Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 671 อำนาจทั่วนครหลวง

อ่านนิยายจีนเรื่อง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 671 อำนาจทั่วนครหลวง 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ตระกูลฉือ
พฤกษาพลิ้วไหว หมู่ไผ่ปกคลุมหนาแน่น
เหนือภูเขาจำลองศาลาไม้ บนทิวเขาและยอดเขาด้านหนึ่ง น้ำตกไหลรินลงมาราวมังกรขาว ฟองน้ำสาดกระเซ็นออกมาดุจไข่มุกล้ำค่า
ผู้นำตระกูลฉือฉือหลิงเซียวแต่งกายด้วยชุดขาวทั้งตัว นั่งหลังตรงกลางศาลาไม้ มือถือคัมภีร์ม้วนหนึ่ง กำลังอ่านอย่างสบายใจ
ฉือฉางเหมยที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“สองตระกูลฉินและจั่วนี่มือเติบเสียจริง ไม่ลงมือก็ไม่มีอะไร แต่เมื่อลงมือก็ใช้มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติถึงหกคน ทุกคนล้วนเป็นตัวร้ายที่มีชื่อเสียงมานานปี ไม่มีใครธรรมดาเลยสักคน ดูท่าหลินสวินผู้นั้นคงไม่มีหวังจะรอดชีวิตอีกแล้ว”
ฉือฉางเหมยพึมพำ เมื่อได้ข่าวนางก็ตระหนกอยู่บ้าง ไม่คิดเลยว่าตระกูลจั่วและฉินจะถึงกับโหดเหี้ยมปานนี้
“ท่านพ่อ เหตุใดสองตระกูลจั่วและฉินถึงระดมคนมามากเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ” นางอดเอ่ยถามไม่ได้
สายตาฉือหลิงเซียวจดจ้องคัมภีร์ในมือแล้วกล่าวว่า “ต้องเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ข่มขวัญผู้คนในใต้หล้า หน้าตาของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงไม่ใช่สิ่งที่เด็กคนหนึ่งจะท้าทายลบหลู่ได้ตามอำเภอใจ”
ฉือฉางเหมยร้องอ้อ แล้วจมสู่ความเงียบงัน
เท่าที่นางรู้ นครต้องห้ามในวันนี้ ขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ล้วนส่งสายสืบออกมาราวกระแสน้ำ ต่างติดตามความปั่นป่วนครั้งนี้อย่างใกล้ชิด
กระทั่งว่าแม้แต่พวกเขาตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ตระกูลฉือ ซ่ง ฮวา และเซี่ย ก็ล้วนให้ความสนใจทุกอย่างนี้
อย่างไรเสียนครต้องห้ามก็ไม่เคยเกิดเรื่องราวเช่นนี้มานานหลายปี ดุพายุเหิมเกริม ดึงดูดให้ทั้งโลกจับจ้อง
ฝ่ายหนึ่งเป็นตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต ตระกูลตกต่ำที่ยังเทียบตระกูลทรงอิทธิพลชั้นล่างไม่ได้ มีเพียงหลินสวินผู้เดียวที่มีชื่อเสียงน่าตื่นตายิ่ง เรียกได้ว่าเป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์ที่ความสามารถสมชื่อ โดดเด่นเกินใครในรุ่นเดียวกัน มีชื่อเสียงเลื่องลือในใต้หล้า
อีกด้านหนึ่งกลับเป็นตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงตระกูลจั่วและฉิน อำนาจล้นฟ้า มีอิทธิพลทั่วจักรวรรดิ ราวกับยักษ์ใหญ่ที่ยึดครองผืนเมฆาสูงส่ง ยืนหยัดผ่านลมฝนนานปีไม่ล้มลง น่าเกรงขามราวมหาสมุทร
และตอนนี้ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายปะทุขึ้นในนครต้องห้าม นี่ช่างเหมือนแผ่นดินไหวสะเทือนครั้งใหญ่ ไม่ว่าเป็นใคร น่ากลัวจะไม่อาจเพิกเฉยได้แล้ว
“น่าเสียดายนะ เด็กนี่ใจร้อนเกินไป ด้วยความสามารถและพลังของเขา ขอเพียงรอไม่กี่สิบกี่ร้อยปี ก็สามารถครอบครองอำนาจมหาศาลที่สามารถสู้กับตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงให้รู้ดำรู้แดงได้อย่างแท้จริงแล้ว”
เท่าที่ฉือฉางเหมยดู การเคลื่อนไหวนี้ของหลินสวินไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย
“เมื่อก่อนข้ายังนึกว่าเขาจะต้องเป็นบุคคลไร้เทียมทานที่ยิ่งใหญ่หาได้ยากทั้งในอดีตและปัจจุบันผู้หนึ่งแน่ แต่ดูท่าตอนนี้ ข้อบกพร่องบนตัวเขาชัดเจนเกินไปแล้ว เพียงแค่ข้อเสีย ‘ก้าวร้าวไม่หวั่นกลัว ใจกล้าบ้าระห่ำ’ ก็สามารถเอาชีวิตเขาได้!”
นี่ก็คือการรับรู้และประเมินที่นางมีต่อหลินสวิน ข้อดีชัดเจนนัก แต่ข้อเสียก็ร้ายแรงถึงชีวิตอย่างยิ่งเช่นกัน
“คำนวณเวลาดู ความวุ่นวายครั้งนี้ก็ควรจะจบลงแล้ว” ทันใดนั้นฉือหลิงเซียวที่กำลังอ่านคัมภีร์อยู่ก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าครุ่นคิด
“ท่านพ่อ ท่านว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรเจ้าคะ” ฉือฉางเหมยรีบร้อนเอ่ยถาม
“หึๆ” ฉือหลิงเซียวหัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่ได้มีคำตอบอยู่ในใจก่อนแล้วหรือ นางหนู เจ้าจำไว้นะ ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงเช่นนี้ไม่อาจลบหลู่ได้ ไม่ว่าใครที่ลบหลู่พวกเขาก็ต้องตาย”
ในใจฉือฉางเหมยบังเกิดความเห็นใจอย่างบอกไม่ถูก
นางเห็นหลินสวินเป็นคู่แข่งมาโดยตลอด อีกทั้งเป็นคู่แข่งที่นางหวาดหวั่นที่สุด ขนาดตระกูลฉือของพวกนางยังเคยต่อกรกับหลินสวิน แต่ก็ถูกเขาคลี่คลาย รอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้
แม้แต่ฉือฉางเฟิงน้องชายของนาง เมื่อคราวงานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษาสามร้อยปีของจักรพรรดินี ก็เกือบตายด้วยน้ำมือของหลินสวิน
ไม่มีเวลาใดที่นางไม่คิดว่าจะเอาชนะคู่แข่งคนนี้ได้อย่างไร แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า ในวันนี้เอง คู่แข่งเช่นนี้จะตายด้วยการสังหารของสองตระกูลจั่วและฉิน
นี่ทำให้นางออกจะผิดหวังและเสียใจ
“น่าเสียดาย จักรวรรดิในหลายปีมานี้ไม่ได้หาปีศาจเช่นนี้ได้ง่ายๆ กลับต้องสิ้นชื่อในวันนี้เสียแล้ว…”
ฉือฉางเหมยทอดถอนใจเบาๆ
“เจ้านี่นะ ไม่เข้าใจอะไรเลย ตั้งแต่เมื่อก่อนถึงตอนนี้ มีปีศาจไร้เทียมทานมากมายเพียงไหน แต่หลายคนในนั้นต่างอายุสั้น ราวกับดาวตกบนขอบฟ้า แม้เปล่งประกายแต่วูบเดียวก็หายไป”
ฉือหลิงเซียวหัวเราะเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจ “แต่บนโลกกว้างใหญ่ใบนี้ มีเพียงพวกเราตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงที่ดำรงอยู่ยาวนาน ยืนหยัดผ่านลมฝนไม่ล้มลงไปได้! รอภายหน้าเจ้าก็จะเข้าใจว่าปีศาจกับผู้กล้าอะไรนี่ ในสายตาของพวกเราขุมอำนาจตระกูลใหญ่ สุดท้ายก็ไม่มีคุณค่า”
“หลิงเซียว ผู้อาวุโสเรียกพบ รีบมาที่หอบรรพชน!”
ทันใดนั้นเสียงทรงพลังเสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้ฉือหลิงเซียวอึ้งไปเล็กน้อย เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสออกจากการปิดด่านแล้วหรือ มีเรื่องอะไรทำให้ท่านผู้เฒ่าตื่นตระหนก”
“เกี่ยวข้องกับหลินสวิน!”
เมื่อได้ยินคำนี้เขาก็พลันแข็งทื่อไปทั้งตัว ดวงตาฉายแววฉงน หรือเด็กนี่จะไม่ตายในความวุ่นวายนี้
ฉือหลิงเซียวไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบร้อนหายตัวไป
เหลือเพียงฉือฉางเหมยยืนตรงนั้นเพียงผู้เดียว ใบหน้างามเต็มไปด้วยเมฆหมอกแห่งความสงสัยเช่นกัน “เกี่ยวกับหลินสวินหรือ แต่ด้วยเรื่องความเป็นความตายของเขาคนเดียว เหตุใดขนาดผู้อาวุโสยังตระหนกเล่า”
ผู้อาวุโสตระกูลฉือ เป็นคนระดับปูชนียบุคคล ปิดด่านเก็บตัวบำเพ็ญตนมานานเกือบพันปีแล้ว แต่วันนี้กลับเรียกพบคนใหญ่คนโตในตระกูลเพราะหลินสวิน ความนัยในนี้น่าตระหนกเกินไปแล้ว
“รายงาน…!”
ไม่นานนักสายสืบคนหนึ่งปรากฏตัวอย่างลุกลี้ลุกลน เอ่ยอย่างร้อนรนและเร่งรีบว่า “คุณหนู แย่แล้วขอรับ หลินสวินเขา… เขายังไม่ตายขอรับ!”
“อะไรนะ”
ฉือฉางเหมยนิ่งอึ้งอย่างสิ้นเชิงอยู่ตรงนั้น ยังไม่ตายหรือ มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคนยังฆ่าเขาไม่ได้หรือ หรือว่ามีคนยื่นมือช่วยชีวิตเขา
ต้องเป็นเช่นนี้แน่!
หาไม่แล้ว อาศัยพลังปราณระดับหยั่งสัจจะของเขา จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
“เป็นใครลงมือช่วยเขา”
ฉือฉางเหมยถาม นางสูดหายใจลึก พยามยามสงบใจของตัวเอง
สายสืบนิ่งไป รู้ว่านางเข้าใจผิดแล้วจึงรีบร้อนแจกแจง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่หอสมบัติตะวันมงคลออกมาเป็นฉากๆ
เมื่อรู้ว่าหลินสวินที่ตัวคนเดียวกับทวนหนึ่งเล่ม ถึงกับสังหารมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติอย่างฉินเสวียนตู้ จั่วเป่าอิ๋งได้ถึงหกคน สมองนางก็แทบระเบิดออกราวถูกสายฟ้าฟาด ไม่อาจสงบใจได้อีก
“เขา… เหตุใดเขาถึงได้แข็งแกร่งปานนี้”
ฉือฉางเหมยร้องตกใจเสียงหลง นางรู้ว่าตนเสียอาการแล้ว แต่เวลานี้ไม่อาจสนใจเรื่องราวมากมายเช่นนี้ได้
เมื่อคิดถึงผลการต่อสู้ร้ายกาจที่แทบจะเย้ยฟ้าเช่นนี้ของหลินสวิน ก็พาให้นางกระวนกระวายมาก สีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย
“อะไรนะ ผู้อาวุโสตระกูลฉินฉินชางเจี่ยก็เคลื่อนไหวแล้วหรือ นี่…”
เมื่อได้รู้เรื่องนี้นางกลับสูดลมหายใจเย็นเยียบ รับรู้ได้ในที่สุดว่าเหตุใดผู้อาวุโสตระกูลตนถึงตื่นตระหนก ทั้งเหตุใดจึงรีบเรียกบิดาของตนไปรวมตัว
ที่แท้ ในคลื่นพายุนี้ถึงกับมีราชันระดับสังสารวัฏคนหนึ่งปรากฏตัว!
นี่ช่างน่าตื่นตะลึงไปแล้ว!
ในนครต้องห้ามหลายปีมานี้ ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน
ทันใดนั้นฉือฉางเหมยก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เอ่ยถามว่า “พูดเช่นนี้ มีฉินชางเจี่ยลงมือแล้ว เช่นนั้นหลินสวินก็ตายแล้วกระมัง”
กลับเห็นว่าสายสืบส่ายหัว เอ่ยอย่างขมขื่นและคับข้องใจว่า “เปล่าขอรับ ฉินชางเจี่ยตกใจจนยอมรามือ รีบร้อนหนีไปเลย ไม่แม้แต่จะต่อต้าน คุณหนู จนตอนนี้ข้าน้อยก็ยังไม่เข้าใจ พวกเขาตระกูลฉินมีมหายุทธ์สิ้นชีพไปสามคน ฉินชางเจี่ยกลับยอมรามือเสียได้ นี่ยังเป็นราชันระดับสังสารวัฏจริงหรือ”
“ตกใจจนถอยหนีแล้ว…” ฉือฉางเหมยสับสนไปหมดแล้ว ในนครต้องห้ามนี้ จะมีใครมีอานุภาพน่าหวาดหวั่นเช่นนี้อีก สามารถทำให้ฉินชางเจี่ยยอมจำนนแล้วจากไปได้ด้วยหรือ
นางขนหัวลุกไปหมด ข่าวนี้สร้างความตกใจแก่ผู้ที่ได้ยิน ทำให้นางไม่อาจยอมรับได้ชั่วขณะ
“เป็นใครกัน”
“จ้าวไท่ไหล เจ้าของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ขอรับ”
“เลอะเทอะ! เจ้าอ้วนนั่นก็แค่คนเจ้าเล่ห์ที่กะล่อนเป็นน้ำกลิ้งบนใบบอนในราชวงศ์คนหนึ่ง จะไปมีความสามารถทำให้ราชันระดับสังสารวัฏตื่นตระหนกได้อย่างไร”
“แต่ว่า… นี่เป็นเรื่องจริงขอรับ ไม่เพียงแต่ข้าน้อย สายสืบจากตระกูลอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนเห็นกับตา ไม่มีทางผิดแน่นอน ใช่แล้ว จ้าวไท่ไหลผู้นี้เหมือนมีอีกฐานะหนึ่งขอรับ”
“อะไรหรือ”
“ราชันกระหายเลือด!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฉือฉางเหมยก็งงงันอย่างสิ้นเชิงแล้ว นางก็ไม่คุ้นชื่อนี้เช่นกัน ไม่เคยได้ยินมาก่อน
แต่สัญชาตญาณบอกนางว่า ราชันกระหายเลือดผู้นี้น่ากลัวถึงที่สุด บางทีอาจเพราะการปรากฏตัวของเขา จึงสร้างความตระหนกให้ผู้อาวุโสของนาง!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จิตใจของนางก็สับสนและหวาดวิตก พึมพำว่า “หลินสวินคนนั้น… ที่แท้ก็ฆ่าไม่ตายจริงๆ หรือ”
“ท่านพ่อคิดผิดแล้ว เจ้าหมอนี่ไม่ใช่ดาวตกที่เจิดจ้าวูบเดียวก็ดับไป เขาก็ไม่ได้ใจกล้าบ้าระห่ำ แต่มีที่พึ่งพิงตั้งแต่เริ่มจนจบต่างหากเล่า!”
เวลานี้ในใจฉือฉางเหมยบังเกิดความไม่พอใจอย่างแรงกล้า หลินสวิน! นี่เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่
ก็ในวันนั้นเอง เบื้องบนของตระกูลฉือรวมตัวกันเต็มหอบรรพชน ตัดสินใจว่าตั้งแต่วันนี้ไป ไม่ว่าใครก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับหลินสวิน!
เมื่อได้รู้ข่าวนี้ ฉือฉางเหมยพลันอกสั่นขวัญแขวน นางรู้ว่าหากแม้แต่ตระกูลตนยังตัดสินใจเช่นนี้ จักรวรรดิในภายภาคหน้า เกรงว่าจะไม่มีใครฉุดรั้งความรุ่งเรืองของหลินสวินได้แล้ว!
……
เป็นอย่างที่ฉือฉางเหมยคาดเดาไว้ วันนั้นไม่เพียงตระกูลฉือ เหล่าตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลฮวา ตระกูลซ่ง และตระกูลเซี่ย ล้วนเรียกประชุมเร่งด่วน ตัดสินใจเรื่องนี้ในทำนองเดียวกัน!
เนื้อหาที่ตัดสินใจลงไปนั้นช่างน่าครุ่นคิด ห้ามไม่ให้หาเรื่องหลินสวิน แต่ก็ไม่ต้องกลัวมีเรื่อง!
แท้จริงแล้ว นี่เท่ากับยอมรับสถานะในนครต้องห้ามของหลินสวินอยู่กลายๆ
ส่วนขุมอำนาจใหญ่น้อยอื่นบางกลุ่มในนครต้องห้าม เมื่อได้รู้ข่าวคราวทั้งหมดก็ฮือฮาตกตะลึงไม่ว่างเว้น
พวกเขาตื่นตระหนกต่อความเย้ยฟ้าในพลังต่อสู้ของหลินสวิน และตกใจกับราชันกระหายเลือดที่ทำให้ฉินชางเจี่ยตกใจถอยหนีไปได้ด้วยประโยคเดียว!
“ตั้งแต่วันนี้ไปในนครต้องห้าม ใครจะยังกล้าหาเรื่องตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตอีก”
“หลินสวินคนเดียวก็สามารถเทียบกับตระกูลทรงอิทธิพลได้! ขอเพียงเขาไม่ตาย ตระกูลหลินในภายภาคหน้าต้องกลับไปอยู่ในหมู่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอีกครั้งแน่!”
“มีชีวิตอยู่ในนครต้องห้ามมานานขนาดนี้ ข้าไม่เคยเห็นปีศาจเย้ยฟ้าเช่นหลินสวินมาก่อน!”
วันนี้นครต้องห้ามเซ็งแซ่อึกทึกครึกโครมโดยสมบูรณ์แล้ว ข่าวต่างๆ ปรากฏบนโต๊ะของขุมอำนาจใหญ่แต่ละกลุ่มราวกระแสน้ำมืดฟ้ามัวดิน
บริเวณใจกลางนครต้องห้าม บนจอภาพวิญญาณขนาดมหึมาหาใดเทียบนั้น ก็เริ่มฉายข่าวการต่อสู้ที่ก่อให้เกิดคลื่นใหญ่ยักษ์ทั่วนครคราวนี้
อีกทั้งยามฉายข่าว ยังเชิญมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติที่มากประสบการณ์ผู้หนึ่งมาเป็นแขกวิพากษ์วิจารณ์
เพียงแต่แขกผู้นี้เหมือนจะตื่นเต้นและตระหนกเกินไป นิ่งไปนาน สีหน้าแดงก่ำขึ้นแล้ว ถึงได้พูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “คุณชายไร้เทียมทาน อำนาจทั่วนครหลวง!”
__

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด