Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 581 กลายร่างหมื่นพัน

อ่านนิยายจีนเรื่อง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 581 กลายร่างหมื่นพัน 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ครั้นหมัดซัดออก ห้วงอากาศพลันทลาย!
ด้วยพลังต่อสู้ในปัจจุบันของหลินสวิน ปล่อยหมัดส่งๆ ก็สามารถสังหารผู้อยู่ในระดับหยั่งสัจจะได้แล้ว นับประสาอะไรกับครั้งนี้ที่ลงมือเต็มกำลัง
พลันเห็นห้วงอากาศผืนนั้นประดุจกระดาษ ถูกซัดเป็นผุยผงอย่างจัง กระแสอากาศอลหม่านโหมกระหน่ำแหลกลาญเป็นภาพน่าสะพรึง
สวบ!
เพียงแต่ในจุดที่ห้วงอากาศแตกละเอียด มีเงาร่างคลุมเครือสายหนึ่งโฉบออกมาก่อน หลบเลี่ยงการโจมตีถึงชีวิตนี้
แต่ถึงอย่างนั้นเขายังคงถูกพลังหมัดซัดใส่ เงาร่างซวนเซ เกือบร่วงตกลงไปจากกลางอากาศ
และเวลานี้ในที่สุดหลินสวินก็มองเห็นฝ่ายตรงข้ามได้ชัด เป็นมือสังหารที่สวมชุดดำอำพรางทั่วกาย เงาร่างผอมเพรียวสูงโปร่ง ไม่สามารถมองเห็นหน้าตาได้ชัด
รอบกายเขาโอบล้อมด้วยกลิ่นอายลี้ลับ สามารถปกปิดสัมผัสและสืบค้นทั้งหมดได้ มองจากไกลๆ เข้าไป เขาก็เหมือนเป็นเพียงเงาทะมึน คลุมเครืออย่างยิ่ง
“ข้าจำเจ้าได้ ครั้งก่อนบนยานสำเภาเป็นเจ้าที่ลอบสังหารข้า น่าเสียดายที่โชคไม่ดี ตอนนั้นเจ้าล้มเหลวไป”
ท่าทางของหลินสวินเยือกเย็น นัยน์ดำสนิทเปี่ยมด้วยแสงเย็นยะเยียบ
เขาจำกลิ่นอายของอีกฝ่ายได้แม่น ครั้งก่อนอีกเพียงนิดก็จะถูกอีกฝ่ายสังหารแล้ว นี่เป็นความทรงจำที่สลักลึกในกระดูกอย่างหนึ่งเชียว หลินสวินจะกล้าลืมได้อย่างไร
“ลองว่ามาสิ เจ้าเป็นใครกันแน่ ในบรรดาผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ แม้ว่าซูซิงเฟิงจะเกลียดข้า แต่ก็ไม่จำเป็นต้องจัดการข้าแบบหลบๆ ซ่อนๆ”
นัยน์ตาของหลินสวินสะท้อนปะจุเย็นเยียบ จ้องอีกฝ่ายไม่วางตา “หรือจะบอกว่า เจ้าต้องการให้ข้าจับตัวเอาไว้ แล้วเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าด้วยตัวเอง?”
ยามที่เอ่ยคำ ทั่วกายของเขาพรั่งพรูแสงเรืองศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกาย ท่วงทำนองมรรคไหลเวียน พละกำลังพุ่งสูงถึงขีดสุด ขอเพียงอีกฝ่ายกล้าเผยเจตนาจะผละหนีแม้แต่เสี้ยวเดียว ก็ต้องเจอการโจมตีเต็มกำลังของเขา!
“ส่งมอบคัมภีร์อริยมรรคบนตัวเจ้า หรือไม่ก็เจดีย์สมบัติที่สร้างจากเหล็กเทพศุภโชคออกมาให้ข้า บางทีข้าอาจให้คำตอบที่เจ้าพึงใจได้”
คนชุดดำผู้นั้นปริปาก น้ำเสียงแหลมคมแหบแห้ง เห็นได้ชัดว่าเป็นการอำพรางอย่างหนึ่ง
หลินสวินเข้าใจในทันที นัยน์ตาดำท้วมท้นด้วยแสงเย็น “ในตอนนั้นบนยานสำเภา ที่เจ้าลงมือกับข้า เกรงว่าคงทำไปเพื่อเจดีย์สมบัติในมือข้ากระมัง”
“ไม่ผิด”
คนชุดดำดูสงบมาก ไม่พะวักพะวนแต่อย่างใด คล้ายกับไม่กลัวจะถูกหลินสวินล่วงรู้เจตนาของเขาแม้แต่น้อย สงบนิ่งอย่างชัดเจน
“เจ้ากำลังถ่วงเวลา?” จู่ๆ หลินสวินพลันกล่าวขึ้น
“เจ้าเองก็ทำเช่นนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ” คนชุดดำย้อนถาม
หลินสวินยิ้ม ก้าวเท้าไปเบื้องหน้าโดยพลัน ดาบหักโฉบออกไปพร้อมกับเสียงชิ้ง พุ่งสังหารด้วยกระบวนท่าคว้าดารา
ตอนนี้หลินสวินหยั่งถึงสามกระบวนท่าใหญ่แห่งเพลงดาบวัฏจักรฟ้าแล้ว แต่ละกระบวนท่ามีพลังเร้นลับในตัวเอง หาได้มีการจำแนกความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ
ตัวอย่างเช่นกระบวนท่าคว้าดารา เน้นหนักที่การจู่โจมยามไม่ทันตั้งตัว สั่นสะท้านจิตวิญญาณ ครั้นถูกโจมตี เป็นต้องประสบกับภัยมฤตยู
ส่วนกระบวนท่าสอยจันทราเป็นพลังที่ศักดิ์สิทธิ์ไพศาลอย่างหนึ่ง แปลกแยกดุจลวงตา เมื่อไรก็ตามที่ถูกแตะต้อง ก็จะก่อให้เกิดพลังล้างผลาญอันน่ากลัวหมดจดแบบหนึ่ง
สำหรับกระบวนท่าเผาตะวันนั้นง่ายมาก มันคือความเผด็จการและทำลายล้าง ดุจดั่งพลังทำลายล้างที่ปล่อยออกมาจากการเผาไหม้ของดวงอาทิตย์ เป็นพลังแห่งการสังหารอันเด็ดขาดถึงขีดสุดอย่างหนึ่ง
และขณะนี้หลินสวินใช้กระบวนท่าคว้าดารา ไม่บอกก็รู้ว่าต้องการสังหารอีกฝ่ายด้วยการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว สั่นคลอนจิตใจฝ่ายตรงข้าม ทำให้เขาไม่สามารถเผ่นหนีได้
ตูม!
ชั่วขณะนั้นดุจดั่งหมู่ดาวโปรยปราย รัตติกาลนิรันดร์มาเยือน รวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ เฉกเช่นฝันร้ายฉากหนึ่งประดังมา
กระนั้นที่น่าพิศวงคือเงาร่างของคนชุดดำผู้นั้นพลันกลายเป็นร่างนับร้อยนับพันแน่นขนัด บ้างก็เป็นฝ่ายโจมตีใส่หลินสวิน บ้างก็เผ่นหนีไปสี่ทิศแปดทางอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบสีนิล
มองไปไกลๆ ล้วนมืดฟ้ามัวดิน ทุกแห่งหนล้วนเป็นเงาร่างของคนชุดดำผู้นั้น เป็นภาพน่าตกตะลึงสุดขีด
ครืนๆ~ พลังทำลายล้างที่สั่นสะเทือนฟ้าดินกวาดม้วน พลันเห็นคนชุดดำที่กรูเข้ามาเหล่านั้นถูกกลบทำลายแทบจะภายในชั่วพริบตา
และมีส่วนหนึ่งที่หลบเลี่ยงจากการโจมตีครั้งนี้ มุ่งประดังไปทางหลินสวินต่อ
สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือยังมีคนชุดดำส่วนหนึ่งเผ่นหนีไกลออกไปตั้งแต่ต้น กลายเป็นภาพที่อลหม่านหาใดเปรียบทันทีทันควัน
เดิมทีมีศัตรูคนเดียว แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นพันคน แล้วยังจะต่อสู้ได้อย่างไร
กลายร่างหมื่นพัน!
นี่เป็นวิชาลับอะไรกัน
ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นวิชาลับน่าทึ่งไร้เทียมทานเยี่ยงนี้ ลำพังมองแค่ผิวเผินแทบไม่สามารถแยกแยะได้เลยแม้แต่น้อยว่าคนไหนกันแน่คือคนชุดดำตัวจริง
สิ่งที่เรียกว่าแท้ประสมเทียม จริงประสานลวง แท้จริงแล้วคือความเร้นลับยากหยั่งถึง ปิดฟ้าข้ามทะเล!
ฟ้าดินแถบนี้ร้องคำราม หลินสวินโจมตีเต็มกำลัง แสงดาบส่องสว่างกวาดเป็นแสงดาราเรืองรอง พลันเห็นเงาร่างคนชุดดำกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าถูกฆ่าตายอย่างง่ายดาย กลายเป็นพิรุณแสงล่องลอย
‘ที่แท้ร่างแยกพวกนี้ล้วนเป็นภาพมายา ไม่ได้มีพลังต่อสู้เหมือนร่างเดิมของเขา…’
ในใจหลินสวินผ่อนคลายเหลือล้น พลังจิตวิญญาณแผ่ซ่านปกคลุมทั่ว หยั่งรู้และจำแนกอย่างถี่ถ้วน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาในตอนสุดท้ายกลับทำให้เขาสะทกสะท้าน
ไม่ว่าจะเป็นร่างแยกหรือร่างเดิม หากว่ากันเพียงด้านกลิ่นอายแล้ว ไม่สามารถแยกแยะแท้เทียมได้เลยแม้แต่น้อย!
“หลินเสวียน เมื่อพบกันอีกครั้งหน้า ย่อมเป็นคราวตายของเจ้า!”
กลางฟ้าดิน เสียงที่แหลมและแหบแห้งของคนชุดดำดังสะท้อนกึกก้อง เสมือนว่าเปล่งออกมาจากคนทั้งเป็นแสน ไม่สามารถแยกแยะต้นทางที่แท้จริงได้
หว่างคิ้วของหลินสวินฉายแววอึมครึม จวบจนเขาสังหารคนชุดดำ ณ ที่นั้นหมดแล้วถึงพบว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นร่างแยก ร่างเดิมของเขาหนีลอยนวลไปตั้งแต่ต้นแล้ว
“นี่เป็นวิชาลับอะไรกันแน่ เหตุใดถึงได้แปลกพิสดารและอัศจรรย์เช่นนี้” เรียวคิ้วของหลินสวินขมวดแน่น ไม่ยินยอมอยู่บ้าง
คนชุดดำผู้นั้นลอบสังหารเขาสองหน ทั้งสองคราล้วนลอยนวลอย่างปลอดภัย ที่หนักหนาที่สุดคืออีกฝ่ายยังเชี่ยวชาญวิชาลับที่สามารถกลายร่างเป็นหมื่นพันได้อีก หมายจะปลิดชีวิตอีกฝ่ายแทบจะทำได้ยากยิ่ง
เว้นแต่ว่าจะมองทะลุร่างจริงของเขาได้ในปราดเดียว!
ทั้งหมดนี้ยังส่งสัญญาณเตือนให้หลินสวินตระหนักถึงความกว้างใหญ่แห่งฟ้าดิน อัจฉริยะนับไม่ถ้วน ขณะเดียวกันก็มีวิชาลึกลับที่เหนือจินตนาการมากมาย มิอาจชะล่าใจได้โดยเด็ดขาด
สวบ!
หลินสวินสลัดความคิดว้าวุ่นทิ้งไปอย่างรวดเร็ว สายตาทอดมองไปอีกฝั่งหนึ่ง มุมปากผุดเส้นโค้งที่มีความหมายลึกซึ้งชวนขบคิดเสี้ยวหนึ่ง
“ท่านทั้งสอง ดูตั้งนานขนาดนี้ควรปรากฏตัวได้แล้วกระมัง”
หลินสวินเอ่ยปากเสียงแผ่ว
ตรงนั้นเป็นเนินเขาเตี้ยทั่วๆ ไปลูกหนึ่ง ปกคลุมด้วยหมอกสีขาวหนาทึบ ไร้ซึ่งการกระเพื่อมของกลิ่นอายใดๆ เป็นพิเศษ
ทว่าหลังจากประสบกับการลอบสังหารโดยคนชุดดำผู้นั้นแล้ว หลินสวินก็สัมผัสได้อย่างเฉียบคมว่าท่ามกลางเนินเขาลูกนั้นมีเงาร่างสองสายเร้นกายอยู่!
เปลี่ยนเป็นก่อนหน้านี้ หลินสวินต้องไม่อาจสัมผัสได้อย่างแน่นอน เนื่องจากเงาร่างสองสายถูกแสงสมบัติปกคลุมทั่วกาย บดบังกลิ่นอายทั้งมวล
สิ่งที่แปลกเป็นพิเศษคือแสงสมบัตินั้นดุจผสมผสานกับฟ้าดิน กลายเป็นกลิ่นอายฟ้าดินที่พบได้โดยทั่วไป ยากจะสัมผัสถึงโดยสิ้นเชิง
แต่ว่าหลินสวินในปัจจุบันแตกต่างออกไปตั้งนานแล้ว หลังจากบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะก็พลอยทำให้พลังจิตวิญญาณของเขาเปลี่ยนแปลง เริ่มต้นเคี่ยวกรำ ‘จันทราเคลื่อนคล้อย’ ขอบเขตที่สองใน ‘เคล็ดเวทบริกรรม’ เป็นที่เรียบร้อย
ในห้วงนิมิตของเขามีดวงจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ลอยเด่นอยู่ แผ่รัศมีเจิดจ้าขจายวงกว้าง ราวกับเจดีย์ยอดหนึ่ง ทำให้พลังการรับรู้จิตวิญญาณของเขาเกิดการแปรสภาพ สามารถตรวจจับรายละเอียดปลีกย่อยที่ก่อนหน้านี้ไม่อาจหยั่งรู้ได้
ด้วยเหตุนี้ตอนที่เขาสัมผัสได้ถึงการมีตัวตนของเงาร่างสองสายนี้ จึงย่อมมองว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกันกับคนชุดดำผู้นั้นเป็นธรรมดา
หากไม่เป็นเช่นนี้เมื่อครู่หลินสวินก็ไม่คงไม่ชักช้า พุ่งเข้าไปจับกุมคนชุดดำผู้นั้นทันทีแล้ว ไม่ใช่พูดไร้สาระถ่วงเวลา
เวลานี้คนชุดดำผู้นั้นหนีลอยนวลไปนานแล้ว แต่เงาร่างสองสายนี้กลับยืดยาดไม่ยอมเขยื้อน ไม่คิดผละหนี ทำให้หลินสวินรู้สึกแปลกประหลาดอย่างเลี่ยงไม่ได้เล็กน้อย ตระหนักว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ของตนดูเหมือนจะมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง…
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้า หลินเสวียน เป็นบุคคลชั้นยอดที่ซ่อนคมในฝักคนหนึ่ง ที่ทำให้ข้าประหลาดใจที่สุดคือคนเช่นเจ้ากลับเติบโตมาในโลกชั้นล่าง ช่างทำให้ผู้คนยากจะจินตนาการเสียจริง”
ที่ตามมาพร้อมเสียงทอดถอนใจนั้นคือเด็กชายในชุดหลากสีสันที่สวมห่วงคอสีเงินยวงคนหนึ่ง เดินออกมาจากเนินเขาเตี้ยๆ ลูกนั้น ท่าทางไร้เดียงสาน่ารัก
เป็นเหวินเสียงผู้สืบทอดแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ!
ข้างกายของเขายังมีชายหนุ่มในชุดคลุมสีชาดคนหนึ่ง เข็มขัดหยกสีขาวรัดรอบเอว หน้าตางามสง่าถึงขีดสุด
สองมือของเขาไพล่หลัง อากัปกิริยาเย็นชาหยิ่งทระนง นัยน์ตาคู่นั้นมีเปลวไฟลุกโชน บุคลิกโดดเด่น เป็นซูซิงเฟิงนั่นเอง!
“ที่แท้เป็นทั้งสองท่านนี่เอง”
หลินสวินอึ้งงันไป กล่าวคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ให้ข้าเดา พวกท่านมาเพื่อชิงเจดีย์สมบัติ หรือไม่ก็มาเพื่อสิ่งที่เรียกว่าคัมภีร์อริยมรรคกระมัง”
ยามพำนักอยู่บนยานสำเภา เนื่องด้วยการมีตัวตนอยู่ของผู้เฒ่าเกาหยาง บางทีหลินสวินอาจจะยังหวาดเกรงต่อสองคนนี้อยู่บ้าง แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว
“ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ถูก พวกเรามาจากค่ายเดียวกัน ทั้งเจ้ายังเป็นสหายข้างกายของศิษย์พี่จิ่งเซวียนอีก ไหนเลยพวกเราจะกล้ามุ่งร้ายต่อเจ้าได้”
เหวินเสียงปอดแปดเสียงดัง ท่าทางเหมือนถูกให้ร้าย
“อ้อ ดูเหมือนข้าจะใช้ใจของคนต่ำช้าประเมินวิญญูชนเสียแล้ว?”
ท่าทีของหลินสวินวางเฉย
“ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย พวกเราเองก็ได้ยินมาว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนหนึ่งถูกไล่สังหาร ฉะนั้นจึงเร่งรุดมาสมทบ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนี้ก็คือเจ้า และยิ่งไม่คาดคิดเข้าไปใหญ่ว่าเจ้าถึงกับสังหารผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าจนพ่ายแพ้แตกกระบวน”
เหวินเสียงยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยปาก ทำหน้าตื่นตะลึง “หากรู้แต่แรกว่าเจ้าร้ายกาจขนาดนี้ พวกเราคงไม่มองเจ้าเป็นเพียงผู้ติดตามแน่”
หลินสวินไม่มีทางมองว่าเจ้าหมอนี่เป็นเด็กซุกซนคนหนึ่งแน่นอน
อีกฝ่ายดูเหมือนยังเด็ก ก็เพราะฝึกวิชาลับอย่างหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘เคล็ดวิชาหลอมเลือดคืนตะวัน’ ถึงได้บำเพ็ญตนด้วยรูปลักษณ์ของเด็ก ความจริงเจ้าหมอนี่เป็นอัจฉริยะที่ฝึกปราณมานานหลายปีแล้ว หากกล่าวถึงความคิดแยบคายและความฉลาดหลักแหลม เขาจัดอยู่ในประเภทจิ้งจอกเฒ่าพวกนั้นได้เลย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องขอบคุณในความหวังดีของพวกท่านทั้งสองด้วย”
หลินสวินเรียบเฉยเนิบนาบ ไม่ได้จงใจไปเปิดโปง
อย่างไรเสียนับดูแล้ว เขาก็ใช้ชื่อของ ‘แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ’ ถึงเข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะได้ กอปรกับความสัมพันธ์ของจ้าวจิ่งเซวียน หากไม่จำเป็นหลินสวินก็จะไม่ฉีกหน้าอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง
“จริงสิ ไม่รู้ว่าทั้งสองท่านพอจะดูออกหรือไม่ว่าคนชุดดำเมื่อครู่เป็นใคร”
จู่ๆ หลินสวินพลันซักถาม
“ไม่รู้”
เหวินเสียงส่ายหน้าติดต่อกัน ดวงหน้าอ่อนเยาว์เปี่ยมด้วยความงุนงง
หลินสวินยิ้ม เผยให้เห็นเรียวฟันขาว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอตัวก่อน”
กล่าวจบเงาร่างเขาไหววูบ ลอยล่องจากไปอย่างเด็ดขาดชัดเจน
“เจ้าหมอนี่น่าจะเดาอะไรบางอย่างได้บ้างแล้ว”
เหวินเสียงพึมพำ นัยน์ตาฉายแววเย็นเยียบ
ตั้งแต่ต้นจนจบซูซิงเฟิงไม่ได้ปริปากสักนิด เฉยเมยเย็นชา เวลานี้มองเห็นเงาร่างของหลินสวินลับไป เขาจึงเอ่ยคำ “เมื่อครู่ เดิมข้าอยากจะลงมือ…”
——

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด