดบ้าๆ ของเจ้านี่หรือ” รุ่ยชิงโวยวาย
เผียะ!
ชายวัยกลางคนผู้สง่างามยื่นมือไปตบอีกครั้ง ต่อว่าเสียงแข็งว่า “ไอ้โง่ตาบอดเอ๊ย ครั้งนี้หากไม่ได้คุณชายผู้นี้ช่วยไว้ เจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้ที่ไหน”
“ข้า…”
รุ่ยชิงถูกตบจนงงงวย จะร้องไห้ก็ไม่มีน้ำตา ช่วยชีวิตเขาอะไรกัน เจ้านั่นโยนตนออกมาจากหอสุราชัดๆ เลย!
นี่ก็เรียกว่าช่วยชีวิตได้หรือ
“หุบปาก!” ชายวัยกลางคนภูมิฐานถลึงตา ยังให้รุ่ยชิงตกใจตัวสั่นงันงก พลันหุบปากทันที
ชายวัยกลางคนท่าทางสง่างามย่อมโกรธมาก แค่พอมีสมองนิดหน่อย เพียงมองหสุราที่กลายเป็นซากก็รู้ว่า หากรุ่ยชิงยังอยู่ในหอสุรา จะโชคดีมีชีวิตรอดได้อย่างไร
ต่อให้ก่อนหน้านี้รุ่ยชิงถูกเล่นงานอย่างหนัก ได้รับความอับอายที่ถูกคนโยนออกมาจากหน้าต่าง แต่เพียงยังมีชีวิตอยู่ นี่ย่อมไม่ถือเป็นเรื่องราวใหญ่โต
“ขายหน้าสหายน้อยเสียแล้ว เจ้าลูกหมาตั้งแต่เล็กก็เกิดและโตที่เมืองหลิวเขียว ก้าวร้าวไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเหมือนกับกบในกะลา หากมีเรื่องใดผิดใจ ข้าหวังว่าเจ้าจะให้อภัยด้วย”
เขายกมือคารวะพลางเอ่ยปาก ท่าทีจริงใจ ยังให้หลินสวินอดสงสัยไม่ได้ว่าพ่อลูกคู่นี้ต่างกันเสียจริง คนหนึ่งเฉลียวฉลาดราวจิ้งจอกเฒ่า อีกคนกลับหัวทึบเป็นคนโง่ ต่างกันมากไปแล้ว
“สหายน้อย หากไม่รังเกียจ ขอเชิญท่านมาเยือนเรือนซอมซ่อของข้า ข้าจะเตรียมสุราและที่พักเพื่อแสดงความซาบซึ้งของข้าคนสกุลรุ่ยอย่างแน่นอน”
ชายวัยกลางคนภูมิฐานเอ่ยปากเชื้อเชิญ
เขามองแวบเดียวก็รู้ ว่าหลินสวินที่แต่งตัวดูไม่เตะตา แต่ท่าทางกลับมีเอกลักษณ์ยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดา
“ไม่ต้องหรอก หากทำได้ ช่วยข้าเป็นธุระเล็กน้อยเรื่องหนึ่งดีกว่า”
หลินสวินกล่าว
ชายวัยกลางคนผู้สง่างามอึ้งไป พลันพูดขึ้นอย่างสบายว่า “สหายน้อยพูดมาเถิด”
“ในบริเวณใกล้เคียงและซากปรักหักพังนั้นมีศพทั้งสิ้นห้าสิบเอ็ดศพ ขอผู้อาวุโสสั่งการให้บริวารช่วยข้าน้อยริบของที่ติดตัวพวกเขาทีขอรับ”
หลินสวินพูดพลางยิ้ม
นัยน์ตาของชายกลางคนผู้ผ่าเผยหรี่ลง แล้วโบกมือให้บริวารที่อยู่เบื้องหลังเหล่านั้นลงมือทำตามที่สั่ง เวลานี้ถึงมองหลินสวินอย่างสงสัยเล็กน้อย เอ่ยเสียงต่ำว่า “สหายน้อย ขอเสียมารยาทถามสักคำ ศพพวกนั้น…ล้วนถูกเจ้าฆ่าใช่หรือไม่”
หลินสวินยิ้มแย้มไม่พูดอะไร
แต่นี่ก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดแล้ว ทำให้ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานผู้นั้นลอบสูดหายใจเย็นเยือกไม่ได้ จากที่เขาสังเกตเมื่อครู่ สามารถทำลายหอสุราราตรีต้นเฟิงย่อยยับเช่นนี้ได้ การต่อสู้ระดับนี้ไม่ใช่การตีกันเล็กๆ แน่
บ่งชัดว่าคู่ต่อสู้เหล่านั้นของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าต้องร้ายกาจนัก อย่างน้อยก็ต้องมีปราณขั้นผสานใจ!
“ยอดเยี่ยม”
ชายวัยกลางคนท่าทางภาคภูมิผู้นั้นทอดถอนใจออกมา เขาไม่ได้ถามถึงเหตุผลของการต่อสู้ และไม่ต้องการถูกดึงเข้าไปในเรื่องวุ่นวายนี้
ไม่นานนัก กลุ่มบริวารก็กลับมา แต่ละคนล้วนหอบอาวุธวิญญาณ หน้าไม้ และคันธนูวิญญาณหลากหลายรูปแบบ สามารถรวมกันเป็นกองภูเขาเล็กๆ กองหนึ่งได้
ชายวัยกลางคนผู้สง่างามผู้นั้นกวาดสายตาดู ทันใดนั้นก็สีหน้างงงวย หน้าไม้แขนศักดิ์สิทธิ์ หน้าไม้ทลายเกราะ หน้าไม้เจาะโลหิต…
หากเพียงไม่กี่ชิ้นก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้มีถึงหลายสิบชิ้น! เพียงแค่รวมของพวกนี้เข้าด้วยกันอย่างน้อยก็เป็นเงินหลายพันเหรียญทองแล้ว!
แต่นี่เป็นเพียงส่วนน้อยของทรัพย์หลังศึกของเด็กหนุ่มตรงหน้าเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเกราะชั้นในหลายสิบชุด รองเท้าศึกหลายสิบคู่ ปลอกหุ้มข้อมือหลายสิบคู่…รวมถึงอาวุธวิญญาณชั้นดีระดับมนุษย์นานาประเภทกองหนึ่ง กับยาสมุนไพรที่จำเป็นสำหรับการรักษาฟื้นฟูบาดแผลอีกหลายชนิด!
ที่ทำให้ชายวัยกลางคนภูมิฐานสั่นสะท้านที่สุดก็คือ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ อาวุธวิญญาณ หรือว่ายาสมุนไพร ล้วนมีมาตรฐานเดียวกัน ถือเป็นของชั้นเลิศที่แทบหาซื้อในตลาดไม่ได้!
เวลานี้ไม่เพียงชายวัยกลางคนท่าทางภาคภูมิผู้นั้น ขนาดบริวารยังตื่นตระหนก ตกอยู่ในความเงียบงัน หายใจแรง แต่ละคนอิจฉาตาร้อน ไฟโลภลุกโหม
ส่วนรุ่ยชิงยิ่งอดไม่ได้ ลูกตาแทบหลุดออกมา อ้าปากกว้าง ในสมองมีเพียงเสียงเดียวดังก้อง นี่มันมีราคาเท่าไรกัน!
“ทุกท่าน ของที่อยู่บนศพแม้มีค่า แต่อยู่ในมือกลับร้อนลวกมือนัก ไม่แน่ว่ายังจะชักนำเภทภัยถึงตายมาให้ตัว”
เวลานี้หลินสวินเอ่ยปากแล้ว น้ำเสียงเปรยๆ แต่เมื่อเข้าหูชายวัยกลางคนท่าทางสง่างามผู้นั้น กลับไม่เบาไปกว่าเสียงอัสนีบาต
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ในดวงตาพลันปะทุรังสีโหดเหี้ยมน่ากลัว กวาดตามองอย่างเยียบเย็นไปยังบริวารเหล่านั้น “ตอนสะสางทรัพย์หลังศึกเมื่อครู่ ใครขโมยของมา รีบส่งออกมาโดยเร็ว หาไม่อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
บริวารเหล่านั้นล้วนตัวแข็งทื่อ หลายคนสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมา แต่ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่มีใครยอมรับเลยว่าอาศัยโอกาสนี้เก็บของไว้เป็นของตน
หลินสวินยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ได้ ในเมื่อพวกเจ้าไม่กังวลว่าคนใหญ่คนโตจากนครต้องห้ามพวกนั้นจะมาทวงแค้น เช่นนั้นข้าก็จะไม่พูดอะไรอีก”
ยามเขาพูด ก็เริ่มลงมือเก็บทรัพย์หลังศึกที่อยู่บนพื้นแล้ว
แต่เมื่อคำพูดนี้ของเขาเข้าหูชายกลางคนท่าทางสง่างามและกลุ่มบริวารเข้า กลับทำให้สีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนไป ตื่นตระหนกไม่หยุดหย่อน
ศพเหล่านั้นเป็นผู้ฝึกปราณจากนครต้องห้าม นครหลวงแห่งจักรวรรดิ!?
“โอกาสสุดท้ายแล้ว หากนำออกมาให้ตอนนี้ ข้าจะไม่ซักไซ้อีก หากใครกล้าเก็บของพรรค์นี้ไว้กับตัว ข้าจะฆ่ามันยกครัว!”
ชายวัยกลางคนผู้สง่าผ่าเผยคำรามดัง เขารู้สึกหวั่นกลัวถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดจะจริงหรือหลอก เขาล้วนไม่กล้าเสี่ยงโชคอีก
จากนั้นก็มีบริวารเจ็ดแปดคนก้าวออกมา ยื่นอาวุธวิญญาณจำนวนหนึ่งให้ด้วยสีหน้าผิดหวัง
“พวกเจ้า…ช่างสมควรตายเสียจริง!”
ชายวัยกลางคนผู้ภาคภูมิโกรธจนควันออกหู
หลินสวินกลับยิ้มแล้วเก็บทรัพย์หลังศึกทุกชิ้นแล้วโบกมือแล้วพูดว่า “ทุกท่าน ข้าขอลาล่ะ”
เสียงพูดเพิ่งเงียบไป เขาก็ก้าวเท้าจากไปแล้ว
ดวงตามองตามเงาร่างของเด็กหนุ่มค่อยๆ หายไปจากสุดถนน ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานสีหน้าแปรเปลี่ยนหลากอารมณ์ ที่สุดก็ถอนใจยาว ชักสายตากลับมา
“ท่านพ่อ จะ…จะปล่อยเขาไปเช่นนี้หรือ”
รุ่ยชิงเอ่ยอย่างไม่พอใจ
คราวนี้ชายวัยกลางคนผู้สง่างามไม่ได้โมโห เอ่ยด้วยสีหน้าอึมครึมว่า “ของเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะไปยุ่งเกี่ยวด้วยได้”
“หรือท่านเชื่อคำพูดของเด็กนั่นจริงๆ” รุ่ยชิงซักไซ้
ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานโบกมือ สั่งให้บริวารเหล่านั้นยกศพที่อยู่ใกล้เคียงมาทีละศพ
มองดูท่าทางน่าหดหู่ก่อนตายของศพเหล่านั้น เขาก็อดหนาวยะเยือกในใจไม่ได้ ขนลุกขนพอง
เขาสูดหายใจยาวแล้วพูดว่า “พวกเจ้าดู ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นผสานฟ้า แต่สุดท้ายพวกเขากลับถูกโจมตีที่จุดสำคัญจนตาย และทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของเด็กหนุ่มคนเมื่อครู่นั้น”
เมื่อทุกคนได้ยินก็ล้วนสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นตระหนก ขนาดรุ่ยชิงก็ไม่เว้น
ชายวัยกลางคนผู้สง่างามพูดต่อ “หากพวกเจ้าคิดดูอีกครั้ง เมื่อครู่อาวุธวิญญาณเหล่านั้นล้วนเป็นของชั้นเลิศในหมู่อาวุธวิญญาณที่มีมาตรฐานเดียวกัน หาซื้อในท้องตลาดไม่ได้ พวกเจ้าคิดว่าจะมีขุมอำนาจไหน ที่สามารถส่งยอดฝีมือมากขนาดนี้ออกมาในคราวเดียวพร้อมอุปกรณ์ชั้นเยี่ยมเช่นนี้ได้”
เวลานี้ทุกคนก็ถูกการสันนิษฐานนี้ทำให้สั่นสะท้านหวาดกลัว ตกใจจนหนาวยะเยือกไปทั้งร่าง
“ข้ามีสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า เด็กหนุ่มผู้นั้นไม่ได้หลอกพวกเรา ศพเหล่านี้…ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่มาจากขุมอำนาจใหญ่สักกลุ่มหนึ่งในนครต้องห้าม และมีเพียงขุมพลังเหล่านั้น ถึงสามารถส่งผู้ฝึกปราณฝีมือเฉียบแหลมมากมายขนาดนี้ออกมาได้ในคราวเดียว”
ชายวัยกลางคนผู้สง่างามสีหน้าอ่านยาก ทั้งหวั่นกลัว ยินดีปรีดา และตกตะลึง
“ท่านพ่อ ในเมื่อเจ้าเด็กนั่นกล้าฆ่าคนมากถึงเพียงนี้ เขา…เขาไม่กังวลว่าจะถูกทวงแค้นหรือ”
รุ่ยชิงถามเสียงสั่น
“เรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะยื่นมือเข้าไปได้ ภายหลังก็ไม่ต้องยกขึ้นมาพูดอีก พวกเราตระกูลรุ่ยแม้ไม่มีใครในเมืองหลิวเขียวกล้าหาเรื่อง แต่กลับไม่มีค่าในสายตาของขุมอำนาจใหญ่ที่แท้จริงพวกนั้นเลยสักนิด เมื่อเข้าไปอยู่ในความวุ่นวายแล้ว ต้องชักนำภัยพิบัติเลวร้ายมาให้แน่!”
ชายวัยกลางคนผู้ผ่าเผยสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ หลายรอบค่อยกัดฟันแล้วพูดว่า “จำไว้ เรื่องราววันนี้ ใครก็แพร่งพรายออกไปไม่ได้ หาไม่ข้ารับรองว่าจะฆ่าล้างครัวมันแน่!”
ทุกคนพากันพยักหน้า เงียบกริบราวจิ้งหรีดเหมันต์

เวลานี้ หลินสวินออกมาจากเมืองหลิวเขียวแล้ว ข้างหน้าเป็นป่าทึบเตี้ยๆ มองเห็นได้กว้างไกล
ตามที่หลินสวินสันนิษฐานไว้ เมื่อมาถึงที่นี่ก็เท่ากับมาถึงครึ่งทางแล้ว หากทุกอย่างราบรื่น ก็จะถึงนครต้องห้ามได้ในเจ็ดวัน
เห็นได้ชัดนักว่าทางข้างหน้ามีแต่จะอันตรายยิ่งขึ้น ทั้งสถานการณ์ไม่มีทางราบรื่น
แต่ว่า เพียงไม่มีผู้ฝึกปราณที่มีพลังเกินระดับจิตผสานวิญญาณปรากฏตัว ไม่ว่าต่อไปจะพบอันตรายใด เขาก็ไม่กลัว
ในตะกร้า ลั่วลั่วหลับสนิทแล้ว เด็กหญิงตัวน้อยรับความตกใจไม่ได้ ตั้งแต่เริ่มต่อสู้ก็ถูกหลินสวินทำให้หลับด้วยพลังควบคุมห้วงการรับรู้
‘สวี่เชียนจิ้ง…มีปรมาจารย์กลศึกผู้นี้อยู่ ต่อไปเมื่อพบกับการล้อมสังหาร น่ากลัวจะยิ่งอันตรายขึ้น ยังดีที่พลังปราณของเราในช่วงนี้สามารถบรรลุเข้าขั้นผสานดินอย่างราบรื่นได้ สภาพแบบนี้น่ากลัวว่าสวี่เชียนจิ้งผู้นั้นจะคาดเดาไม่ได้เลย…’
หลินสวินรีบเดินไปพลางขบคิดไปพลาง

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด