Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 714 ความน่ากลัวยามราตรี

อ่านนิยายจีนเรื่อง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 714 ความน่ากลัวยามราตรี 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ระหว่างทางหลินสวินพบกับเงาร่างอีกไม่น้อย ทั้งผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิและเผ่าพ่อมดเถื่อน
แม้จะเป็นยอดฝีมือระดับกระบวนแปรจุติก็ปรากฏตัวเป็นกลุ่มก้อนแทบทั้งนั้น น้อยนักที่จะมาสำรวจที่นี่ตามลำพัง
ตลอดทางหลินสวินไม่ได้อ้อยอิ่ง ขอเพียงสังเกตว่ามีคน ก็จะชิงหลบออกมาก่อนแล้วเดินอ้อม ด้วยไม่ต้องการต่อสู้โดยไม่มีเหตุผล
ตู้ม!
ไม่นานนักหลินสวินรับรู้ได้ว่าข้างหน้ามีเงาร่างศัตรูปรากฏขึ้น เขากำลังเตรียมตัวหลบแต่ไกล กลับคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ สายฟ้าสีเลือดเส้นหนึ่งก็ฟาดลงมาจากฟ้า
ชั่วพริบตา ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปหลายพันจั้งสลายเป็นจุณในชั่วอึดใจ ร่างกายมลายหายไปในสายฟ้าสีเลือด ไม่เหลือแม้แต่ซากศพ
ภาพนั้นกะทันหันยิ่งนัก ทำให้หลินสวินก็สูดหายใจเย็นเยียบโดยไม่รู้ตัว เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง กลับพบว่าไม่อาจหาที่มาของสายฟ้าสีเลือดนั้นในห้วงอากาศไร้ขอบเขตได้เลย
นี่ก็คือความน่ากลัวของป่าต้นหม่อน มีภัยพิบัติและปรากฏการณ์ประหลาดที่คาดเดาได้ยาก แม้จะระมัดระวังอย่างยิ่งยวดก็อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันต่างๆ และสิ้นชีพโดยเฉียบพลันในที่สุด
หลินสวินเม้มปาก สูดลมหายใจลึกแล้วเดินหน้าต่อไป อันตรายที่ไม่เป็นมงคลและแปลกประหลาดเช่นนี้ทดสอบความกล้าหาญและความใจสู้อย่างไม่ต้องสงสัย
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณอื่น เกรงว่าจะหวาดกลัวภาพที่เห็นแล้วกลับไปกลางทางนานแล้ว
เมื่อเดินหน้าต่อไปไม่นานนัก ฟ้าดินเริ่มบังเกิดเมฆหมอกสีแดงสดราวโลหิตชั้นแล้วชั้นเล่า ดูน่ากลัวบาดตา
หมอกเลือดเช่นนี้ชอบกลนัก มันขัดขวางการรับรู้จิตวิญญาณ นอกจากนี้ถ้าไม่ระวังและสลายหมอกไป มันก็จะแทรกซึมเข้าไปในร่างกาย กัดกร่อนสารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณของผู้ฝึกปราณ
กึด!
หลินสวินง้างธนูวิญญาณไร้แก่นสารจนตึง แต่ไม่ยิงออกไป หลังจากมาถึงที่นี่ พลังจิตวิญญาณก็ถูกกีดกั้น ไม่อาจรับรู้ถึงภยันตรายได้อีก ทำได้เพียงอาศัยความสามารถในการต่อสู้เสี่ยงโชคหลบภัย
ทว่าเวลานี้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารก็ได้แสดงคุณประโยชน์ของมันออกมาแล้ว ด้วยมันมีอานุภาพหยั่งรู้ทัศนวิสัย สามารถมองทะลุภาพมายาได้!
ดังคาด ชั่วพริบตาทัศนวิสัยของหลินสวินก็แปรเปลี่ยนเป็นกว้างไกล ไม่ถูกหมอกโลหิตเหล่านั้นรบกวนอีก สามารถมองเห็นสถานการณ์ได้พันลี้
หืม?
ผ่านไปครู่หนึ่งดาบหักที่แขวนไว้ที่บั้นเอวจู่ๆ ก็สั่นไหวขึ้นมา ทำให้ดวงตาสีดำของหลินสวินวาวโรจน์ขึ้น เขาสงบใจรับรู้
เขามาถึงหน้าเนินดินสีน้ำตาลอมเทาแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ที่นี่ดูเป็นปกติไม่สะดุดตานัก แต่เมื่อมาถึง ดาบหักยิ่งสั่นไหวรุนแรงขึ้น
หลินสวินหยุดเดินแล้วคุกเข่าลงไป ใช้ดาบหักขุดดินจนพลิกกระเด็น ไม่นานหน้าเนินดินก็ถูกขุดจนเป็นหลุมดินหลุมหนึ่ง
เคร้ง!
เมื่อขุดลึกลงไปห้าฉื่อ ดาบหักก็ติดขัด ส่งเสียงกระทบเหมือนหอกชนกัน ขณะเดียวกันรังสีเงินยวงอ่อนโยนก็ปรากฏสู่สายตาของหลินสวิน
‘หินหยกอัศจรรย์ลายเงินหรือ’ หลินสวินนำมันออกมาอย่างตื่นเต้น  ของเล่นนี้มีขนาดราวขันบาตร สีเงินยวงทั้งก้อน ส่องแสงออกมาราววารี
เกิดเสียงดังกรอบแกรบระลอกหนึ่ง หลินสวินออกแรงบีบมันให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ภายในเผยให้เห็นกิ่งไม้สีหยกเขียวเรียวเล็กกิ่งหนึ่ง รูปร่างเหมือนเขากวาง อวลไปด้วยแสงสีเขียวหยก พลังชีวิตเข้มข้นกำจาย ทำให้จิตใจของเขาปลอดโปร่ง
‘คราวก่อนเป็นใบไม้ คราวนี้เป็นกิ่งไม้ แต่ล้วนมีกลิ่นอายมหามรรคกับพลังชีวิตลี้ลับอยู่ หรือว่าเมื่อก่อนเคยมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นหนึ่งสลายไป แต่กิ่งก้านกับใบของมันไม่ได้หายไปด้วย ทว่าถูกหินหยกอัศจรรย์เหล่านี้ผนึกไว้ ผ่านการเปลี่ยนแปลงยาวนานไร้ที่สิ้นสุด และถูกกลบฝังไว้ใต้ผืนดินแห่งนี้?’
‘ป่าต้นหม่อน… ป่าต้นหม่อน… ไม่แน่ว่า ไม่ว่าจะเป็นใบไม้คราวก่อนหรือกิ่งไม้คราวนี้ ก็ล้วนมาจากต้นหม่อนที่มีอานุภาพเหลือเชื่อต้นหนึ่ง?’
หลินสวินสันนิษฐานอย่างใจกล้า
ยามครุ่นคิดเขาก็ไม่ลังเล ใช้ดาบหักดูดซับพลังชีวิตจากกิ่งไม้นี้
เพียงครู่เดียวดาบหักก็ส่องแสงพลังชีวิตวูบวาบ ส่วนกิ่งไม้นั้นกลับสลายกลายเป็นฝุ่น
หลินสวินสงบใจสัมผัสดู ก็พบว่าดาบหักเปลี่ยนแปลงไปอีกแล้ว แม้ไม่ชัดเจนแต่อย่างไรก็พัฒนาขึ้น
โดยเฉพาะรูปลักษณ์ของดาบหัก ร่องรอยลายมรรคลึกลับลายแล้วลายเล่าปรากฏขึ้นอย่างคลุมเครือราวจันทรากลางวารี แม้ยังคงเลือนลางดังเดิม แต่กลับเริ่มมีแนวโน้มจะชัดเจนยิ่งขึ้น
นัยน์ตาดำของหลินสวินเปล่งประกาย เดิมทีพลานุภาพของดาบหักก็น่ากลัวอยู่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นดาบร้ายเย้ยฟ้า หากสามารถซ่อมแซมและเปลี่ยนแปลงได้ จะต้องทำให้พลังต่อสู้ของเขาดีขึ้นไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
ในช่วงเวลาต่อมาหลินสวินไม่ได้รีบร้อนเดินทาง แต่เดินไปมาในบริเวณใกล้เคียง ขอเพียงดาบหักสั่นไหวส่งเสียง ก็หมายความว่าในบริเวณนั้นต้องมีสมบัติบางอย่างซ่อนอยู่
นี่ทำให้เขาประหยัดพลังไปมาก เพียงต้องเสาะหาตามปฏิกิริยาของดาบหักก็ได้เจอของดี
หลายชั่วยามผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
แต่เวลานี้หลินสวินเก็บหินหยกอัศจรรย์ลายเงินได้สี่ก้อน หินหยกอัศจรรย์ลายทองสองก้อนอย่างต่อเนื่อง ภายในไม่มีใบไม้ก็มีกิ่งไม้ซ่อนอยู่ แม้จะมีขนาดเล็กนิดเดียว แต่พลังชีวิตลี้ลับกลับเต็มเปี่ยม
สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกดาบหักหลอมไปสิ้น
มาถึงตอนนี้เขาก็พอจะอนุมานได้แล้วว่าถ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงดาบหัก เพียงอาศัยของพวกนี้ก็เหมือนเอาน้ำถ้วยหนึ่งไปดับไฟกองใหญ่ ไม่มีทางเติมเต็มได้เลย
แต่หลินสวินก็อดทนมาก ที่เขามาป่าต้นหม่อนคราวนี้ไม่ได้ต้องการวาสนาไร้เทียมทานอะไร ทั้งไม่มีกะจิตกะใจร่วมชิงสมบัติที่ทำให้เหล่าราชันต่อสู้ดุเดือดโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
การเดินทางนี้สามารถฟื้นฟูและพัฒนาดาบหักสำเร็จครั้งหนึ่ง ก็ทำให้เขาพอใจแล้ว
……
ราตรีมาเยือนแล้ว แม้เป็นในป่าต้นหม่อนแห่งนี้ก็ยังรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ารัตติกาลเข้าปกคลุมที่นี่ราวกระแสน้ำ
ทั้งร่างของหลินสวินสั่นสะท้านอย่างไม่มีสาเหตุ รับรู้ได้ถึงความกดดันที่บอกไม่ถูก ราวกับเมื่อยามราตรีมาเยือนจะเกิดเรื่องน่าหวาดหวั่นยิ่งขึ้น
โครม!
ทันใดนั้นสายฟ้าสว่างจ้าสายหนึ่งฟาดตัดห้วงอากาศ ส่องสว่างทั่วฟ้าดิน ในขณะเดียวกันฟ้าดินที่ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตาก็มีกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นพุ่งออกมา
แม้จะห่างออกไปไกลยิ่งนัก หลินสวินก็ยังเห็นว่านั่นเป็นเงาร่างที่อาบด้วยเพลิงเทพเงาหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศอย่างยโสโอหัง กำลังต่อสู้ดุเดือด
‘ราชันนภาเพลิงแห่งสายคนเถื่อนอัคคี!’
แม้ว่าหลินสวินไม่เคยพบกับราชันเถื่อนผู้นี้ แต่กลับชี้ชัดได้ในเวลาอันสั้น ด้วยเตะตาเกินไป เงาร่างอาบไล้ไปด้วยไฟเทพ กลิ่นอายน่ากลัวไร้เทียมทาน มีเพียงราชันนภาเพลิงถึงจะมีพลานุภาพเช่นนี้ได้
ถึงกระนั้นที่ทำให้หลินสวินหน้าเปลี่ยนสีจริงๆ กลับเป็นคู่ต่อสู้ของราชันนภาเพลิง…
นั่นคือหอกสำริดหักพังเล่มหนึ่ง!
เงาหอกฉวัดเฉวียน ห้วงอากาศล้วนปรากฏเค้าลางพังทลายน่าหวาดหวั่นมืดฟ้ามัวดิน พัดกวาดเพียงเบาๆ ก็ทำให้ฟ้าดินถล่ม ห้ำหั่นกับราชันภาเพลิงกลางเวหา ทำให้ฟ้าดินบริเวณนั้นเหมือนถูกฉีกขาด เจิดจ้าโชติช่วง
หลินสวินอยากจะดูให้เห็นผลลัพธ์ แต่น่าเสียดายการต่อสู้ครั้งนี้ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็วและจบลงอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจก็ปิดฉากลงแล้ว
เป็นราชันนภาเพลิงที่เหมือนไม่อาจต้านทาน ถอยกลับไปอย่างเดือดดาล ก่อนจากไปก็คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว “เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์เหลือเดนชิ้นหนึ่งเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็วต้องกำราบเจ้าให้ได้!”
และเป็นคำนี้เองที่ทำให้หลินสวินหวั่นไหวอย่างไม่มีสาเหตุ อาวุธศักดิ์สิทธิ์เหลือเดนชิ้นหนึ่ง แต่กลับเหมือนยอดฝีมือไร้เทียมทานที่สู้จนราชันนภาเพลิงต้องถอยหนี
ค่ำคืนนี้ไม่สงบยิ่ง เมื่อการประลองโดดเด่นครั้งนี้ปิดฉากลง ก็มีกลิ่นอายน่าพรั่นพรึงมากมายปรากฏขึ้นตามที่ต่างๆ
ทั้งยังมีเสียงเทพมารคำรามเดือดดาลไม่ชัดเจน ผีร่ำไห้หมาป่าเห่าหอนสะท้อนในรัตติกาลมืดมิด น่าขนลุกขนพอง
ผู้แข็งแกร่งที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ในป่าใบหม่อน ไม่ว่าจะมาจากจักรวรรดิหรือเผ่าพ่อมดเถื่อน เวลานี้ล้วนหยุดเคลื่อนไหวแล้วจำศีล
ยามราตรีมาเยือน สมรภูมิกระหายเลือดน่ากลัวกว่าตอนกลางวันเป็นร้อยเป็นพันเท่า และในป่าต้นหม่อนแห่งนี้ก็อันตรายยิ่งกว่า
ในเวลาเช่นนี้ใครก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามเคลื่อนไหว ได้แต่หยุดอยู่ที่เดิม รีบพักผ่อนปรับสภาพร่างกาย
หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็รีบร้อยโคจรไอซวนหนีกำบังกายเช่นกัน เริ่มนั่งสมาธิสงบจิต ป่าต้นหม่อนในค่ำคืนนี้น่าประหวั่นพรั่นพรึงอย่างยิ่ง ก้าวพลาดครั้งเดียวต้องสิ้นชีพในชั่วพริบตาแน่
คืนนี้ดูรับมือได้ยากนัก ทุกที่มีแต่กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวสะท้านโลกาปรากฏขึ้น สั่นสะเทือนสภาพอากาศ กระจายไปสิบทิศ
ในความคลุมเครือ เสียงหมู่เทพสะอื้นไห้ ผีปีศาจคำรามกราดเกรี้ยวดังก้อง พวกที่จิตใจไม่แน่วแน่ เกรงว่าจะหวาดกลัวจนเสียสติ
แม้แต่หลินสวินก็ต้องโคจรเคล็ดเวทบริกรรมมาปกป้องจิตใจ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ คืนนี้ทั้งคืนเขามักจะรู้สึกว่ามีเจตจำนงเย็นเยียบมากมายเคลื่อนผ่านตัวเขา น่าพรั่นพรึงจนเขาสันหลังวาบ
จวบจนฟ้าสาง รัตติกาลเคลื่อนคล้อย สภาพการณ์น่ากลัวและไม่อาจคาดเดาได้ถึงสงบลง
กลางวันมาเยือนแล้ว ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่กระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ล้วนลอบถอนหายใจโล่งอก แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่า ในคืนนี้เกรงว่าจะมีผู้แข็งแกร่งไม่น้อยรับเคราะห์ ถูกภยันตรายน่าหวาดหวั่นสังหาร
หลินสวินก็ลุกขึ้นแล้ว เริ่มเคลื่อนไหว
กลางวันเป็นโอกาสดีที่สุดที่จะสำรวจป่าต้นหม่อน เขาไม่อยากเสียเวลาแต่อย่างใด
ทว่าหลายวันต่อมา เขากลับเก็บอะไรไม่ได้เลย หนำซ้ำยังพบกับผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนไม่น้อย ในนั้นมีราชันกึ่งระดับหลายคน หากไม่ใช่เพราะเขาใช้ ‘หยั่งรู้ทัศนวิสัย’ รับรู้ได้ล่วงหน้าแล้วรีบหนีออกมา ต้องไม่อาจหลีกเลี่ยงการต่อสู้ดุเดือดได้แน่
แม้ไม่ได้อะไรเลย แต่ด้วยการสำรวจมาหลายวันก็ทำให้หลินสวินค่อยๆ ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมเสี่ยงภัยของป่าต้นหม่อนได้แล้ว
อีกทั้งเขาเริ่มมั่นใจว่าตนเข้าใกล้ส่วนลึกของป่าต้นหม่อนแล้ว ผู้แข็งแกร่งที่พบระหว่างทางก็แข็งแกร่งและน่ากลัวขึ้นทุกที
ต่างเป็นบุคคลชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติแทบทั้งนั้น สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับกึ่งราชันก็เห็นได้เกลื่อนกลาด
แต่เพราะป่าต้นหม่อนกว้างใหญ่ไพศาลเกินไป แทบจะเหมือนแดนมารที่ลี้ลับและอันตรายแห่งหนึ่ง ทำให้เขาก็ไม่มีทางแน่ใจได้ว่า หากสำรวจต่อไปเช่นนี้จะไปถึงสุดทางป่าต้นหม่อนหรือไม่
วันนี้หลินสวินมาถึงเขตป่าหินที่เหี้ยนเตียนผืนหนึ่ง ที่นี่หมอกเลือดหนาทึบบดบังฟ้าดิน ดูผิดปกติถึงที่สุด
หืม?
ขณะที่เขากำลังจะเลี่ยงไป ดาบหักพลันสั่นไหวรุนแรงกว่าก่อนหน้านี้ ถึงขั้นส่งเสียงร้องชัดเจน เผยให้เห็นคลื่นแห่งความปรารถนาอย่างยิ่งยวด
หลินสวินลังเลเล็กน้อย ในที่สุดก็กัดฟันพุ่งเข้าไปในป่าหินที่อบอวลไปด้วยหมอกสีเลือดนั้น เพียงครู่เดียวก็ทำให้เขาได้พบ…
แท่นบูชาหักพังแท่นหนึ่ง แม้ดูหมองมัวแตกหักไม่สมบูรณ์ แต่กลับอวลไปด้วยกลิ่นอายโบราณไพศาล ดูไม่ธรรมดาถึงที่สุด
แท่นบูชา!
ในป่าต้นหม่อนแห่งนี้ยังมีของแบบนี้ด้วยหรือนี่
หลินสวินหยุดเดิน มองไปข้างหน้าก็เห็นว่าเศษซากแท่นบูชานี้รางเลือนและไม่สมบูรณ์นานแล้ว เดิมทีบนนั้นน่าจะปกคลุมไปด้วยลายสลักลึกลับ แต่มันสึกหรอจนเห็นแต่รอยขีดข่วน
และตอนนี้ดาบหักสั่นไหวไม่หยุด คมดาบอบอวลไปด้วยคลื่นรุนแรง เหมือนปรารถนาสิ่งที่ซ่อนอยู่ในแท่นบูชาที่หักพังนี้อย่างยิ่ง
หลินสวินสูดหายใจลึกๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง หลังจากแน่ใจว่าไม่มีอันตรายแล้วถึงเริ่มลงมือขุดขึ้นมา
เปรี๊ยะๆ…
ซากแท่นบูชานี้ถูกทำลายลงอย่างง่ายดายระหว่างที่ขุด เศษหินโบราณร่วงพรูลงมา
“นี่…”
เพียงครู่เดียวหลินสวินก็สั่นสะท้าน จิตใจบังเกิดคลื่นโหมซัดสาด ด้านล่างของแท่นบูชามีแสงเจิดจรัสเผยให้เห็น ไหลเวียนรุ่งโรจน์ แสงเทพเส้นแล้วเส้นเล่าพวยพุ่ง เหมือนภาพนิมิตสายรุ้ง
ที่น่าตกตะลึงก็คือล้วนกระจายออกมาจากหินหยกอัศจรรย์กองหนึ่ง! มีทั้งลายทอง ลายเงิน ลายทมิฬ ลายอัคคี ลายวารี…
หินพวกนั้นกองอยู่ตรงนั้นแน่นขนัด แต่ละก้อนใหญ่ขนาดเท่ากำปั้น แสงสมบัติที่ไหลเอ่อออกมาเข้มข้นสะดุดตาหาใดเทียบ
หลินสวินตื่นเต้นจนเกือบร้องเสียงดังออกมา เก็บเกี่ยวอะไรไม่ได้มาหลายวันติดต่อกัน ใครจะคิดว่าวันนี้กลับปรากฏออกมาเยอะขนาดนี้ในคราวเดียว!
__

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด